Chapter 1: Episode 1 Under the Summer Sun.
Chapter Text
หน้าร้อนนั้นเบนอายุสิบเก้าตอนที่ชีวิตเขาพลิกตาลปัตรโดยสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มยังเป็นเพียงพาดาวัน อาศัยอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลือมาจากอารยธรรมเจไดรุ่นเก่ารวมกับเพื่อนๆ อีกเกือบสามสิบชีวิตบนดาวคัมพารัส วิถีชีวิตในตอนนั้นค่อนข้างเรียบง่ายแต่ก็ไม่ถึงน่าเบื่อแต่อย่างใด วันๆ ส่วนใหญ่ของเขาหมดไปกับการนั่งสมาธิ ฝึกดาบ ร่ำเรียนถึงแก่นธรรมแห่งพลัง นานๆ ครั้งก็ขโมยยานของมาสเตอร์สกายวอคเกอร์หรืออีกนัยหนึ่ง ลุงของเขาเอง เพื่อหนีเที่ยวกับบรรดาเด็กรุ่นเดียวกัน
มันเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
จนกระทั่งมาสเตอร์สกายวอคเกอร์พา ‘เธอคนนั้น’ มา
เด็กหญิงรูปร่างผอมแห้งจนเกือบเหมือนขาดสารอาหารและมีส่วนสูงเพียงเอวของเขาเท่านั้น ชุดที่เธอสวมน่าจะเคยเป็นสีขาวมาก่อน ทว่าบัดนี้มันเป็นทั้งมอซอและขาดวิ่น ผมสีน้ำตาลมัดรวบแบบขอไปทีเป็นสามจุกอยู่ด้านหลัง ส่งผลให้มีปอยผมบางส่วนระเรี่ยใบหน้าอ่อนเยาว์ซึ่งเต็มไปด้วยความใคร่รู้อย่างไม่ปิดบัง
ดวงตาสีน้ำตาลเฮเซลนัทกวาดมองทั่วไปหมด ตั้งแต่พื้นหินขัดแกะลายแผนที่ดวงดาว หลังคาทรงโค้งสูงขึ้นไปจนต้องแหงนคอตั้งบ่า บานหน้าต่างที่เปิดอ้าจนเห็นนกน้อยซึ่งเกาะบนต้นไม้ด้านนอก และเหล่าพาดาวันทุกคนที่มารวมตัวกันตามคำสั่งเรียกของมาสเตอร์สกายวอคเกอร์
เด็กหญิงมองแล้วมองอีกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ราวกับว่าแค่ต้นหญ้างอกเงยได้ก็ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับเธอแล้ว เธอไม่ได้สนใจฟังด้วยซ้ำว่ามาสเตอร์สกายวอคเกอร์พูดถึงเธอว่าอย่างไร
“เหล่ายังลิ่ง ฉันอยากแนะนำให้พวกเธอรู้จักกับเรย์”
...เรย์... เบนเผลอทวนชื่อเธอในใจ แต่พอรู้ตัวเขาก็บอกตนเองว่าการกระทำนี้ไร้ความหมาย แค่ทำไปตามมารยาทเพื่อให้จดจำเพื่อนใหม่ได้เท่านั้น
“เรย์มาจากดาวแจคคู” มาสเตอร์สกายวอคเกอร์พูดพร้อมดันแผ่นหลัง บังคับให้ร่างเล็กก้าวเข้ามาข้างหน้า “และเหมือนพวกเธอทุกคน พลังอันกล้าแข็งสถิตอยู่ในตัวเรย์ ดังนั้นนับจากนี้เขาจะมาอาศัยและฝึกฝนรวมกับพวกเรา ฉันอยากให้...”
ในขณะที่ประโยคแนะนำตัวดำเนินไป ท่อนแขนของใครคนหนึ่งก็ทิ้งน้ำหนักลงมาบนไหล่ของเบน
“เธออายุมากเกินกว่าจะฝึกเป็นพาดาวันได้” แคสเซียน แอนเดอร์กล่าว เขาอายุน้อยกว่าเบนสองปี แต่มีนิสัยและพฤติกรรมที่เด็กกว่านั้นมาก ผมสีดำยุ่งเหยิงและมีใบไม้เกาะอยู่ เบนเดาได้ทันทีว่าเจ้าตัวคงวิ่งตัดพุ่มไม้ด้านข้างวิหารแล้วแอบย่องเงียบๆ ตีเนียนเข้ามารวมกลุ่มแน่นอน ถ้าจะเดาให้ สาเหตุก็คงเพราะหลับเพลินจนลืมเวลา แคสเซียนเป็นเช่นนี้เสมอ
เบนหยิบใบไม้ออกให้เพื่อนก่อนจะถูกมาสเตอร์สกายวอคเกอร์จับได้พร้อมกล่าวแก้ตัวให้เด็กใหม่ไปด้วย
“ตอนมาที่นี่ครั้งแรกฉันก็แก่กว่าเกณฑ์ฝึกเหมือนกัน”
อีกครั้งที่เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น แต่ที่แน่ๆ มันคือความจริงทุกประการ เบนถูกพามาที่ดาวคัมพารัสตอนอายุสิบสอง ในขณะที่เหล่าพาดาวันส่วนมากเริ่มกันตั้งแต่ยังแบเบาะ ดูอย่างแคสเซียนสิ เขาหัดนั่งสมาธิเพื่อควบคุมพลังก่อนที่จะหัดเดินด้วยซ้ำ
“อีกอย่างมาสเตอร์สกายวอคเกอร์ยกเลิกกฏเก่าๆ ของเจไดไปแล้ว นายจะอายุเท่าไรก็ไม่สำคัญหรอกขอแค่มีพลังสถิตอยู่ก็เป็นเจไดได้ทั้งนั้น”
“ก็จริง” แคสเซียนไหวไหล่ “แต่ว่านายมันเป็นข้อยกเว้นเพื่อน นายมันอัจฉริยะ” แคสเซียนตบบ่าเบนอย่างแรงด้วยความชื่นชมและหมั้นไส้ เนื่องจากเบนไม่ได้แค่อายุมากกว่าเกณฑ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมากกว่าท่านตาอนาคินตอนเริ่มฝึกอีกด้วย หลายคนเป็นกังวล กลัวว่าเขาจะล้มเหลวและไม่สามารถเข้าถึงพลังที่มีได้ แต่กลายเป็นตรงข้าม เบนใช้เวลาไม่นานเลยก่อนที่จะไล่ตามเพื่อนๆ ทันและแซงหน้าไปได้ในที่สุด
“เบนจามิน ออร์กาน่า โซโล! ” มาสเตอร์สกายวอคเกอร์ตะโกนเรียก เล่นเอาสองเพื่อนซี้ที่คุยกันเพลินถึงกับสะดุ้ง พาดาวันคนอื่นหลบแหวกเป็นทางราวกับจงใจซ้ำเดิม แคสเซียนเองก็ผละไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทิ้งให้เบนเป็นเป้าสายตาอยู่เพียงคนเดียว
ท่าทางมาสเตอร์สกายวอคเกอร์คงจะเรียกเขามาหลายรอบแล้วจึงได้มีน้ำเสียงตำหนิกลายๆ เช่นนี้
“อย่างที่ฉันเพิ่งพูดไป” ตำนานแห่งอัศวินเจไดย้ำ สองมือวางอยู่บนบ่าเล็กผอมของเด็กหญิง “ฉันอยากให้พวกเธอต้อนรับและดูแลเรย์อย่างเป็นดี โดยเฉพาะเธอนะเบน”
“ครับ?”
“เพราะนับจากวันนี้ไปเธอต้องเป็นพี่เลี้ยงให้เรย์”
“อะไรนะครับ?” เบนอุทาน รู้สึกเหมือนกำลังถูกลงโทษในข้อหาที่ร้ายแรงเกินความเป็นจริง จะให้นักเรียนอัฉริยะซึ่งกำลังจะจบในอีกไม่กี่ปีอย่างเขามาคอยตามดูยังลิ่งที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเจไดแม้แต่น้อยเนี่ยนะ ลุงลุคทำเกินไปแล้ว แค่เขาเผลอคุยกับแคสเซียนและไม่ได้ฟังหน่อยเดียวเอง
เบนกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ ขอร้องให้ผู้เป็นลุงเปลี่ยนไปเลือกคนอื่น อย่างน้อยก็เด็กที่วัยใกล้เคียงกันแทน ทว่าก็ดันสบตาเข้ากับดวงตาสีเฮเซลนัทเข้าเสียก่อน
เขาชะงักและนิ่งงัน บางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ บางอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้อีกแล้วว่าคืออะไร เด็กหญิงเองก็นิ่งไปเช่นกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เอาแต่หันซ้ายทีขวาทีไม่หยุด ภายในดวงตาคู่นั้นเบนสัมผัสได้ถึงความอ้างว้าง ความโหยหาและความเศร้า มันรุนแรงเสียจนเขานึกอยากทรุดตัวลงแล้วร้องไห้
ทว่าความรู้สึกที่เสียดแทงขึ้นมามากที่สุดคือความผิดหวัง
...ผิดหวังที่ถูกผลักไสและถูกปฏิเสธอีกครั้ง
เบนไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ซ้ำเรย์ก็เอาแต่จ้องเอาจ้องเอาจนเขาเริ่มประหม่า พอแล้ว เขาแค่อยากไปให้พ้นจากตรงนี้ และในตอนที่ตัดสินใจจะหันไปหามาสเตอร์สกายวอคเกอร์เพื่อยอมรับในบทลงโทษ เด็กหญิงก็เอื้อนเอ่ยเป็นครั้งแรก
“ไม่เอาได้ไหม” เรย์กระตุกชายเสื้อคลุมของมาสเตอร์สกายวอคเกอร์ ทว่าดวงตายังไม่ละไปจากเขา “ขอเป็นคนอื่นแทนเถอะ คนนี้ดู...ประหลาด”
อารมณ์อันท้วมท้นและหลากหลายกระเจิงหายไปจากหัวเบนจนสิ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น คงเหลือเพียงความโกรธเดือดจนแทบระอุ ยิ่งเมื่อเหล่าพาดาวันประสานเสียงร้องโอยแทนเขาที่โดนฉีกหน้า เบนก็แทบจะหันไปขโมยไลท์เซเบอร์ของลุงลุคมาอาละวาดทำลายข้าวของเพื่อระบายอารมณ์เสียให้ได้
เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น วกมาโกรธตนเองแทนที่ดันเผลอไปสงสารยัยเด็กนี่เสียได้ทั้งที่แค่สบตากันเท่านั้น
“ไม่ได้หรอก” มาสเตอร์สกายวอคเกอร์เอ่ย คำพูดเขาเป็นดังประกาศิตสำหรับเหล่าพาดาวันเสมอมา “ฉันตัดสินใจแล้วว่าเบนเหมาะจะเป็นพี่เลี้ยงให้เธอที่สุด ให้โอกาสเขาหน่อยนะหนูน้อยเรย์”
“...งั้นก็ได้” เด็กหญิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบแบบขอไปทีซ้ำยังไม่มีหางเสียงอีกต่างหาก
ได้! จะเอาแบบนี้ใช่ไหมลุงลุค!
เดี๋ยวเขาจะฝึกยัยเด็กนี่ให้หนัก เอาให้ร้องขอกลับไปดาวบ้านเกิดแทบไม่ทันเลย!!
.
.
.
.
.
.
แต่พอเอาเข้าจริงทั้งหมดที่เบนคิดไว้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น
เนื่องจากมาสเตอร์สกายวอคเกอร์แบ่งการเรียนของเด็กๆ ตามช่วงอายุและความสามารถ มีเพียงสองวิชาเท่านั้นที่ได้เรียนรวมกันคือการฝึกนั่งสมาธิในตอนเช้าและทฤษฏีแห่งพลังซึ่งจะมีแค่สองสามวันครั้ง ส่วนการต่อสู้ เด็กโตจะทำหน้าที่คอยสอนคนที่อายุน้อยกว่าอีกทอดเนื่องจากมาสเตอร์สกายวอคเกอร์ไม่มีเวลาพอจะทำหน้าที่ทั้งหมดได้
เรย์เพิ่งจะมาใหม่ เธอเลยต้องเรียนรวมกับเด็กเล็กๆ ไปก่อน และคงอีกหลายปีกว่าจะเริ่มวิชาต่อสู้
ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น...
“นายก็คงใจอ่อนยกโทษให้ยัยเด็กนั้นไปแล้วแหละ” แคสเซียนว่าขณะฟาดดาบไม้ในมือเข้าใส่ เบนยกอาวุธจำลองในมือตั้งรับอย่างรวดเร็ว ขณะประสานสายตาผ่านดาบไม้ เขาก็ถามกลับไป
“ทำไมคิดงั้น”
“เพราะนายมันขี้สงสารแล้วก็ขี้ใจอ่อนน่ะสิ”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
“ใช่เลยต่างหาก ซอฟต์บอย”
เบนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เขาไม่ชอบใจฉายานี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วทว่าแคสเซียนก็ยังเอามาล้ออยู่ร่ำไป เด็กหนุ่มออกแรงดันให้คนอายุน้อยกว่าถอยห่าง เว้นระยะเพื่อฟาดฟันเข้าไปใหม่ แคสเซียนยกดาบตั้งรับได้อย่างรวดเร็วก็จริงทว่ามันเป็นเพียงตัวล่อเท่านั้น เพียงอีกหนึ่งนิ้วก่อนดาบไม้จะปะทะกันเบนก็หมุนตัว เปลี่ยนไปตวัดดาบเข้าที่ข้อพับเข่าจนคนปากมากถึงกับทรุดลงร้องโอดโอย
“ยังจะเรียกฉันว่าซอฟต์บอยอยู่ไหม”
แคสเซียนกล้ำกลืนสีหน้าเหยเกก่อนจะยอมรับมือของเบนที่เอื้อมมาประคองแต่โดยดี ทว่าสุดท้ายก็ยังไม่วายบ่นอุบอย่างไม่เกรงอาญา เขาเกาะไหล่เบน เอนทิ้งน้ำหนักไปเต็มๆ แบบที่ชอบทำเสมอ “ลองนึกภาพดูนะ ฉันตัวผอมแห้ง สูงเลยเอวนายมานิดเดียว มีตาโตๆ สีน้ำตาลแล้วก็ผมยุ่งๆ นายยังจะกล้าลงมือกับฉันอยู่ไหม”
คำตอบมาในรูปของการกระทำเมื่อเบนฟาดดาบไม้เข้าที่ข้อพับเข่าอีกข้างแล้วก้าวถอยหลบจนทำให้แคสเซียนหน้าทิ่มพื้นดังตึง พาดาวันหลายคนที่จับคู่ซ้อมกันอยู่ไม่ห่างถึงกับหัวเราะครืนแม้จะไม่ได้ยินในบทสนทนาก็ตาม ท่ามกลางบรรยากาศครืนเครงของหนุ่มสาว เขาหันไปเห็นบางอย่าง พูดให้ถูกกว่านั้นคือใครบางคนซึ่งไม่ควรจะอยู่ที่นี่
...เรย์...
เธอแอบมองมาจากพุ่มไม้ ใช้ดวงตาสีเฮเซลนัทกลมโตจับจ้องมาที่เขาโดยตรงอย่างสนอกสนใจ แม้จะเปลี่ยนมาสวมชุดของพาดาวันแล้วเธอก็ยังดูไม่เหมือนว่าที่เจไดเลยสักนิด เรย์ยังคงมัดผมเป็นทรงเดิม ไม่ยอมถักเปียเหมือนคนอื่นๆ ชุดยับย่นซ้ำยังสวมไม่เรียบร้อย เนื้อตัวมอมแมมมีแต่เศษดินเศษใบไม้ยิ่งกว่าแคสเซียนเวลาวิ่งมาเข้าเรียนสายซะอีก
เบนไม่ได้ร้องทักให้ใครผิดสังเกต เขาแค่จ้องกลับไป ดุด้วยสายตาว่าเธอควรจะกลับไปรวมกับเด็กรุ่นเดียวกันได้แล้ว ทว่าเรย์ก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน เด็กหญิงไม่แม้แต่จะหลบตาด้วยซ้ำ ทั้งคู่จ้องกันไปมาจนกระทั่งแคสเซียนลุกขึ้นมากอดไหล่พิงเขาแล้วร้องโอดโอยอีกครั้ง
เบนละสายตาไปเพียงแวบเดียวเท่านั้นพอหันกลับมาอีกทีเรย์ก็หายไปแล้ว
และพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของเด็กหญิงไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงนี้
เพราะหลังจากนั้นไม่ว่าเบนจะไปที่ไหนหรือทำอะไร เรย์ก็จะแอบตามมาด้วยทุกครั้ง ทั้งตอนทานอาหาร ตอนอ่านหนังสือ ตอนเที่ยวเล่น ตอนงีบกลางวัน เด็กหญิงไม่ได้เดินตามต้อยๆ หรือเข้ามาขอนั่งด้วยอย่างที่เด็กเล็กคนอื่นมักทำกับเขา แต่เธอจะแอบอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของวิหาร หลบเร้นซ่อนตัว จนเหลือเพียงดวงตาสีเฮเซลนัทที่จ้องเขม็งแบบไม่กระพริบราวกับกำลังจับผิด
แม้จะไม่รู้ว่าเรย์ต้องการอะไร ทว่าเบนเริ่มคิดแล้วว่าเด็กหญิงจงใจหาเรื่องเขาอยู่
ตอนแรกเธอบอกว่าเขาประหลาดและไม่อยากอยู่ใกล้ ทว่าไปๆ มาๆ กลับเป็นฝ่ายตามติดเขาเสียเองจนเข้าข่ายน่ารำคาญ แต่ต้องขอชมเชยอยู่อย่าง เรย์ซ่อนตัวได้เก่งมากจนขนาดแคสเซียนที่อยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่เพราะเขาบอก
“เหวอ กำลังจ้องมาทางนี้จริงๆ ด้วย” แคสเซียนอุทานเมื่อเหลียวมองไปแล้วพบว่าที่หน้าต่างของโรงครัวมีใบหน้าเล็กๆ แต่ติดจะมอมแมมปรากฏอยู่ อาศัยกระถางต้นไม้ช่วยบังอีกทอด เรย์ก็เกือบจะซ่อนตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทุกคนเดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่ได้สังเกตเธอเลยสักนิด
ทุกคนยกเว้นเบน...
“ถามจริงๆ เถอะ รู้ได้ไงว่ายัยเด็กนั่นอยู่ตรงนั้น”
“ก็เห็นๆ กันอยู่” เบนตอบ ก่อนจะตักอาหารเข้าปากอีกคำโตราวกับชาชินกับการถูกจับจ้องไปแล้ว ส่วนแคสเซียนนนั้นตรงข้าม เขาไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตา มันทำให้ความอยากอาหารของเขาลดฮวบ เด็กหนุ่มผลักจานเนื้อของตนเองออกไปข้างๆ แล้วทุบโต๊ะดังปัง
“ไม่เห็นโว้ย” เสียงอาจไม่ดังแต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเบา เบนตะปบจับแก้วน้ำที่กำลังจะพลิกคว่ำแล้วเหลือบตาขึ้นมองคนขี้โวยวาย “เด็กนั่นตัวเล็กนิดเดียว เท้าก็เบาซ่อนตัวก็เก่ง ไม่มีใครเห็นทั้งนั้นแหละว่าเธอแอบตามนายอยู่นอกจากนายคนเดียว”
พูดตามตรงแล้วเบนไม่ได้เห็น แต่เขารู้สึกได้ ถึงการคงอยู่ของเธอ ตัวตนของเธอ สายตาของเธอ เบนรู้สึกถึงมันเสมอทั้งในยามที่หลับฝันและลืมตาตื่น
มันเป็นอีกหนึ่งเรื่องลี้ลับแปลกประหลาดเกี่ยวกับเรย์ที่เขาไม่สามารถหาคำอธิบายให้ได้
ทว่าเขาจะไม่พูดมันออกไปเด็ดขาด ปล่อยให้พาดาวันรุ่นพี่แต่อายุน้อยกว่าเข้าใจไปว่าเขาแค่สายตาดีเกินไปน่าจะเป็นการดีที่สุด อีกอย่างเบนมีเรื่องสำคัญมากกว่าให้ต้องคิดถึง นั่นคือเขากำลังจะได้เจอพ่อแม่
ทุกๆ สามสิบวัน มาสเตอร์สกายวอคเกอร์จะอนุญาตให้นักเรียนกลับบ้านได้หนึ่งครั้ง และพรุ่งนี้ก็ถึงตาของเขาแล้ว เด็กหนุ่มยอมรับตามตรงเลยว่าตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก ความรู้สึกลิงโลดในอกทำให้เขาเหมือนย้อนกลับไปเป็นแค่เด็กเล็กๆ อีกครั้ง
ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะเบนไม่ได้กลับบ้านหรือเจอหน้าพ่อแม่มาเกือบสองปีแล้ว การฝึกวุ่นวายเกินไป ภารกิจของแม่และงานของพ่อก็มากเกินไปเช่นกัน ความยุ่งเหยิงของการใช้ชีวิตในแต่ละวันของพวกเขาทั้งสามผลักตารางนัดพบให้เลื่อนออกไปเรื่อยๆ มาหลายต่อหลายครั้ง
ทว่าพรุ่งนี้ ทันทีที่พระอาทิตย์โผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ยานมิลเลเนียมฟอลคอลก็จะร่อนลงจอดที่หน้าวิหาร และพาเขากลับบ้านอย่างที่ใจปรารถนาสักที
.
.
.
.
.
.
แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะหวังมากเกินไป
ฮาน โซโลไม่ได้มารับเขาอย่างที่ให้สัญญาไว้แต่กลับส่งชิวอี้มาแทน ตัววูกกี้รูปร่างสูงใหญ่ซึ่งเป็นเสมือนญาติอีกคนของเขาอธิบายให้ฟังว่าสาธารณรัฐกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะกฎหมายใหม่ที่แต่ละฝ่ายต่างมีความเห็นไม่ตรงกัน วุฒิสมาชิกเลอา ออร์กานาหรืออีกนัยหนึ่งแม่ของเบน มีความเห็นว่าหากเขาอยู่บนดาวคัมพารัสต่อไปจะเป็นการปลอดภัยมากกว่า
ชิวอี้ยื่นจดหมายโฮโลแกรมมาให้ ข้อความขอโทษจากแม่และพ่อ และนัดหมายเลื่อนวันกลับบ้านออกไปอีกครั้ง เบนไม่ได้อยู่ฟังจนจบ เขาเดินหนีออกมาก่อน แม้จะมีเสียงร้องของชิวอี้ดังไล่หลังมาเขาก็ไม่คิดหันกลับไป เบนทั้งเหนื่อยและผิดหวัง แต่เหนืออื่นใดคือความโกรธ ท่วมท้นจนเกือบเปลี่ยนเป็นความเกลียด ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ฮานกับเลอาก็มักทำให้เขารู้สึกว่าตนเองสำคัญน้อยกว่างานได้เสมอ
เบนหน่ายจะนับแล้วว่าเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นกี่ครั้งกันแน่
ระหว่างทางเด็กหนุ่มสวนกับมาสเตอร์สกายวอคเกอร์
“เบน” อาจารย์เจไดเรียกเมื่อจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติของศิษย์เอก ไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหันไปมองตามทางที่หลานชายจากมาแล้วพบว่ามีเพียงตัววูกกี้โดยไร้ซึ่งเงาของพี่เขย “เบนรอก่อน!”
“ขอผมอยู่คนเดียว” เด็กหนุ่มบอกห้วน ไม่เหลียวมองและไม่ชะลอฝีเท้า
แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงัก เมื่อร่างผอมบางของเด็กหญิงซึ่งสูงไม่ถึงเอวของเขาก้าวเข้ามาขวางทางไว้
“ถอยไปเรย์” เบนสั่ง ตระหนักได้ว่านี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่พบกันที่เขาเรียกชื่อเธอ มันสร้างรสชาติแปร่งปร่าอย่างน่าประหลาดให้หัวใจของเขา ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เบนอธิบายไม่ได้ว่าทำไม
เรย์ยังคงยืนนิ่ง เธอขมวดคิ้ว จ้องเขม็งด้วยสายตาที่ต่างไปจากทุกวัน และโดยไม่ให้สัญญาณใดๆ เด็กหญิงก็วิ่งเข้ามาเตะหน้าแข้งของเบนดังปัก
“โอย!” เด็กหนุ่มร้องลั่น มือกุมหน้าแข้งกระโดดโหยงเหย้งไปมาอย่างน่าขัน เรย์ทำท่าจะซ้ำ ทว่าเบนคว้าคอเสื้อเธอไว้ได้เสียก่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เขาสั่งอีกระรอกขณะยกเธอจนตัวลอยเหมือนหิ้วลูกหมาลูกแมว ทว่าเหมือนเคยที่เรย์ไม่คิดฟัง เธอตะกุยมือไปมาในอากาศพยามจะข่วนหน้าเขา เบนยึดข้อมือเล็กได้ข้างหนึ่ง ในขณะที่อีกข้างที่เป็นอิสระดึงแก้มเขาจนยืดย้วย
“พวกเธอทั้งคู่น่ะแหละที่ต้องหยุด!”
มาสเตอร์สกายวอคเกอร์ตวาดก่อนจะใช้พลังแยกพวกเขาออกจากกันสถานการณ์จึงสงบลงได้
“เธอเริ่มก่อน!” ทันทีที่เท้าแตะพื้น เบนก็อธิบายเสียงดัง แต่มันช่างเหมือนคำแก้ตัวอย่างไรชอบกล เพราะนอกจากจะโตกว่าคู่ทะเลาะทั้งอายุและรูปร่างแล้ว เขายังเผลอบีบข้อมือของเรย์จนเขียวช้ำเป็นปื้น ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็เป็นฝ่ายผิดเต็มๆ ที่ไปรังแกคนตัวเล็กกว่า เรย์ยืนนิ่ง ไม่โต้แย้งไม่แก้ตัว เธอแค่จ้องมาที่เขาเหมือนที่เคยทำมาตลอด
มาสเตอร์สกายวอคเกอร์ถอนหายใจเฮือกก่อนจะสั่ง
“ตามฉันมาที่ห้องฝึกสมาธิทั้งคู่เลย”
ห้องฝึกสมาธิที่ว่าเป็นอารามขนาดเล็กซึ่งตั้งแยกออกไปอย่างโดดเดี่ยว ทว่าอยู่ใกล้กับที่พักของมาสเตอร์สกายวอล์กเกอร์ อาคารทั้งหลังก่อจากอิฐสีน้ำตาลเข้มและมีตะไคร่น้ำเกาะเป็นย่อมๆ อากาศชื้นจนหนาวสั่นและแสงแดดที่ส่องไม่ค่อยถึงทำให้เด็กๆ เรียกอาคารแห่งนี้กันเองว่า “ห้องเย็น”
ยิ่งการที่มาสเตอร์สกายวอล์กเกอร์แวะมาชะโงกมองเป็นครั้งคราวประหนึ่งผู้คุมที่จับตามองนักโทษ สถานที่แห่งนี้จึงยิ่งเหมือนคุกจำลองเพื่อควบคุมความประพฤติเข้าไปใหญ่
เบนไม่เคยถูกลงโทษให้นั่งที่นี่มาก่อน อย่างมากก็แค่แวะเวียนเอาอาหารมาส่งให้แคสเซียนเฉยๆ แต่ในวันนี้เขากลับต้องมานั่งคุกเข่ากว่าสองชั่วโมงจนเหน็บกินเพียงเพราะมีเรื่องกับเด็กหน้าตามอมๆ คนหนึ่ง
ซึ่งเด็กคนที่ว่าก็นั่งห่างออกไปเพียงฟุตเดียวเท่านั้น
เรย์ยังคงมองซ้ายขวาอย่างสนอกสนใจเหมือนเคย เธอหันขวับอย่างรวดเร็วจนแค่มองก็แทบจะคอเคล็ดแทน เบนถอนหายใจเฮือก รู้ตัวดีว่าเหตุใดจึงทุกขับไสมาที่นี่ ว่ากันตามตรงแล้วไม่ใช่เพราะเขาทะเลาะกับเรย์หรอก มันหยุมหยิมเกินไป ปกติแล้วเวลาเด็กๆ ทะเลาะกันมาสเตอร์สกายวอล์กเกอร์จะใช้วิธีไกลเกลี่ย หรือไม่ก็ให้ทำงานบ้านกับภารกิจร่วมกันจนกว่าจะกลับมาปรองดองกันได้
เหตุผลที่เบนมาอยู่ที่นี่เป็นเพราะความรู้สึกที่เขามีต่อพ่อแม่ต่างหาก ความโกรธ ความผิดหวัง ความโศกเศร้า หลอมรวมกันเป็นด้านมืดซึ่งกัดกินครอบงำเขาอย่างช้าๆ และมาสเตอร์สกายวอล์กเกอร์ก็รับรู้ได้
เขาถูกส่งมาที่นี่เพื่อชำระล้างอารมณ์เหล่านั้นและเพื่อดึงด้านสว่างกลับเข้ามาอีกครั้ง
ให้ตายเถอะ เบนคิด มันช่างเป็นความกังวลที่ไม่เข้าท่า ก็แค่เขาเผลอแสดงอารมณ์หงุดหงิดออกไปนิดเดียว ทำอย่างกับว่าเขาจะกลายเป็นดาร์ธเวเดอร์คนต่อไปไปได้
“ใครคือดาร์ธเวเดอร์” เรย์กระตุกแขนเสื้อตัวยาวของเขาพลางถาม และมันเป็นคำถามที่ทำให้คิ้วของเบนขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม เขาแน่ใจว่าไม่ได้เผลอพูดอะไรออกไปทั้งนั้น และไม่มีทางที่จะมีคนรู้นามนี้เด็ดขาด เรื่องราวของท่านตาถูกลืมเลือนไปนานมากแล้ว เห็นเขานิ่งเงียบเด็กหญิงจึงถามซ้ำ “ทำไมนายถึงจะกลายเป็นดาร์ธเวเดอร์แบบตาของนายละ?”
เบนผงะ แน่ใจชัดแล้วว่าเด็กหญิงได้ยินสิ่งที่เขาคิดอยู่จริงๆ เด็กหนุ่มกระเถิบถอย ทิ้งระยะห่างจากร่างเล็กเป็นวา ในขณะที่ปากร้องเรียกอย่างลืมตัว
“ลุงลุค!!!!!”
Chapter 2: Episode 2 That Smile.
Chapter Text
หน้าร้อนนั้นเรย์อายุเก้าขวบตอนที่ชีวิตของเธอพลิกตาลปัตรโดยสิ้นเชิง
เด็กหญิงอาศัยอยู่บนดาวชื่อแจคคูเพียงลำพัง ไม่รู้กระทั่งชื่อพ่อแม่และไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เธอทนทุกข์กับการดิ้นรนต่อลมหายใจให้ผ่านพ้นไปวันๆ อย่างไร้ความหมาย คุ้ยขยะ ลักขโมย ถูกทุกตี ถูกมองข้าม จนกระทั่งวันที่เจไดชื่อลุค สกายวอล์คเกอร์มาปรากฏตัวต่อหน้า
“มากับฉันเธอเถอะหนูน้อย” เขากล่าว “มีใครบางคนที่ฉันอยากแนะนำให้เธอรู้จัก”
เรย์เคยหวาดกลัวที่จะไปจากแจคคู แม้จะรู้ดีว่าที่นี่ไม่มีอะไรสำหรับเธอแต่เด็กหญิงก็ยังหวังอยู่เสมอว่าสักวันคนที่รอคอยจะมาหา ไม่ใช่พ่อกับแม่หรอก เธอจดจำอะไรเกี่ยวกับคนพวกนั้นไม่ได้เลยสักนิด แต่เป็นใครอีกคนต่างหาก คนที่เธอแทบไม่รู้จักแต่กลับคุ้นเคยดีจนน่าขำ เขาเป็นเพียงตัวตนเลือนลางในความฝันซึ่งอยู่เคียงข้างเธอเสมอมา เรย์ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากพอๆ กับที่ไม่รู้เรื่องของพ่อแม่ แต่เธอจำเสียงของเขาได้ น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลคล้ายกับที่เจไดคนนั้นใช้พูดกับเธอ
อาจเพราะแบบนั้นเรย์จึงยอมมาด้วยแต่โดยดี
และนั่นทำให้เธอได้พบกับเขาผู้ใกล้เคียงกับภาพพร่ามัวเบื้องหลังเปลือกตา เด็กหนุ่มซึ่งมีผิวขาวซีดและผมสีดำหยักศก เขาตัวสูง ทั้งจากอายุที่มากกว่าและจากสรีระรูปร่าง เรย์คิดว่าต่อให้โตเต็มที่แล้วเธอก็ยังตามเขาไม่ทันอยู่ดี ทันทีที่สบตากันเรย์ก็รับรู้ได้ถึงการเชื่อมโยงอันแปลกประหลาดระหว่างเธอและเขา ทั้งอารมณ์ ความรู้สึกและเสี้ยวส่วนของความคิด
แม้จะแค่คำบางคำไม่ใช่ทั้งหมด แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้เรย์ได้ยินถ้อยปฏิเสธที่ดังก้องยามเมื่อมาสเตอร์สกายวอล์กเกอร์สั่งให้เขามาเป็นพี่เลี้ยงให้ ทั้งที่น่าจะชาชินกับการถูกทอดทิ้งและการไม่เป็นที่ต้องการแล้วแท้ๆ แต่เรย์กลับเจ็บปวดและผิดหวังยิ่งกว่าที่เคยหลายสิบเท่า
อาจเพราะแบบนั้นเธอเลยปฏิเสธเบนจามิน ออร์กาน่า โซโลกลับไปบ้าง
“ขอเป็นคนอื่นแทนเถอะ คนนี้ดู...ประหลาด”
นอกจากการเชื่อมโยงแล้ว เด็กหญิงยังรับรู้ได้ถึงเงามืดและแสงสว่างที่ประสานเกี่ยวพันกันเป็นโครงร่างอันซับซ้อนครอบทับเหนือตัวตนของเขา มันทำให้เธอหวาดผวา มันทำให้เธอฉงน นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ดีพอให้เธอปฏิเสธเขาได้ เด็กหญิงจึงโพล่งออกไปทันที
แต่สิ่งที่เรย์ไม่มีวันพูดออกไปแน่ๆ ก็คือมันเป็นความขัดแย้งที่ทั้งงดงามและน่าดึงดูดจนทำให้ยากจะละสายตาไปได้เช่นกัน
ซึ่งเธอก็ละสายตาไปจากเขาไม่ได้จริงๆ
เรย์พูดเองแท้ๆ ว่าไม่ต้องการเขา แต่สุดท้ายก็เป็นเธอนั่นแหละที่แอบตามเขาไปทุกที่ เธอทั้งสนใจและใคร่รู้ในตัวตนของเขา เธออยากอยู่ใกล้เขา อยากได้ยินเสียงของเขาที่ฟังคล้ายกับความนุ่มนวลในห้วงฝัน แต่เพราะยังจำสีหน้าโกรธเคืองจากการถูกหักหน้าในวันแรกที่พบกันได้ เรย์จึงตกลงกับตนเองว่าจะขอแอบมองเขาจากที่ไกลๆ ก็พอ
ไม่เป็นไรหรอก เด็กหญิงคิด ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อยยังไงเบนก็ไม่รู้ตัวอยู่ดี
ทว่าเธอคิดผิด เด็กหนุ่มหาเธอพบเสมอไม่ว่าจะซ่อนตัวดีแค่ไหนก็ตาม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มอันล้ำลึกของเขาจะประสานเข้ากับดวงตาสีเฮเซลนัทของเธอเสมอ ก่อนจะเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน ไม่ใช่ความบังเอิญและไม่ใช่ทั้งความตั้งใจ มันเหมือนเขารับรู้ได้ถึงตัวตนอันเล็กจ้อยของเธออยู่ตลอดเวลา
และนั่นยิ่งทำให้เรย์ใคร่รู้ในตัวตนของเบนมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในเช้าวันหนึ่งเรย์เห็นเงามืดขยายตัวเหนือบ่าของเขา ลุกลามและกัดกินจนน่าหวาดผวา สีหน้าของเขาโศกเศร้าจนทำเอาเธอนึกอยากร้องไห้แทน เรย์ตัดสินใจหยุดมันด้วยการกระทำเดียวที่เธอนึกออก นั่นคือการเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลดีเกินไปหน่อย เพราะกลายเป็นว่าเธอกับเบนหันมาทะเลาะกันแทน
ผลจากการกระทำนั้นนำไปสู่การเปิดเผยความลับโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ อย่างที่บอก เธอกับเขาเชื่อมต่อกันด้วยบางอย่างที่แปลกประหลาดและยากแก่การอธิบาย บางครั้งบางคราวมันทำให้เด็กหญิงได้ยินเสียงความคิดของเขา
...ดาร์ธเวเดอร์…
คำๆ นี้ชัดเจนมากจนเรย์ไม่อาจมองข้ามได้ เธอเลยตัดสินใจเอ่ยถาม
ท่าทางลนลานตกใจของเขาทำให้เรย์นึกอยากขมวดคิ้วและหัวเราะไปพร้อมๆ กัน เสียงตะโกนทำให้มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ปรากฏตัวแทบจะในทันที
“เธออ่านใจผมได้” เบนชี้นิ้วอันสั่นระริกมาที่เธอ “ตะ...แต่ได้ยังไงกัน เธอยังไม่ได้รับการฝึกอะไรเลยด้วยซ้ำ”
ตำนานแห่งเจไดถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วไม่อาจทราบ เขาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงกึ่งกลางระหว่างเด็กหนุ่มและเด็กหญิง แผ่นหลังเหยียดตรงอย่างสง่า แต่สีหน้ากลับเอ็นดูจนเกือบคล้ายความอ่อนอกอ่อนใจ
“ไม่ใช่หรอกเบน เรย์ไม่ได้อ่านใจคนได้” คนสูงวัยเริ่มต้นแก้ความเข้าใจผิด “เขาแค่ได้ยินความคิดของเธอ เธอคนเดียวเท่านั้น ซึ่งฉันว่าเธอเองก็น่าจะรับรู้บางอย่างจากเขาได้เหมือนกัน และรู้ไหมว่านั่นมันหมายความว่ายังไง”
“ไม่! ผมไม่รู้” เด็กหนุ่มดึงดันปฏิเสธ เขาผุดลุกยืนเหมือนกำลังพยายามหลีกหนีจากความยุ่งยากทั้งปวง “จะบอกว่านี่คือเหตุผลที่ลุงอยากให้ผมเป็นพี่เลี้ยงของเธอใช่ไหม นี่ต้องเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ๆ ผมไม่เข้าใจทำไม ‘พลัง’ ต้องเชื่อมเราเข้าด้วยกันด้วย มันไม่มีเหตุผลเลยสักนิด”
“พลัง…” เรย์กระซิบทวนคำพูดของเด็กหนุ่ม ตลอดหลายวันที่อยู่ที่นี่ เธอได้ยินคำๆ นี้มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากตำราเรียนอันยากแก่การเข้าใจและจากปากของเพื่อนร่วมชั้นซึ่งเธอไม่สนิทด้วย แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่เรย์จะรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของมันชัดเจนเท่ากับครั้งนี้
“เราจะเสียเวลาถกเรื่องนี้กันทั้งบ่ายก็ได้นะเบน” มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์เอ่ย “ว่าพลังและโชคชะตาเกี่ยวพันกับชีวิตของผู้คนโดยเฉพาะเจไดอย่างไรบ้างเหมือนในคาบเรียนเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ฉันคิดว่าเธอรู้ดีอยู่แล้วว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นมันจะดีกว่ามากถ้าเธอช่วยประหยัดเวลาของเราทุกฝ่ายโดยการยอมทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้เรย์แต่โดยดีเหมือนที่ฉันขอไว้แต่แรก”
“ไม่” เด็กหนุ่มคำรามปฏิเสธ อีกครั้งที่มันทำให้เรย์รู้สึกเหมือนหัวใจของเธอถูกบาดเป็นแผล เบนหันมาทางเธอ เรย์ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตนเองกำลังทำสีหน้าเช่นไรอยู่ ทว่ามันทำให้ทั้งแววตาและน้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนลงอย่างชัดเจน “ผมไม่เหมาะจะดูแลเธอหรอก ไม่เหมาะจะดูแลใครทั้งนั้นแหละ”
แล้วเบนก็เดินออกจากห้องฝึกสมาธิไปทันที ทิ้งเธอไว้เพียงลำพังกับมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ซึ่งหันมาเอ่ยขอโทษเธอแทนเขา
“ให้เวลาเจ้าหลานชายตัวดีของฉันหน่อยแล้วกันนะ”
เรย์สงสัยแต่ไม่ได้ถามออกไป เวลาที่ว่าคือเมื่อไหร่กัน กว่าที่เบนจะยอมรับในตัวเธอและสายสัมพันธ์ที่พวกเขามีได้
.
.
.
.
.
.
เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าตนควรมีปฏิกิริยาเช่นไรกับเรื่องนี้ดี
คนแปลกหน้าสองคนซึ่งอยู่ไกลกันครึ่งค่อนกาแลคซี่ แต่กลับถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยพลังตั้งแต่ยังไม่ทันจะพบหน้า เขาเคยอ่านเจอเรื่องนี้ในตำราเรียนมาก่อน ซึ่งตอนนั้นเด็กหนุ่มคิดเสมอว่ามันเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อ แค่นิทานลวงโลกของเจไดยุคเก่าเพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้กับนิกาย
เบนยังคิดเช่นนั้นอยู่เพียงแต่ปฏิเสธได้ไม่เต็มปากเหมือนเคย เพราะจนถึงตอนนี้เขายังสัมผัสได้ถึงความผิดหวังของเธออยู่เลย มันติดค้างและทิ่มตำจนชวนให้รู้สึกผิด ผิดที่เป็นต้นเหตุให้เด็กหญิงต้องมีสายตาหมองๆ และดวงตาวาวหยดน้ำตาเช่นนั้น
เด็กหนุ่มจมลงอยู่กับความคิดและความสับสนจนกระทั่งแคสเซียนกระโดดเข้ามากอดไหล่เขาไว้เหมือนเคย
“เข้มแข็งไว้ไอ้เพื่อนยาก ฉันรู้ว่ามันน่าหงุดหงิดแต่เดี๋ยวนายก็ลืมแล้ว”
การเห็นเบนเดินขมวดคิ้วไปมาในวิหารแทนที่จะนั่งอยู่บนยานมิลเลเนียมฟอลคอลในวันกลับบ้านสามารถทำให้พาดาวันรวมรุ่นทุกคนคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะมันเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว
ปกติแล้วทุกคนจะปล่อยเบนไว้คนเดียว ให้เวลาเขาสงบสติอารมณ์นานเท่าที่ใจอยาก เพราะหากเจ้าตัวนึกอยากซ้อมดาบเพื่อระบายความหงุดหงิดในเวลานี้ขึ้นมาแล้วก็คู่ประลองล้วนจบไม่สวยทุกราย ทว่าคงมีแต่แคสเซียนเท่านั้นแหละที่ไม่คิดจะทำเหมือนใครเขา
“ไว้เราไปขโมยยานของมาสเตอร์และแอบไปเที่ยวกันอีกดีกว่า ฉันมีดาวเด็ดๆ อยู่ห่างไปแค่สองวาร์ป รับรองว่าทำนายลืมทางกลับบ้านได้เลยด้วยซ้ำ”
ประโยคปลอบใจชวนหนีเที่ยวของเพื่อนสนิททำให้เบนนึกขึ้นมาได้อีกครั้งว่าที่จริงแล้วเขาเพิ่งจะถูกพ่อแม่ผิดสัญญามา คงเพราะมัวแต่ทะเลาะกับเรย์ผสมความตกใจจากสิ่งที่ลุงลุคบอกเขาเลยลืมไปเสียสนิท ความขุ่นมัวที่เคยมีดูจะคลายตัวเร็วกว่าทุกครั้ง ซึ่งเบนบอกไม่ถูกว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่ แต่ไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้วแคสเซียนก็จะหนีบเอาเขาหนีไปเที่ยวด้วยจนได้อยู่ดี
และหลังจากวันนั้นเรย์ก็ยังคงแอบมองเขาอยู่
เพียงแต่เว้นระยะมากขึ้นไม่ได้จ้องเขม็งเหมือนเคย เธอทำแค่เหลือบตามามองเป็นครั้งคราว คล้ายกับว่าเผลอไปและพอนึกได้ก็จะหันกลับไปทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อเหมือนเดิม
เบนรู้ เขารู้เพราะเขาเริ่มที่จะเป็นฝ่ายแอบมองเธอเสียเอง จากที่มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์บอก เรย์สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์และได้ยินเสียงความคิดบางคำของเขา แต่เบนไม่ เขาแค่พอรู้คร่าวๆ เท่านั้นว่าเด็กหญิงกำลังรู้สึกเช่นไรอยู่ และถ้าความรู้สึกนั้นไม่รุนแรงจริงๆ สิ่งที่เขาสัมผัสได้ก็เหมือนจะมีแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น
ถ้าเทียบการเชื่อมโยงถึงอีกฝ่ายเป็นเหมือนความสามารถ เรย์ก็เหนือกว่าเขาอยู่หลายขุมเลยทีเดียว อีกครั้งที่เบนบอกไม่ถูกว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่ และพักหลังมานี้เขาก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องนั้นไม่หยุดจนเผลอมองตามเธอโดยไม่รู้ตัว และนั่นยังทำให้เขาได้รู้อีกว่า…
“เธอไม่มีเพื่อนเลย” เด็กหนุ่มเปรยให้แคสเซียนฟังในวันหนึ่ง เมื่อพบว่าในทุกๆ มื้ออาหารเรย์จะนั่งกินคนเดียวเสมอ พอถึงเวลาว่างก็ปลีกตัวหนีหายไปที่ไหนสักแห่งก่อนจะกลับมารวมกับทุกคนเมื่อคาบเรียนเริ่ม เหมือนกำลังพยายามลดทอนความอึดอัดจากการมีอยู่ของเธอซึ่งไม่เข้าพวกกับใครเขา
“ไม่เห็นแปลก” แคสเซียนไหวไหล่ก่อนจะอธิบายเพิ่ม “เธอโตกว่าเพื่อนร่วมชั้น แต่ก็เด็กกว่าคนอื่นอยู่มาก นายไม่เห็นเหรอว่าในบรรดานักเรียนทั้งหมดไม่มีใครอายุเท่าๆ กับเธอเลย”
นี่หรือเปล่านะสาเหตุของความรู้สึกเปลี่ยวเหงาโดดเดี่ยวที่เบนสัมผัสได้จากเธอเป็นพักๆ แต่ยามเมื่อดวงตากลมโตสีเฮเซลนัทบังเอิญเงยขึ้นสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขา เบนก็ตระหนักได้ว่าเป็นเขาเองนั่นแหละที่ทำให้เธอต้องรู้สึกเช่นนี้ เพราะหากเขายอมเป็นพี่เลี้ยงให้ตามที่มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์สั่ง เรย์ก็จะไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียว
เด็กหนุ่มตัดสินใจลดทอนความรู้สึกผิดที่ตนมีโดยการพยายามหาเพื่อนให้กับเด็กหญิง เขาขอร้องแกมบังคับ “เพจ” ให้เข้าไปคุยกับเรย์โดยแลกกับการแอบฝึกวิธีบังคับยานเอ็กซ์วิงให้อย่างลับๆ หลักสูตรนอกคอกซึ่งไม่มีในวิชาเรียนของเจได
เพจเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าซึ่งมีผมสีดำยาวประบ่าและดวงตาเรียวยาวสีดำ เบนจำได้ว่าเธอเคยเล่าให้ฟังว่ามีน้องสาวชื่อโรสซึ่งอายุใกล้เคียงกับเรย์อยู่ที่ดาวบ้านเกิด เพจเป็นคนอารมณ์เย็นซ้ำยังเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เป็นบุคลิกนิสัยแบบที่พี่สาวสมควรจะมี
อาศัยเพจเป็นตัวเชื่อม เบนคิดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงก็น่าจะสนิทกับกลุ่มเพื่อนคนอื่นได้ไม่ยาก และเมื่อความว้าเหว่ของเธอจางหายไป เขาจะได้เลิกรู้สึกผิดและเลิกสนใจในตัวเธอเสียที
แต่ก็เป็นอีกครั้งและอีกครั้งที่เบนคิดผิด
ซึ่งกว่าเด็กหนุ่มจะตระหนักได้เวลาก็ล่วงไปแล้วถึงสามเดือน
.
.
.
.
.
.
“เพจเร็วเข้า เร็วๆ สิ”
เบนซึ่งกำลังใช้เวลาว่างนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้แอบลดมือลงเล็กน้อยเพื่อที่จะมองได้สะดวกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงร่าเริงที่คุ้นเคยดังแว่วมา กลุ่มของเพจอันประกอบไปด้วยพาดาวันอายุราวสิบสี่สิบห้าจำนวนหกคนกำลังเดินตัดผ่านสวนเพื่อตรงไปยังโรงอาหาร เรย์เดินนำโดยฉุดมือเด็กสาวให้ตามมาอย่างเร่งรีบ
“ใจเย็นเรย์ขนมมันไม่หายไปไหนหรอก”
“ฟาดข้าวเที่ยงไปตั้งสามชามแล้ว ยังคิดจะกินอีกเหรอ”
“ฉันบอกแล้วว่ากระเพาะเรย์น่ะหลุมดำชัดๆ”
สมาชิกคนอื่นในกลุ่มแซวต่อกันเป็นระลอก พวกเขาประสานเสียงกันหัวเราะทำให้เรย์พลอยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีไปด้วย เด็กหญิงดูสดใสขึ้นเยอะนับตั้งแต่มีเพื่อน เธอหัวเราะมากขึ้น พูดเก่งขึ้นและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกแยกเหมือนในช่วงที่มาใหม่ๆ อีกต่อไปแล้ว ถ้าจะมีอะไรที่แตกต่างก็คงเป็นตรงที่เธอยังไม่ยอมถักเปียเหมือนเดิม
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือสิ่งที่เห็นควรจะทำให้เบนวางใจและเลิกสนใจในตัวเธอได้เสียที แต่ก็ไม่ เขายังแอบมองเธออยู่ ซ้ำยังพลั้งเผลอบ่อยขึ้นและบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนน่าหนักใจ รอยยิ้มของเธอทำให้หัวใจของเขาคันยุบยิบอย่างหาคำอธิบายไม่ได้ บางครั้งบางคราวมันถึงกับทำให้เขาเผลอยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัวอีกต่างหาก
และที่สำคัญที่สุดเขายังรู้สึกถึงมันอยู่ การเชื่อมโยงของพลัง กล้าแกร่งและเหนียวแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านพ้น ทั้งที่พวกเขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใดต่อกันเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งเบนคิดว่าสาเหตุไม่ใช่เพราะเขาหรอก แต่เป็นเพราะเรย์ต่างหาก
เด็กหญิงพัฒนาไปไวมากจนแม้แต่เขาที่ถูกเรียกเป็นอัจฉริยะยังแทบตกกระป๋อง เพียงเวลาไม่กี่เดือนเรย์ก็ผ่านหลักสูตรขั้นต้นและสามารถใช้พลังยกสิ่งของได้ตามใจนึกแล้วถึงแม้จะยังเป็นแค่ของขนาดเล็กไม่เกินหนึ่งฝ่ามือก็ตามที ทว่าด้วยอัตรานี้ เมื่ออายุเท่ากันเธอต้องแซงหน้าเขาได้แน่ๆ
แทนที่จะร้อนรน เบนกลับภูมิใจเสียได้
นั่นเพราะเขามีส่วนเป็นอย่างมากที่ทำให้เด็กหญิงพัฒนาไปได้ไวถึงเพียงนี้ ผ่านทางเพจและพาดาวันคนอื่นที่เขาขอร้องกึ่งบังคับให้ช่วยสอนเรื่องต่างๆ ของเจไดให้กับเรย์ เด็กหญิงจึงเหมือนรู้ล่วงหน้าหลักสูตรไปเสียหมดตั้งแต่มาสเตอร์กสายวอล์คเกอร์ยังไม่ทันจะสอน ส่วนภาคทฤษฏีกับพวกข้อสอบก็ให้แคสเซียนเอาสมุดโน้ตของเขาไปให้อย่างลับๆ
“ถ้าจะดูแลดีขนาดนี้ทำไมไม่ยอมเป็นพี่เลี้ยงให้ซะตั้งแต่แรกละเจ้าบ้า”
แคสเซียนมักบ่นเช่นนั้นเสมอ แต่พอเบนขู่ว่าจะฟ้องลุงลุคเรื่องที่อีกฝ่ายแอบเอาเหล้าหมักของชาวเครทเข้ามาในโรงเรียน แคสเซียนก็ทำได้เพียงขมุบขมิบปากและทำหน้าที่เด็กเดินสารให้แต่โดยดี แน่นอนว่าเบนกำชับให้ปิดทั้งหมดเป็นความลับ แคสเซียนจึงเหมือนได้หน้าจากการปั้นดาวดวงใหม่ในหมู่พาดาวันไปกลายๆ
ผลจากความช่วยเหลืออย่างลับๆ ของเบนทำให้มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์จำต้องออกหลักสูตรพิเศษให้กับเรย์โดยเฉพาะ แม้จะยังมีคาบที่ต้องเรียนกับเด็กเล็กอยู่บ้าง แต่ก็มีคาบที่ได้เรียนกับพวกเพจเช่นกัน แบบนี้น่าจะทำให้เด็กหญิงเหงาน้อยลงอีกนิดและร่าเริงได้มากขึ้นอีกหน่อย
ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง เบนไม่เคยรู้สึกเลยว่ารอยยิ้มของเรย์เป็นของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ จะว่าไงดีละ เธอก็กำลังยิ้มและดีใจอยู่น่ะแหละ เพียงแต่เหมือนยังไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงที่เธอใฝ่หา เบนไม่รู้ว่าเขาเอาความคิดเช่นนั้นมาจากไหน แต่ก็เหมือนความรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ เด็กหนุ่มไม่อาจสลัดหลุดหรือคิดเป็นอื่นไปได้เลย
คงเพราะแบบนั้น เขาจึงไม่อาจหมดกังวลและไม่อาจละลายตาไปจากเธอได้เสียที
เด็กหนุ่มมองตามกลุ่มของเพจ ไม่สิ ตามเรย์ไปจนลับสายตา เมื่อกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งเขาถอนหายใจเฮือกก่อนจะเอนตัวพิงต้นไม้ แผ่นหลังไถลครูดลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นนอนบนพื้นหญ้าในที่สุด เด็กหนุ่มพลิกเปิดหนังสือได้อีกเพียงสองสามหน้าเท่านั้นก่อนจะตัดสินใจว่าพอดีกว่า
ความคิดที่กำลังยุ่งเหยิงกับเนื้อหาประวัติศาสตร์การสงครามแห่งสหพันธรัฐมันไปด้วยกันไม่ได้ เบนแบ่งจำนวนหน้าออกเป็นครึ่งๆ แล้ววางแปะลงบนใบหน้าของตนเองเพื่อช่วยบดบังแสงอาทิตย์
ร่มเงาใต้แมกไม้ของฤดูร้อนกับสายลมยามเย็นย่ำทำให้เด็กหนุ่มผล็อยหลับไปภายในเวลาไม่นานนัก ซ้ำยังเป็นนิทรารมณ์ที่ดิ่งลึกจนไม่ได้รับรู้เลยว่าร่างเล็กเมื่อครู่ได้เดินย้อนกลับมาหา ทรุดนั่งขัดสมาธิลงเคียงข้าง ถือวิสาสะจับผมเปียของเขาเล่นอย่างซุกซนก่อนจะเลื่อนไปที่ข้างแก้มแล้วใช้นิ้วชี้ดึงยกมุมปากให้บิดขึ้น
เด็กหญิงจากไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากตอนมา ทว่าที่ต่างออกไปคือรอยยิ้มซึ่งแย้มกว้างและเปล่งประกายยิ่งกว่าครั้งใด หากจะเรียกเป็นรอยยิ้มที่แท้จริงที่เบนมองหามาตลอดก็คงไม่ผิดนัก
Chapter 3: Episode 3 Getting to Know Each Other
Chapter Text
ฤดูร้อนใกล้สิ้นสุดลงแล้วและมันมาพร้อมกับช่วงเวลาปิดเทอมสั้นๆ ของเหล่าพาดาวัน
กฏดั้งเดิมระบุไว้ว่าเจไดไม่ควรมีความรักหรือสายสัมพันธ์กับผู้อื่นพราะอาจเป็นหนทางที่ชักนำไปสู่ด้านมืดได้ง่ายดายขึ้น ทว่ามาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ไม่คิดเช่นนั้น เขามองว่าพวกพ้อง ครอบครัวหรือแม้กระทั่งคนรักเป็นสิ่งที่ทำให้เจไดดำรงอยู่ในแสงสว่างได้อย่างมั่นคงยิ่งกว่า
เพราะแบบนั้นแทนที่จะตัดขาดเด็กๆ จากครอบครัวเหมือนเจไดยุคเก่าและผลักไสภาระหน้าที่อันหนักอึ้งเกินความจำเป็นให้ มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์จึงกำหนดให้เด็กๆ กลับบ้านได้ทุก 30 วันและมีปิดเทอมในช่วงปลายฤดูร้อนหนึ่งครั้งและกลางฤดูหนาวอีกหนึ่งครั้งอีกด้วย
มันเป็นเรื่องดีที่ทำให้ความหนักหนาของการเรียนรู้ในแต่ละวันมีความหมาย แต่ถ้าถามเบนคงต้องบอกว่ามันไม่มีผลอะไรกับเขาเลยสักนิดเพราะสุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มก็ยังติดแหงกอยู่ที่นี่อยู่ดี เขาจำไม่ได้แล้วว่างวดนี้ข้ออ้างของพ่อและแม่คืออะไร แต่คงเพราะเตรียมใจไว้อยู่แล้ว ความหงุดหงิดจึงไม่ได้มากมายเหมือนที่แล้วมา
“ไปก่อนนะเพื่อน” แคสเซียนตบไหล่เขาเพื่อบอกลาก่อนจะเดินขึ้นยานซึ่งมีดรอยซีรีส์ KX สีดำตัวสูงกว่าสองเมตรเป็นคนขับ “แล้วจะถ่ายรูปฉันกับสาวๆ บนดาวซันครีทมาฝาก!”
เพจเองก็แวะมาลาเขาเช่นกัน “ไว้เปิดเทอมเรามาแข่งกันใหม่ ครั้งนี้ฉันต้องชนะแน่” เด็กสาวหมายถึงเกมขับยานต่อสู้จำลองซึ่งยังไม่เคยมีใครเอาชนะเบนได้มาก่อน
เบนบอกลาเพื่อนๆ พาดาวันคนแล้วคนเล่า จนในที่สุดทั้งโรงเรียนเจไดก็เหลือแต่ความว่างเปล่า เสียงแมลงของฤดูร้อนแทรกเข้ามาแทนที่ความวุ่นวาย แม้จะเป็นคนชอบความสงบแต่เด็กหนุ่มก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกวูบโหวงอยู่ดี ดูเหมือนว่าต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่คุ้นชินกับการถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเสียที
ปกติแล้วช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน จะเป็นเวลาสำหรับขัดเกลาสมาธิและเพิ่มพูนด้านสว่างของเบนโดยมีมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์คอยควบคุมอย่างใกล้ชิด
มีความมืดและความเป็นเวเดอร์อยู่ในตัวเขามากเกินไป พ่อเคยพูดกับแม่ไว้เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งดูเหมือนจะจริง เบนมีพลังอันมากล้นทว่ามันไม่มั่นคง เขาเหมือนยืนอยู่บนขอบเหวที่กั้นแบ่งระหว่างความเป็นเจไดและซิธโดยพร้อมจะร่วงหล่นไปได้ทุกเมื่อ
เพราะแบบนั้นเขาจึงต้องฝึกและฝึกอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ได้หยุดพักเพื่อไม่ให้ด้านมืดมีอำนาจเหนือด้านสว่างในตัวตนได้ ทว่าฤดูร้อนนี้ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างใจคิดสักอย่าง
มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ไม่อยู่ ติดพันภารกิจ ณ โพ้นกาแลคซี่ กว่าจะกลับได้คงอีกเป็นอาทิตย์ เบนรู้ตารางฝึกและทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำแล้วก็จริงแต่ดูเหมือนปรมาจารย์เจไดจะไม่สบายใจกับการปล่อยเขาไว้คนเดียวเท่าไหร่นัก เพราะแบบนั้นอาร์ทูดีทูเลยถูกทิ้งไว้เช่นกัน
“ปิ้ว ปี้บๆ”
เจ้าดรอยตกรุ่นบ่นไม่หยุดมาครึ่งวันแล้ว เพราะแทนที่จะได้ไปทำภารกิจกับคู่หู มันกลับต้องมาถูกทิ้งบนดาวเคราะห์ที่ไม่มีกระทั่งไฟฟ้าใช้แทน
“ไม่ใช่ความผิดฉันสักหน่อยที่เจ้านายแกเป็นพวกขี้กังวล” เบนโต้กลับอย่างไม่ใส่ใจในขณะที่จุ่มพู่กันลงไปในขวดหมึก ขณะนี้เด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่โรงอาหาร รายล้อมไปด้วยกระดาษและชุดพู่กันอันเป็นงานอดิเรกของเขาซึ่งกระจายอยู่เต็มโต๊ะไม้ตัวยาว แคสเซียนค่อนแคะอยู่บ่อยๆ ว่าเบนเป็นพวกหัวโบราณและทำตัวเหมือนคนแก่ยิ่งกว่าคนแก่จริงๆ เสียอีก เขาชอบอ่านหนังสือที่ทำจากกระดาษในขณะที่ทุกอย่างถูกบันทึกลงหน้าจอจนหมด เขาชอบการขีดเขียน ชอบภาพวาดและชอบดนตรีเครื่องสาย ซึ่งทุกอย่างที่ว่ามาแทบจะตายหายไปจากกาแลคซี่อันล้ำสมัยนี้หมดแล้ว
อาร์ทูส่งเสียงออกมาอีกระลอก เบนร้องเหอะพลางอมยิ้มมุมปาก
“เรียกชิวอี้มารับเลยฉันไม่รั้งแกไว้หรอกอาร์ทู ถ้าแกไปอีกคนดาวนี้ก็เป็นของฉันคนเดียว”
ดรอยสีขาวฟ้าส่งเสียงประท้วง บอกว่าไม่ใช่เสียหน่อย เบนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไม่ทันจะถามเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างเสียก่อน
…เรย์…
อีกด้านของปลายโต๊ะตัวยาวคือร่างเล็กผอมแห้งซึ่งมัดผมสามจุด แม้จะยืนเขย่งเท้าเพื่อเกาะขอบโต๊ะแต่ดวงตาสีเฮเซลนัทคู่นั้นก็เพิ่งโผล่พ้นขึ้นมาได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น
เธอจ้องมองมาทางเขาและอาร์ทู กวาดสายตาขึ้นลงอย่างสนอกสนใจก่อนจะตัดสินใจถาม
“มันคืออะไร”
“นี่น่ะเหรอ” เขาทิ่มนิ่วโป้งไปทางดรอยคู่ใจของลุง “นี่คือ....”
“แอสโตรแมทดรอยรุ่นอาร์คลาสอาร์ทู เน้นทำงานซ่อมแซมยานแต่ใช้เป็นผู้ช่วยนักบินได้เหมือนกัน ผลิตโดยออโตมาตันอินดัสเตรียล น้ำหนักตามมาตราฐานสามสิบสองกิโลกรัม ชำแหละออกมาได้ร้อยยี่สิบหกชิ้นไม่นับแผงจงวร จะขายได้ขนมปังห้าส่วน”
เบนไม่รู้ว่าควรแปลกใจกับอะไรดีระหว่างการที่เธอรู้จักดรอยดีมากจนไม่สมกับช่วงอายุหรือการที่เธอคิดแต่จะแยกชิ้นส่วนอาร์ทูไปแลกอาการ แต่ที่แน่ๆ คำอธิบายยาวยืดของเด็กหญิงบอกชัดว่าความสงสัยของเธอไม่ได้เกี่ยวกับดรอยของลุงเขา ถ้างั้นก็คงเป็น...
“แปลว่าเธอหมายถึงนี่” เบนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งถูกขีดเขียนไปแล้วขึ้นโบกไปมาในอากาศ เรย์หยักหน้า ก้าวมาทางเขาอย่างเกร็งๆ และกล้าๆ กลัวๆ
เด็กหนุ่มยื่นส่งให้อย่างไม่คิดหวงแหน พอเรย์รับไปแล้วก็เริ่มอธิบายให้ฟัง
“ก็คือกระดาษน่ะแหละ แบบเดียวกับตำราศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลือมาจากยุคเก่าในห้องทำงานมาสเตอร์ เธอเองก็น่าจะเคยเห็น”
เด็กหญิงพยักหน้าทว่าดวงตายังไม่ละไปจากสิ่งที่อยู่ในมือ “แล้วที่เขียนอยู่บนนี้ละแปลว่าอะไร”
“ชื่อฉันเอง แต่เป็นภาษาดาวนาบูดาวบ้านเกิดของยายฉัน” ทั้งจักรวาลตกลงจะใช้ภาษากลางในการสื่อสารระหว่างกันก็จริง ทว่าดวงดาวซึ่งยึดหลักศักดินาและปกครองโดยราชวงศ์อย่างนาบูย่อมมีภาษาเป็นของตนเองอยู่แล้วรวมทั้งตัวหนังสือก็ด้วย เบนชอบความชดช้อยของอักษรดาวนาบู เขาพบว่ามันเหมาะกับงานอดิเรกของเขาจึงหัดเขียนเรื่อยมา
“มันสวยมาก” เรย์ไล้ปลายนิ้วไปตามลายเส้นฉวัดเฉวียนที่เห็นอยู่ คำชมของเธอเรียบง่ายแต่กลับทำให้เขารู้สึกภูมิใจในความชอบแสนเชยของตนเองขึ้นมาอีกเท่าตัว
“มานี่สิ ฉันจะเขียนชื่อเธอให้ดู” เบนเอ่ยชวนพลางนึกแปลกใจในความสนิทสนมของรูปประโยคที่ตนเองเลือกใช้ไม่น้อย แต่พอเรย์กระโดดมานั่งข้างกันอย่างไม่รีรอเขาก็บอกตนเองว่าช่างมันเถอะ
เด็กหนุ่มจุ่มพู่กัน หยิบกระดาษเปล่ามาอีกแผ่นแล้วเริ่มต้นเขียนให้ดูสองสามครั้งก่อนจะส่งให้เรย์ลองบ้าง ในขณะที่มือมองเล็กกำด้ามไม้อย่างเก้ๆ กังๆ เบนก็ตัดสินใจถาม
“ไม่กลับบ้านหรือ? ”
“ไม่” เด็กหญิงตอบห้วน “ไม่มี”
คำขยายอันน้อยนิดมาพร้อมกับความเศร้าที่ใหญ่โตยิ่งนัก ดวงตาสีเฮเซลนัทหลุบต่ำ จ้องแต่ลายเส้นยึกยักที่ตนเองสร้างและท่าทีเช่นนั้นทำให้เบนทำตัวไม่ถูก คำตอบนั้นผสมกับพฤติกรรมหลายๆ อย่างของเรย์ทำให้พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเธอต้องโตมาในสภาวะแวดล้อมแบบไหน ความรู้สึกที่เด็กหญิงแผ่ออกมาทำให้ในอกของเขารวดร้าวและเศร้าหมอง รวมทั้งทำให้เกิดความคิดอันแปลกประหลาดว่าเขาอยากชดเชยทุกอย่างที่ขาดหายไปตลอดหลายปีมานี้ให้กับเธออีกด้วย
ทว่าเบนไม่ได้พูดออกไป เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เขาแค่ปล่อยให้เธอใช้เครื่องเขียนโบราณของเขาต่อไปตามใจชอบ ความหม่นหมองจางตัวลง แทนที่ด้วยความเพลิดเพลินและความสุขเล็กๆ จนทำให้เขาเกือบเผลอยิ้มตาม ผ่านไปอีกพักใหญ่ๆ อาร์ทูก็สะกิดขาของเขาบอกว่าใกล้ได้เวลาฝึกตามตารางที่มาสเตอร์มอบหมายไว้แล้ว
ตอนนั้นเองที่เด็กหญิงก็เงยหน้าขึ้นมาถาม
“เราดีกันหรือยัง”
“หือ? ” เสียงของเขาแสดงถึงความงุนงงอย่างไม่ปิดบัง ทว่าเด็กหญิงก็ยังจะเลือกถามแบบเดิมซ้ำสอง
“เราดีกันแล้วหรือยัง”
ใช้เวลาอีกนิดในการใคร่ครวญ เบนถึงได้เข้าใจว่าเรย์กำลังหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง เด็กหนุ่มสังเกตเห็นคราบหมึกจางๆ บนผิวแก้มทำให้อดไม่ได้ที่จะยกปลายนิ้วขึ้นไปเกลี่ยออกให้ เรย์หลับตาข้างเดียวกันลงในขณะที่อีกข้างยังไม่ละไปจากเขา
“น่าจะนะ” เด็กหนุ่มตอบคลุมเครือ ไม่อยากยอมรับแต่ก็ไม่ต้องการจะปฏิเสธ
มีบางอย่างที่แสนพิเศษก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาจริงๆ
.
.
.
.
.
.
ฤดูร้อนใกล้สิ้นสุดลงแล้วและทั้งดาวช่างเงียบสงัดเพราะเหลือกันเพียงสองคน
เด็กหญิงได้ยินมาจากเบนว่า มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์เลือกช่วงเวลานี้ของปีให้เหล่ายังลิ่งกลับบ้านเพราะว่าจะไม่มีใครอยู่ดูแลพวกเขา ปกติแล้วความเรียบร้อยภายในโรงเรียนเจไดจะถูกจัดการโดยเหล่าแม่บ้านชาวลานัยซึ่งมีรูปร่างเหมือนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ผิวมัน ตาโต และขาเรียวเล็กเก้งก้าง
ปลายฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาเลือกคู่ของดาวอาร์คโท และชาวลานัยซึ่งเป็นชนพื้นเมืองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับไป มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์เลยจำใจเพิ่มเวลาปิดภาคเรียนเป็นสองครั้งแทนที่จะมีแค่ปิดภาคฤดูหนาวเพียงอย่างเดียวเช่นกัน ปกติแล้วแม่บ้านลานัยจะดูแลทุกอย่างตั้งแต่หุงหาอาหารไปจนถึงจัดการเสื้อผ้าและที่พัก พวกเธอทำงานเนี้ยบมากก็จริงแต่ก็จุกจิกเป็นอย่างมากเช่นกัน
เด็กหญิงโดนบ่นอยู่บ่อยๆ เรื่องที่ทำให้เสื้อผ้ามอมแมมมากกว่าคนอื่น ถ้าจะมีอะไรที่เธอชอบเกี่ยวกับพวกแม่บ้านก็คงเป็นฝีมือทำอาหาร ซึ่งมันยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เรย์เคยได้ทานมาตลอดเก้าปี ถึงแม้ว่าเธอจะเคยทานแต่ขนมปังกับน้ำก็เถอะ
แต่พอได้มาชิมอาหารฝีมือเบนแล้วเรย์ก็ขอถอนคำพูด
นี่ต่างหากของอร่อยที่สุด
“เช้านี้จะกินอะไรดี ไข่หรือเบค่อน” เด็กหนุ่มถามในขณะที่ม้วนถกแขนเสื้อสีขาวขึ้นไปเหนือข้อศอก
และเรย์ไม่รอช้าที่จะตอบว่า “สองอย่าง! ”
เบนยิ้มบางเบาด้วยความเอ็นดูก่อนจะเริ่มต้นลงมือทำอาหาร เขาขยับมีดอย่างคล่องแคล่วขณะเล่าให้ฟังไปด้วยว่าตั้งแต่มาเป็นพาดาวันตอนอายุสิบสองเขาก็ได้กลับบ้านในช่วงปิดเทอมแค่ห้าครั้งเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นคือต้องติดอยู่ที่นี่กับมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ซึ่งทำเป็นแค่ปลาย่างและรีดนมจากตัวบันธา
เขายังเล่าอีกว่าสมัยเด็กๆ แต่ละมื้อที่เคยทานมาจะมีอาหารขึ้นโต๊ะเกือบสิบอย่าง พอมาเจอแต่อะไรซ้ำๆ เดิมๆ ของมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ เบนเลยทนไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาหัดทำอาหารเองจนชำนาญอย่างที่เห็น
“ทำไมกินเยอะจัง เบนมีพี่น้องเยอะเหรอ” เรย์ถามอย่างใสซื่อ เบนชะงักไปนิดหนึ่งราวกับลืมตัวก่อนจะตอบแผ่วๆ ว่า
“เปล่าครอบครัวทางฝั่งแม่ค่อนข้าง...ร่ำรวยและพิธีเยอะน่ะ”
แล้วเขาก็เสมองไปทางอื่น
เรย์รู้มาสักพักแล้วมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์กับเบนเป็นญาติกัน แต่เพิ่งจะรู้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไรก็ในวันนี้
“มาสเตอร์กับแม่ฉันเป็นฝาแฝด บางครั้งเวลาลืมตัวฉันก็จะเรียกเขาว่าลุงลุคเหมือนกัน” เด็กหนุ่มว่าขณะวางจานอาหารเช้าที่มีปริมาณมากพอๆ กับของเขาลงตรงหน้าเธอ
“แต่ว่าชื่อกลางของเบนคือออร์กาน่าไม่ใช่เหรอ” ไม่ใช่สกายวอล์คเกอร์เสียหน่อย
“...เรื่องมันยาวน่ะ” แล้วเขาก็เสมองไปทางอื่นอีกครั้ง เรย์เลยรู้สึกว่าหยุดเรื่องครอบครัวไว้แค่นี้จะดีกว่า เพราะนอกเหนือไปจากเหตุผลที่ว่ามันทำให้เขาดูอึดอัดใจแล้ว ถ้าต้องเล่ากลับไปบ้างเธอเองก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน เด็กหญิงคิดพลางตักไข่คนเข้าปากไปคำโต
ตลอดสองสามวันมานี้เรย์ได้พูดคุยกับเบนมากกว่าที่เคยตลอดหลายเดือนรวมกันเสียอีก เธอรู้จักเขามากขึ้นทีละนิดจากบทสนทนาและช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกัน พูดตามตรงคือเรย์ตัวติดกับเขาตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ พอเขาฝึกเธอก็ไปนั่งดู ตอนอ่านหนังสือก็ไปขออ่านด้วย ยิ่งตอนที่เขาขนชุดเครื่องเขียนแบบโบราณออกมาให้เธอยืมใช้ด้วยกัน ยิ่งเป็นช่วงที่เรย์โปรดปรานเข้าไปใหญ่
เบนดูไม่ได้แต่ลำบากใจหรือรำคาญเหมือนที่เรย์คาดไว้ กลับกันเขาดูแลเธอดีมากจนเป็นเธอเสียอีกที่รู้สึกแปลกใจในความอ่อนโยนนี้ มันทำให้หัวใจของเด็กหญิงทั้งเป็นสุขและอบอุ่น โดยเฉพาะเวลาที่เขายิ้มให้ ลักยิ้มตรงข้ามแก้มจะบุ๋มลงไปจนเป็นเส้นขีดทุกครั้งถ้าเขายิ้มกว้างพอ ซึ่งก็ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนัก
เรย์ชอบรอยยิ้มของเบน เธอหลงใหลมันพอๆ กับความขัดแย้งในตัวตนของเขาน่ะแหละ
แต่ให้พูดตามตรงความใกล้ชิดนี้ก็ยังไม่ใช่ความสนิทสนมอยู่ดี มันเหมือนยังมีเส้นบางๆ กั้นระหว่างกันอยู่เสมอ ระยะห่างที่เบนจงใจสร้างขึ้น และเรย์รู้ดีว่าเพราะอะไร
เบนยังไม่เปิดใจยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพลังเชื่อมต่อพวกเขาไว้ด้วยกันจริงๆ
เรย์ได้ยินความสับสนภายในหัวของเขา เขาสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์แต่กลับไม่พร้อมจะเชื่อ ซึ่งก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เด็กหญิงไหวไหล่ให้ตนเอง เธอยังมีเวลาอีกหลายสัปดาห์กว่าเขากลับไปเป็นเบน โซโลผู้ห่างเหินตามเดิมเมื่อเพื่อนๆ พาดาวันกลับมา ส่วนในระหว่างนี้เขาจะเป็นของเธอคนเดียว
“ปี้บๆ ๆ ปิ้วววว ปี้บบบ”
ถ้าไม่นับอาร์ทูดีทู
ดรอยของมาสเตอร์ดูจะไม่ค่อยชอบเรย์เท่าไรนับตั้งแต่ที่เธอวิเคราะห์มันแล้วบอกว่าสามารถแยกชิ้นส่วนไปแลกเป็นอาหารได้ เด็กหญิงไม่ได้ตั้งใจ เธอแค่เผลอไป เพราะทั้งหมดที่เธอทำมาตลอดหลายปีคือการคุ้ยกองขยะเพื่อหาของมีค่าไปขาย ดังนั้นมันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
อาร์ทูดีทูมักบ่นว่าเรย์ทำให้ตารางฝึกของเบนรวนเพราะเขาใช้เวลาอยู่กับเธอมากเกินไป แต่เรย์คิดว่าสาเหตุที่แท้จริงที่มันทำตัวจุกจิกยิ่งกว่าแม่บ้านลานัยเป็นเพราะกลัวถูกเจ้านายดุมากกว่า มาสเตอร์คงไม่ชอบใจเท่าไหร่ถ้าได้รู้ว่าหลานชายเพียงคนเดียวเอาเวลาฝึกนั่งสมาธิมางีบหลับแทน
ประตูถูกแง้มเปิดไว้อยู่แล้ว เรย์จึงสามารถชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องพักของเบนได้ เธอเห็นเด็กหนุ่มนอนตะแคงข้างหันหลังให้อยู่บนฝูกที่ปูกับพื้น เขากำลังหลับอยู่เหมือนที่อาร์ทูบ่นจริงๆ เสียด้วย เบนคงเหนื่อยมาก เพราะนอกจากการฝึกเป็นเจไดแล้วเขายังต้องเจียดเวลามาดูแลเธออีก
ตอนแรกเรย์กะจะมาชวนเขาไปเดินเล่นด้วยกัน แต่เห็นแบบนี้แล้วเด็กหญิงจึงตัดสินใจว่าไปคนเดียวจะเป็นการดีกว่า เธอยังไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของเขา อีกอย่างสถานที่ที่เธออยากไปเป็นแค่ลำธารเล็กๆ ซึ่งทอดตัวอยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่านั้น ไปนั่งเล่นสักชั่วโมง แล้วตอนเย็นค่อยกลับมาปลุกเบนไปกินข้าวด้วยกัน ฟังดูเป็นความคิดที่ไม่เลวเท่าไหร่
แต่ก่อนอื่น...
เรย์ดึงเสาอากาศของอาร์ทูดีทูเพื่อรั้งตัวไว้จากการพยายามปลุกเบน เด็กหญิงแสยะยิ้มในขณะที่มือขวาหยิบไขควงขึ้นมา ภาษาไบนารี่ดังอย่างประท้วงแต่ไม่ทันเสียแล้ว อึดใจถัดมาดรอยคู่ใจของมาสเตอร์ก็เข้าสู่โหมดพักเครื่อง กว่าจะบูทตัวเองกลับมาได้ใหม่ก็คงอีกเกือบชั่วโมง เหมาะเจาะกับแผนที่เรย์ตั้งใจไว้พอดี
เด็กหญิงฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ขณะเดินลึกเข้าไปในป่า
ไม่ได้ฉุกใจคิดเลยว่าการกระทำนี้จะก่อให้เกิดระลอกของการเปลี่ยนแปลงได้มากมายเพียงใด
.
.
.
.
.
.
อาร์ทูตื่นขึ้นมาเร็วกว่าที่เรย์คาดไว้มาก
ใช้เวลาแค่สิบห้านาทีเท่านั้น เจ้าดรอยสีฟ้าขาวก็สามารถกู้คืนระบบของตัวเองกลับมาได้สำเร็จ อย่างแรกที่มันทำคือการส่งเสียงบ่นไม่หยุดแล้วขยับตัวเอียงไปมาเหมือนคนกำลังกระทืบเท้า เชื่อได้เลยว่าหลังจากนี้ความชอบในตัวเด็กหญิงคงลดฮวบลงไปอีกมาโข หลังโวยวายจนหนำใจแล้วมันก็เคลื่อนเข้าไปในห้องของเด็กหนุ่ม
ทว่ายังไม่ทันจะใช้แขนกลจิ้มปลุก เบนก็ลุกพรวด
“เรย์” เขาครางเรียก เหงื่อไหลซึมลงมาตามกรอบหน้า ท่าทีกระวนกระวายดูคล้ายเพิ่งตื่นจากฝันร้าย เมื่อดวงตาสีน้ำตาลหันมาเห็นว่าในห้องนี้ยังมีอาร์ทูอยู่อีกตัว เขาก็ถามรัวเร็ว “เรย์ละ เธออยู่ที่ไหน!”
อาร์ทูตอบไม่ได้ มันรู้แค่ทิศทางสุดท้ายที่เด็กหญิงเดินไปก่อนเครื่องจะปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์เท่านั้น และเบนไม่รอช้าที่จะตวัดผ้าห่มออกแล้ววิ่งไปทางนั้นทันที
“เรย์!!” เขาตะโกนเรียก รีบมากจนถึงขั้นลืมใส่รองเท้า ความรู้สึกหนาวสั่นแล่นปราดเข้ามาตามไขสันหลัง เขาหายใจไม่ออก ในอกมันแน่นไปหมด เขาสำลัก ทั้งที่กำลังยืนอยู่พื้นดินอันแห้งผากแต่เบนกลับรู้สึกเหมือนตนเองใกล้จะจมน้ำเข้าไปทุกที
นี่ไม่ใช่ความรู้สึกของเขา แต่มันมาจากเธอ
“เรย์!!” เด็กหนุ่มยังคงตะโกนเรียกอย่างต่อเนื่อง เสียงของเขาก้องอยู่ในป่าฤดูร้อน ทว่าไม่มีเสียงของเธอตอบกลับมา เบนสัมผัสได้ถึงความกลัวในตัวเขา มันลุกลามอย่างไร้เหตุผล เขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเธอจริงหรือเปล่า แต่กระนั้นเขาก็ยังกลัว
...เบน...
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงกระซิบ เป็นเสียงของเรย์ไม่ผิดแน่ มันแผ่วเบาและฟังโรยแรง พาให้ความกลัวและความตื่นตระหนกของเขาเหยียดขยายขึ้นไปอีก อาร์ทูดีทูตามเขาทันแล้ว มันส่งเสียงถามว่าทำไมเขาต้องกระวนกระวายถึงขนาดนี้ด้วยและเบนไม่มีคำอธิบายให้
...เบน...
เสียงของเธอกระซิบเรียกเขาอีกครั้ง
...ช่วยด้วย...
เบนตัดสินใจเลิกคิดว่าจะหาเธอเจอด้วยวิธีไหน เขาปล่อยให้ตนเองรู้สึกถึงตัวตนของเธอแทนอย่างที่ทำมาตลอดทว่าไม่เคยจะยอมรับ ตะวันออกหรือตะวันตก ซ้ายหรือขวา ขึ้นหรือลง เขาไม่ได้รับรู้อะไรทั้งนั้น แค่ปล่อยให้ร่างกายของตนเองก้าวไปในทิศทางที่พลังชักนำไปเรื่อยๆ ลึกเข้าไปในป่าส่วนที่มาสเตอร์เคยสั่งห้ามเข้าใกล้
และเมื่อรู้สึกตัวอีกที เบนก็มายืนอยู่ริมธารที่เชี่ยวกราดเสียแล้ว
“เรย์!!!”
เขาเห็นเธอแล้ว ร่างเล็กของเธอกำลังลอยพลุบๆ โผล่ๆ อย่างคนใกล้หมดแรงอยู่กลางกระแสน้ำ
เด็กหนุ่มกระโจนลงน้ำไปในทันที เพียงไม่กี่ช่วงแขนเบนก็ดึงตัวเธอเข้ามากอดไว้ได้สำเร็จ เขาพยายามยกเธอให้พ้นเหนือน้ำ ซึ่งทำได้ยากมากเพราะนอกจากความแรงของกระแสน้ำที่คอยแต่จะพัดพวกเขาให้ลอยไปเรื่อยๆ แล้วดินบริเวณยังลึกมากจนแม้แต่เขาก็หยั่งเท้าลงไปไม่ถึง
เรย์ไอสำลักไม่หยุดอยู่กับบ่าของเบน ในขณะที่กำลังมองหาทางออกให้กับสถานการณ์นี้ อาร์ทูดีทูก็มาช่วยพวกเขาไว้พอดี ดรอยคู่ใจของมาสเตอร์ยิงเชือกสลิงออกมาให้ มันพลาดเป้าเพราะทั้งคู่ถูกพัดไปไวเกินไป เบนเอื้อมมือขวาออกไปแล้วใช้พลังช่วยดึงเชือกเข้ามาในมือได้สำเร็จ
อาร์ทูส่งเสียงแหลมยาวเพื่อประท้วงเมื่อน้ำหนักที่มากเกินไปกำลังทำให้มันถูกลากลงน้ำตามไปด้วย มันตอกขาตนเองลงไปในดินเป็นหลักยึดก่อนจะค่อยๆ ม้วนพันเชือกกลับมา อาศัยความช่วยเหลือจากพลังของเบนอีกหน่อย แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่ทั้งคู่ก็สามารถกลับมาขึ้นฝั่งได้สำเร็จ
“ทำได้ดีมาก” เด็กหนุ่มเอ่ยชม วางมือข้างที่ว่างลงบนส่วนโดมสีฟ้าอย่างที่เห็นลุงลุคมักทำเสมอ
อาร์ทูตอบกลับมาอย่างโอ๋ๆ นิดๆ ว่าด้วยความยินดี
เบนจึงหันกลับไปให้ความสนใจเรย์ต่อ เด็กหญิงกอดคอเขาแน่นไม่ยอมปล่อย สองมือกำเสื้อจนยับย่น เขาได้ยินเสียงเธอสะอื้น สลับปนมากับเสียงไอค่อกแคก
“ไม่เป็นไรแล้วเรย์ เธอปลอดภัยแล้ว” เขาปลอบ แต่ก็ไม่อาจทำให้เนื้อตัวเล็กๆ หยุดสั่นสะท้านได้
“มันน่ากลัวมากเลย” เด็กหญิงว่า “ฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอเบนอีกแล้ว”
ประโยคนั้นทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ แทนที่จะดันตัวเด็กหญิงออกมาเพื่อสำรวจบาดแผลอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก เบนกลับโอบแขนรอบตัวเรย์แทน เขากอดเธอพลางลูบศีรษะให้อย่างปลอบประโลม เสียงร้องไห้ของเธอดังยิ่งขึ้นไปอีก ในชั่วขณะนั้นเด็กหนุ่มให้สัญญากับตนเอง เรียบง่ายแต่หนักแน่น เขากระซิบยืนยันให้เธอฟัง
“ไม่เป็นไรแล้วเรย์ ฉันหาเธอเจอแล้ว”
...เราได้พบกันแล้ว...
“ฉันจะไม่ให้อะไรเกิดขึ้นกับเธออีก”
.
.
.
.
.
.
กว่าเรย์และเบนจะกลับมาถึงที่พักพระอาทิตย์ก็เกือบตกดินไปแล้ว
ป่าในส่วนนั้นทั้งหนาทึบและซับซ้อน เรียกได้ว่าถ้าไม่มีอาร์ทูดีทูคอยช่วยนำทางละก็คงอีกนานเลยกว่าจะหาทางออกเจอ เพราะตอนที่เข้าไปเบนแค่วิ่งไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้จำทาง ส่วนเรย์ก็ถูกกระแสน้ำพัดมาไกลจนไม่รู้ทิศเช่นกัน นับว่าโชคดีที่เป็นฤดูร้อน พระอาทิตย์จึงตกช้าและอากาศอบอุ่น ไม่อยากนั้นเด็กหญิงคงได้จับไข้หลังจากนี้แน่ๆ
เบนแบกเรย์ไว้บนหลังตลอดเวลา แม้เด็กหญิงจะยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไรและเดินไหวทว่าเขาก็ไม่ยอมวางเธอลงอยู่ดี เรย์เลยตัดสินใจเอนศีรษะลงไป พักร่างกายอันเหนื่อยล้าของตนบนร่างกายของเขาด้วยความรู้สึกปลอดภัยอย่างที่สุด แผ่นหลังของเบนกว้างมากจนคาดว่าเธอน่าจะโอบแขนไม่รอบ เรย์คิดกับตนเองเงียบๆ ว่าไว้จะแอบลองดูทีหลัง
ระหว่างทางกลับเธออธิบายให้เบนฟังว่าตั้งใจแค่จะไปเดินเล่นแถวลำธารด้านหลังที่พักเท่านั้น น้ำที่ทั้งใสกระจางและตื้นไม่ถึงหัวเข่าทำให้เรย์ผู้ว่ายน้ำไม่เป็นประมาณ เธอก้าวพลาด เหยียบเข้าไปในแอ่งจนลื่นล้มและถูกกระแสน้ำพัดให้ลอยไกลออกไปเรื่อยๆ อย่างที่เห็น
เรย์ไม่ได้ถามว่าเบนรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้นหรือหาเธอเจอด้วยวิธีไหน มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นที่อธิบายทุกอย่างได้ และเรย์พอใจกับความคิดที่ว่าเขาไม่รู้ว่าเธอรู้ ซ้ำยัง ‘ได้ยิน’ ทั้งหมดอีกด้วย
เด็กหญิงยิ้มกับตนเองไม่หยุด แม้จะอาบน้ำพลัดเสื้อผ้าเพื่อมาทานอาหารเย็นกับเขาแล้ว รอยยิ้มก็ยังไม่จางใบหน้าเธอเลยสักนิด
จนกระทั่งเบนเริ่มเอ็ดเธอ...
“ผมยังไม่แห้งเลยไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
พอถูกทัก เรย์ก็เอื้อมมือไปจับผมที่ชื้นจนเกือบเรียกได้ว่าชุ่มทันที หลังสระผมเสร็จเธอมัดรวบมันเป็นทรงเดิมอย่างเคยตัว
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็แห้ง” เด็กหญิงตอบปัดๆ ส่งผลให้เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกด้วยท่าทีที่สื่อชัดว่าจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง เขากวักมือเรียกให้เธอไปหา ก่อนจะช้อนแขนอุ้มเธอจนตัวลอยแล้วจับไปนั่งบนโต๊ะทานอาหารแทน แต่ถึงอย่างนั้นระดับสายตาของเธอก็ยังต่ำกว่าของเขามากอยู่ดี ความสูงใหญ่ของเขาทำให้เธอนึกทึ่งได้เสมอ เช่นเดียวกับความอ่อนโยนอันขัดแย้งต่อรูปร่าง
มือใหญ่แกะหนังยางออกให้ก่อนจะเริ่มต้นใช้ผ้าขนหนูซับน้ำให้อย่างเบามือ พอผมของเรย์เริ่มหมาดชื้น เขาก็นำไดร์ฟเป่าผมต่อเข้ากับตัวอาร์ทูดีทูเพื่อชาร์ตไฟ
เช่นเคยที่ดรอยของมาสเตอร์บ่น
“ไปโทษเจ้านายแกโน้นที่เลือกดาวที่ไม่มีไฟฟ้าใช้มาตั้งโรงเรียน” เบนโต้กลับอย่างเจ็บแสบ เรย์หัวเราะคิกคักในขณะที่เด็กหนุ่มใช้มือแทรกสางเข้ามาในกลุ่มผมสีน้ำตาลเพื่อช่วยกระจายให้ลมร้อนเข้าถึงทั่วๆ มันทำให้เรย์ผ่อนคลายจนเผลอขยับใบหน้าตามสัมผัสเหล่านั้นไปอย่างไม่รู้ตัว เธอแนบแก้มเข้ากับอุ้งมือหนาใหญ่ เบนชะงัก เธอรู้สึกได้ถึงความประดักประเด้อก่อนจะกลายเป็นความเอ็นดูแทนเมื่อสุดท้ายเขายอมปล่อยให้เธอทำตามใจอยากไปจนกระทั่งเส้นผมแห้งดี
“ฉันว่าจะถามนานแล้วว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมถักเปีย” เบนกล่าวในขณะที่เก็บอุปกรณ์ไปด้วย
“ถักไม่เป็น” เรย์ตอบเรียบง่ายจนเกือบคล้ายการปัดส่งอีกครั้ง ทว่ามันคือความจริง ไม่เคยมีใครสอนเธอมาก่อนรวมทั้งไม่มีใครเคยบอกด้วยว่ามันจำเป็นแค่ไหน เพจเคยถักให้เธอครั้งหนึ่ง แต่เพราะปกติแล้วจะรวบเก็บผมขึ้นจนหมด พอมีอะไรมาคลอเคลียข้างคอตลอดเวลา เด็กหญิงจึงรู้สึกรำคาญจนต้องแกะเปียออกแล้วมัดรวบมันเข้ากับมวยผมตามเดิม
พวกชุดเสื้อผ้าก็เหมือนกัน จากเดิมที่แค่มีอะไรก็ใส่ๆ ไป พอต้องมาแต่งอะไรหลายๆ ชั้นและมากขั้นตอน เรย์จึงทำได้เพียงลวกๆ จนดูไม่เรียบร้อยอย่างที่เห็น และเมื่อมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ไม่ได้ว่าอะไร เพจและกลุ่มเพื่อนจึงปล่อยเลยตามเลยเช่นกัน
ก็เหมือนพฤติกรรมก่อนหน้านี้น่ะแหละ เด็กหญิงไม่ได้ตั้งใจจะแปลกแยก เธอแค่ไม่รู้ว่าควรต้องวางตัวยังไงมากกว่า ความเดียวดายตลอดหลายปีหล่อหลอมเธอมาเช่นนี้
และในขณะที่เรย์กำลังรวบเก็บผมขึ้นไป นิ้วเรียวของเบนก็เอื้อมเกี่ยวปอยผมหนึ่งแยกออกมาให้
“ถ้างั้นฉันจะช่วยเธอเอง” เขาว่าพลางแบ่งถักมันเป็นเปียขนาดเล็กเหมือนของเขาให้ ข้อนิ้วไล้ผ่านข้างแก้มอย่างแผ่วเผิน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็ปัดทิ้งชายไปด้านหลังไหล่เพื่อไม่ให้มันมารบกวนผิวเนื้อของเธอเหมือนที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ และเรย์รู้สึกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องทรงผมหรือเครื่องแต่งกายแบบพาดาวัน
แต่เป็นทุกเรื่องที่เธอต้องเผชิญนับจากนี้ การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ การเติบโต
ไม่ว่าอะไรจะเกิดจะขึ้นเธอจะมีเขาเสมอ
Chapter 4: Episode 4 In Daydream and In Nightmare
Chapter Text
เปิดเทอมใหม่ของเหล่าพาดาวันมาพร้อมกับสายฝนโปรย
“ผิวแทนมาเชียว” นั่นคือคำแรกที่เบนทักทายแคสเซียน เด็กหนุ่มถือร่มคันโตสีน้ำตาลดำไว้ในมือขวาในขณะที่มือซ้ายยื่นส่งอีกคันมาให้เพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวต้องไม่ได้เตรียมมาแน่ๆ สีผิวของแคสเซียนเข้มขึ้นอีกเกือบสองโทนเห็นจะได้ ซ้ำยังเริ่มไว้หนวดไว้เคราอีกต่างหาก มันทำให้เขาทั้งดูคมเข้มขึ้นและดูแก่กว่าวัยไปด้วย
ปกติแล้วในสถานการณ์แบบนี้แคสเซียนจะทักเบนกลับไปว่า ‘ส่วนนายเองก็ยังซีดเหมือนเดิม’ เพราะแม้จะเป็นปิดเทอมฤดูร้อนแต่ทุกๆ ครั้งเบนจะเอาแต่ฝึกอยู่ในวิหารไม่ก็นั่งอ่านตำราในห้องทำให้ไม่ค่อยได้เจอแสงแดดเท่าไหร่ เรียกได้ว่าผิวของเด็กหนุ่มขาวเนียนกว่าสาวๆ หลายคนในโรงเรียนเจไดแห่งนี้ด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าตอนนี้ผิวของเบนยังคงขาวอยู่ ทว่ารอยไหม้แดดที่คอและข้างแก้มบ่งบอกว่าหลังๆ มานี้เจ้าตัวทำกิจกรรมกลางแจ้งมากขึ้นไม่ได้หมกตัวอยู่เพียงลำพังเหมือนเคย บรรยากาศรอบตัวก็ดูสดใสเช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ผ่อนคลายขึ้น
แคสเซียนเลิกคิ้ว มันน้อยนิดแต่ก็ชัดเจนเกินกว่าจะมองข้าม เพื่อนของเขาเปลี่ยนไป
“หน้าร้อนนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นสินะ” เขาแซวพลางเดินเข้าไปโอบคออย่างที่มักทำเป็นประจำ ปฏิเสธที่จะใช้ร่มในมือและอาศัยเงาจากเครื่องกำบังฝนของเบนแทน
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ไหนล่ะของฝาก”
เพราะถูกทวงแคสเซียนเลยนึกขึ้นมาได้ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเป้ คุ้ยๆ อยู่สองสามทีก่อนจะได้แว่นกันแดดอันโตติดมา แคสเซียนใส่ให้เบนทันทีจนเกือบเป็นการยัดเยียดโดยไม่รอฟังเสียงประท้วง
“เหมาะกับนายดีนะ” แคสเซียนหัวเราะทำเอาเบนเลิกคิ้วสูงมากจนมันโผล่พ้นขอบแว่นด้วยซ้ำ “ว่าแต่นายจะบอกฉันได้หรือยังว่าตอนปิดเทอมไปทำอะไรมาบ้าง”
“เหมือนเคย” เด็กหนุ่มตอบ แว่นกันแดดอันโตกลบบังพิรุธของเขาได้จนมิด แคสเซียนหรี่ตาอย่างจับผิด
“ไม่ๆ ไอ้กิจกรรมเนิร์ดๆ ซอฟๆ ของนายไม่มีทางทำให้ยิ้มแบบนั้นได้แน่ๆ สารภาพมาซะไอ้เสือนายแอบไปเที่ยวดาวดวงไหนมา เธอชื่ออะไร ผมทองหรือเปล่า สวยมากไหม”
“ฉันอยู่นี่ตลอดเวลาแคส” เบนปัดมือที่เกาะไหล่ออกด้วยท่าทีหน่ายใจ “อีกอย่าง อะไรทำให้นายคิดว่าลุงลุคจะยอมปล่อยฉันไปจากดาวดวงนี้กัน” เขาส่งร่มคันโตให้อีกฝ่ายอย่างยัดเยียดเหมือนที่พึ่งโดนมา ก่อนจะคว้าร่มอีกคันในมือที่เจ้าตัวไม่ยอมกางเสียทีออกมาใช้งาน
แคสเซียนถอนหายใจ ตำหนิด้วยสายตาว่าเบนทำตัวเป็นตาแก่น่าเบื่ออีกแล้ว แม้จะยังไม่ได้ซักอะไรเพิ่มทว่าจากท่าทางแล้วมันจะชัดเจนว่าแคสเซียนยังไม่ยอมแพ้ในประเด็นนี้ง่ายๆ
…เพราะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับเบนจริงๆ
จ๋อมๆ
เสียงย่ำน้ำดังขึ้นขัดความคิดของแคสเซียน ถี่รัวเหมือนมีใครสักคนกำลังจะโดดไปมาอยู่บนแอ่งน้ำและมันทำให้เขาแปลกใจ มีพาดาวันที่เป็นเด็กเล็กอยู่หลายคนก็จริง ทว่าการสั่งสอนแบบเจไดทำให้ทุกคนเก็บรักษากิริยาและอารมณ์อย่างมิดชิด แต่ละคนจึงเหมือนเป็นผู้ใหญ่มากกว่าวัยอยู่เสมอ การเล่นน้ำฝนเช่นนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่คาดว่าจะพบได้ในโรงเรียนของเจได
ดวงตาหันมองตามและทันใดนั้นความแปลกใจก็หายไปในทันที
คนที่ทำให้เกิดเสียงนี้คือเด็กหญิงตัวผอมแห้งซึ่งมีดวงตาสีเฮเซลนัท ผมสีน้ำตาลของเธอมัดรวบเป็นทรงเดิมที่ทุกคนต่างเห็นจนชินตา ต่างออกไปคือเรย์ยอมถักเปียเส้นเล็กๆ เหมือนกับพาดาวันคนอื่นแล้ว เครื่องแต่งกายเองก็ดูสุภาพเรียบร้อยขึ้น เกือบจะเรียกได้ว่าทั้งเนี้ยบและถูกต้องทุกระเบียบนิ้วถ้าไม่ใช่เพราะรอยหยดน้ำและเศษโคลนที่ชายเสื้อจากการที่เด็กหญิงกำลังย่ำไปบนแอ่งน้ำด้วยความสนุกสนาน
เธอดูตื่นเต้นกับทุกเม็ดฝนที่ร่วงโรยลงมา แม้ท้องฟ้าจะมืดครึ้มแต่แววตาคู่นั้นกลับมีชีวิตชีวายิ่งนัก
“ป้าแม่บ้านต้องบ่นหนักมากแน่ๆ” แคสเซียนเปรยพลางเบ้หน้าเพราะเขาเองก็เคยโดนมาก่อน ตอนที่กำลังรีบวิ่งมาเข้าเรียนจนสะดุดล้มและทำให้เสื้อคลุมตัวนอกเปื้อนฝุ่น แค่ฝุ่นยังโดนซะขนาดนั้น ยัยหนูนี่ดันมาเล่นโคลนแบบนี้ไม่รู้จะโดนถึงขนาดไหน
แคสเซียนกำลังคิดจะหลีกให้ห่างเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเปื้อนไปด้วย ทว่าเบนกับทำตรงข้าม เขาเดินตรงเข้าไปหาเด็กหญิงทั้งที่หลายเดือนก่อนหน้านี้เอาหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด เรย์หยุดกระโดดเมื่อสังเกตถึงการมาของเบน
ท่ามกลางความงงงันของแคสเซียน เบนย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าให้ระดับสายตาพอดีกับของเรย์
“เลอะหมดแล้ว” มันเป็นประโยคดุที่ดูไม่ดุเลยซักนิดเพราะรอยยิ้มอ่อนอกอ่อนใจบนใบหน้าของเบน และทันใดนั้นคุณเพื่อนซอฟต์บอยของแคสเซียนก็ทำในสิ่งที่ซอฟต์ยิ่งกว่า ด้วยการใช้แขนเสื้อเช็ดคราบโคลนบนแก้มของเด็กหญิงออกให้
เรย์หัวเราะคิกคักก่อนจะทักทายเด็กหนุ่มอย่างสนิทสนมจนแคสเซียนแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีก
“แว่นใหม่สวยจัง”
“ของฝากน่ะ” เบนตอบในขณะที่เรย์หยิบแว่นไปลองสวมบนใบหน้าตนเองอย่างถือวิสาสะ ด้วยขนาดที่ใหญ่โตเกินตัว ขาแว่นข้างหนึ่งจึงร่วงผล็อยลงมาจนเอียงกะเท่เร่ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งคู่หัวเราะให้แก่กันอย่างเป็นธรรมชาติ เรย์ถอดออกแล้วใส่คืนให้เจ้าของ ภาพที่เห็นทั้งอ่อนโยนและน่าเอ็นดูมากเสียจนแคสเซียนขนลุกซู่
เขาชอบค่อนแคะอยู่บ่อยๆ ว่าเบนเป็นคนหัวอ่อนและใจดีเกินไปก็จริง แต่นี่มันจะผิดวิสัยมากเกินไปหน่อยแล้ว!!!
.
.
.
.
.
“เล่ามาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ความจริงแคสเซียนตั้งใจจะถามแบบนี้ตั้งแต่เมื่อเช้าตอนได้เห็นปฏิกิริยาระหว่างทั้งคู่แล้วทว่าเบนไม่เปิดโอกาส พอเช็ดคราบโคลนตามใบหน้าของเด็กหญิงจนหมด เด็กหนุ่มก็ดันหลังเรย์เพื่อพากลับที่พักไปเปลี่ยนชุดแทนตัวเดิมซึ่งเปียกชื้นและเปรอะเปื้อนทันที
จะร้องห้ามก็ไม่ทัน จะตามไปก็ใช่เรื่อง
แคสเซียนจำใจเก็บความสงสัยไว้จนกระทั่งมื้ออาหารเย็นมาเยือน โรงอาหารก่อนวันเปิดเทอมทั้งคลาคล่ำและคึกคัก นักเรียนพาดาวันเดินกันให้ควักซ้ำยังทักทายแลกเปลี่ยนเรื่องราวตลอดฤดูร้อนกันอื้ออึ้ง เป็นความวุ่นวายที่วกเวียนมาจนคุ้นชิน ใบหน้าเดิมๆ ของคนเดิมๆ
แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคงเป็นภาพตรงหน้า
ภาพที่เบน โซโลผู้สูงเกือบหกฟุตกับเด็กหญิงเรย์ซึ่งสูงเลยเอวเพียงนิดเดียวเท่านั้นเดินจูงมือมาด้วยกัน เพราะขนาดมือที่ต่างกันมาก เรย์จึงกุมมือเบนได้เพียงสองนิ้วเท่านั้น ทุกคนมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเองจนไม่ทันสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดนี้ ทว่าไม่ใช่กลับแคสเซียนผู้คว้าคอเสื้อเบนไว้อย่างทันท้วงทีเมื่อคนตัวสูงตั้งท่าจะพาคนตัวเล็กเดินหนีไปอีกทาง
“และถ้าฉันไม่ได้คำอธิบายที่น่าพอใจแล้วละก็มาสเตอร์ได้รู้เรื่องที่นายแอบเอายานของเขาไปบินเฉียวต้นไม้ที่ดาวลิสเม่จนเป็นรอยเมื่อใบไม้ร่วงที่แล้วกับที่นายแอบแฮกแก้โค้ดความทรงจำของอาร์ทูแน่”
พอได้ยินประโยคนั้นเบนก็ตัวแข็งทื่อ เขาหันกลับมาอย่างจำใจ ริมฝีปากเมมเข้าหากันก่อนจะพ่นคำอธิบายแบบม้วนเดียวจบ
“ฉันไม่ได้กลับบ้าน เธอไม่ได้กลับบ้าน เราเลยสนิทกัน แค่นั้นแหละ”
ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับคนฟังเลยสักนิด
“มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์!!” แคสเซียนป้องปาก ส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกแข่งกับบรรดานักเรียนคนอื่นๆ แน่นอนว่าตำนานแห่งเจไดไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่กิริยานี้เรียกความสนใจมากเกินไปเบนจึงตะปบปิดปากแคสเซียนไว้แน่นก่อนจะหันไปบอกเรย์ให้หาที่นั่งทานอาหารไปพลางๆ แล้วลากคนปากมากอยากรู้อยากเห็นไปยังมุมอับสายตามุมหนึ่งของวิหาร
เมื่อรอบด้านเงียบสงบเหลือกันเพียงสองคน เบนก็เริ่มต้นโวยวายกลับ
“นายต้องการอะไรกันแน่แคส! ก่อนหน้านี้นายเอาแต่พูดกรอกหูฉันไม่ต่างจากลุงลุคบอกให้ยอมๆ เป็นพี่เลี้ยงให้เรย์ไปซะจะได้หมดเรื่อง นี่ฉันก็เป็นให้แล้วจะเอาอะไรอีก!!”
“รายละเอียดไง” มือหนานวดคลึงบริเวณคางไปมาเนื่องจากแรงบีบของเบนไม่ใช่น้อยๆ เลย “อะไรทำให้นายเปลี่ยนใจกัน”
“ฉันไม่รู้”
คำตอบของเบนไม่เป็นที่น่าพอใจอีกแล้ว แคสเซียนป้องปากเตรียมตะโกนรอบสอง
“โอเคๆ ยอมแล้วๆ” เบนละล้าละลังห้ามเพื่อนก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เพราะเธอตัวคนเดียว แบบตัวคนเดียวจริงๆ เธอเหมือนฉันแคส ดาวที่เธอจากมาไม่ใช่บ้าน พ่อแม่ทิ้งเธอไปนานมากแล้ว ฉันจะกลายเป็นคนแบบไหนกันถ้าบอกปัดปฏิเสธแล้วทิ้งเธอให้เผชิญทุกอย่างเพียงลำพังเหมือนที่ทุกคนทำกับเธอ”
“สรุปคือนายแค่สงสารเธอ”
“…ก็ไม่เชิง” เบนถอนหายใจ เขาคิดว่าถึงเวลาที่ต้องสารภาพออกไปแล้ว “จำตำราศักดิ์สิทธิ์จากอารยธรรมเก่าที่เรียนกันไปเมื่อเทอมที่แล้วได้ไหม เล่มที่พูดถึงสมดุลย์แห่งพลังกับภาพหินสีขาวดำนั่นน่ะ”
“อ่าฮะ” แคสเซียนส่งเสียง ไม่รู้ว่าจำได้จริงๆ หรือแค่เออออไปตามน้ำกันแน่ แต่สุดท้ายแล้วเบนก็ตัดสินใจพูดออกไปอยู่ดี
“ฉันกับเรย์ ระหว่างเราเป็นแบบนั้น”
พอเห็นว่าทั้งหมดจริงจังกว่าที่คิด แคสเซียนจึงเค้นสมองทบทวนความจำอย่างหนัก ใช้เวลาเกือบสามนาทีกว่าเขาจะรู้ตัวว่าเพื่อนรักกำลังหมายถึงอะไร และใช้เวลาอีกสองนาทีในการนิ่งอึ้งและควานหาเสียงของตนเองกลับมาเพื่อใช้ในการโวยวายอีกครั้ง
“พลังเชื่อมนายกับยัยเด็กนั่น! ? ตั้งแต่เมื่อไหร่!! ? ”
“...ตั้งแต่แรก” เบนตอบเสียงเบาแต่แค่นั่นก็มากพอแล้วที่จะทำให้แคสเซียนสติแตก ถ้อยคำที่ตามมาหลังจากนั้นล้วนกระท่อนกระแท่นเหมือนยังเรียบเรียงความคิดได้ไม่ดีนัก
“นั่นมัน…โคตรจะเหลือเชื่อ…แต่ฉันนึกว่ามันเป็นแค่เรื่องเพ้อเจ้อเสียอีก…ไม่สิ นายเมื่อตอนนั้น” ฉับพลันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิด “ฉันนึกออกแล้ว! มิน่าละถ้าเป็นแบบนั้นทุกอย่างก็ลงล็อกกันพอดี”
“อะไรของนาย” เบนเลิกคิ้ว กลายเป็นฝ่ายงงงันกับท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันของแคสเซียนเสียเอง
“นายจำไม่ได้สินะ สามปีก่อนตอนหน้าฝน อยู่ดีๆ นายก็อาละวาด เหมือนนอนละเมอแล้วเผลอปลดปล่อยพลังออกมา บ้านพักพวกเราพังไปเป็นแถบและนายก็เอาแต่พูดไม่หยุดว่า ต้องรีบไป เธอกำลังร้องไห้ เธอกำลังรอฉันอยู่”
“โม้แล้ว” เบนนิ่วหน้าปฏิเสธ ในความทรงจำของเขาไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับที่แคสเซียนว่ามาเลยสักนิด ใช้พลังอาละวาดไปเสียขนาดนั้นไม่มีทางที่เขาจะจำไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีความรู้สึกผิดหรือละอายใจหลงเหลือกัดกินเขาอยู่บ้าง แต่พอนึกย้อนไปถึงเมื่อสามปีก่อน บางอย่างในความทรงจำของเขาขาดหายไปจริงๆ น่ะแหละ เหมือนเป็นภาพหมอกจางๆ ที่ไม่สิ้นสุดซึ่งเขาบอกไม่ได้ว่าทำไม...
“ถ้าไม่เชื่อฉันไปถามมาสเตอร์ดูก็ได้” แคสเซียนกอดอก “เพราะเขานั่นแหละที่ทำให้นายสงบลง ตอนนั้นฉันกับมาสเตอร์นึกว่าเป็นเพราะเรื่องของ 'ท่านอนาคิน' นายเลยอาละวาด แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่นั้นแล้วแฮะ พ่อแม่เด็กนั่นทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่…ถ้าจะให้เดาเมื่อสามปีที่แล้วใช่ไหม”
เบนไม่ได้ตอบ แต่ความเงียบนี่แหละคือคำยืนยันอย่างดีว่าข้อสันนิษฐานของแคสเซียนถูกต้อง
“โหขนลุกเลยแฮะ”
ก่อนหน้านี้เบนเคยมีความชื่นชมให้กับเหล่าเจไดทั้งหลายอย่างเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ลุงลุค เจไดคนแรกที่เขารู้จักไปจนถึงตำนานทั้งหลายอย่างมาสเตอร์โยดา มาสเตอร์โอบีวัน มาสเตอร์ไควกอน แต่คนที่เบนเทิดทูนเหนือใครอื่นคือท่านตาของเขาเอง อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ เขาชื่นชมในความกล้าหาญและเสียสละของท่านตาที่สามารถช่วยลุงลุคปราบเหล่าซิธและดาร์ธเวเดอร์ลงได้
นั่นคือสิ่งที่ใครต่อใครเล่าให้เบนฟัง...
จนกระทั่งเมื่อสามปีก่อน ในงานเลี้ยงงานหนึ่งของรัฐสภาที่แม่ของเขาถูกคู่แข่งทางการเมืองโจมตีด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเธอเป็นลูกสาวของดาร์ธเวเดอร์ วีรบุรุษในความทรงจำเบนจึงล่มสลาย กลับกลายเป็นแค่ชายร้ายกาจที่ถูกด้านมืดเข้าครอบงำจนทำร้ายทุกคนที่รักเขา
อนาคิน สกายวอล์คเกอร์กับดาร์ธเวเดอร์เป็นคนๆ เดียวกัน
ข้อเท็จจริงนั้นกรีดเบนเป็นแผลยิ่งกว่าใคร ยิ่งเมื่อจดจำได้ว่าทั้งพ่อและลุงเคยพูดว่าเขาเหมือนผู้เป็นตาขนาดไหนมันยิ่งทำให้เบนบอบช้ำ ตลอดหลายปีที่หลงระเริงคิดว่ามันคือคำชม แท้จริงแล้วก็เป็นแค่ประโยคแสดงความหวาดหวั่น กลัวว่าเขาจะเลือกเดินเส้นทางเดียวกับผู้ชายคนนั้นเท่านั้นเอง
สามปีก่อนตอนที่เบนต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวจากการถูกผลักไส เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เรย์ต้องผจญกับความโดดเดี่ยวจากการถูกทอดทิ้งพอดี
อาจเพราะแบบนี้หรือเปล่าพลังจึงยึดโยงพวกเขาไว้ด้วยกัน
เบนทนเก็บความสงสัยไว้อีกไม่ได้แล้ว
“ฝากนายดูแลเรย์แปปหนึ่งเดี๋ยวฉันกลับมา”
“เฮ้ยเดี๋ยว!! นายจะไปไหน!! ”
“ไปหาลุงลุค!! ”
แล้วคนตัวสูงก็วิ่งหายลับไปอย่างรวดเร็ว
.
.
.
.
.
เพราะแบบนั้นแคสเซียนเลยต้องติดแหงกอยู่ที่โรงอาหาร
พร้อมทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงชั่วคราวเฝ้ายัยเด็กตัวผอมแห้งแต่กินจุยิ่งกว่าผู้ชายตัวโตๆ อย่างเขามาเกือบชั่วโมงแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มและสีเฮเซลนัทจ้องประสานกันไปมาราวกับกำลังหยั่งเชิง มื้ออาหารเย็นผ่านไปพักใหญ่แล้ว ผู้คนในโรงอาหารจึงเริ่มบางตาขึ้น เหลือเพียงไม่มากที่นั่งจับกลุ่มพูดคุยกัน คงเหลือแต่เด็กนี่เท่านั้นที่ยังกินไม่หยุดปาก
“เมื่อไหร่เบนจะมา” ในที่สุดเรย์ก็ตัดสินใจวางช้อนลงแล้วถาม
“อีกสักพัก” แคสเซียนตอบห้วน เท้าคางอย่างเบื่อๆ สิ่งเดียวที่พอจะน่าสนใจในขณะนี้ความอยากอาหารของเด็กนี่ แม่บ้านนำของหวานที่เหลือมาวางให้ และเรย์รับไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแป้น พอขนมพร่องไปเกินครึ่งเธอก็วางส้อมลงแล้วถามเหมือนเดิม
“เมื่อไหร่เบนจะมา”
เออ เขาก็อยากถามเหมือนกันแหละว่าเมื่อไหร่มันจะกลับมาสักที!!
.
.
.
.
.
เบนรู้ดีว่าจะหาตัวมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ได้ที่ไหน
ในวันก่อนเปิดเทอมเช่นนี้เจ้าตัวจะนั่งเตรียมเนื้อหาการสอนอยู่ในห้องทำงานเสมอ เขาเปิดประตูเข้าไปทันทีโดยไม่เคาะหรือขออนุญาต การกระทำนั้นส่งผลให้ดวงตาสีฟ้าสดเบื้องหลังแว่นสายตาตวัดมองมาอย่างดุๆ มันเป็นสายตาพิฆาตที่สามารถทำให้เหล่าพาดาวันหัวหดและกลับมาประพฤติตัวเรียบร้อยกันได้แทบทุกคนแม้กระทั่งแคสเซียน ทว่าในวันนี้มันใช้ไม่ได้กับเบนผู้รีบร้อน
เด็กหนุ่มใช้เวลาครู่หนึ่งในการปรับลมหายใจก่อนจะถาม
“จริงหรือเปล่า”
“เรื่อง? ”
“ผมกับเรย์ พลัง...แล้วก็...” เบนเลือกคำไม่ถูก จะให้ถามว่าอะไร จริงหรือเปล่าที่ผมเคยฝันถึงเธอมาก่อน ที่พลังเชื่อมพวกเรามานานหลายปีแล้วไม่ใช่แค่ตอนที่เพิ่งเจอหน้า แค่คิดในใจยังทำให้เขาเก้อเขินได้อย่างเหลือเชื่อ เด็กหนุ่มพยายามสรรหาคำอื่นในตอนที่มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ถอดแว่นตา วางมือจากงานที่ทำอยู่แล้วเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับเบน
“สามปีก่อน หลังจากเรื่องของดาร์ธเวเดอร์ได้รับการเปิดเผยเธอก็ฝันร้ายทุกคืน”
เด็กหนุ่มตัดสินใจลากเก้าอี้มานั่ง นิ่งฟังเรื่องราวที่เหลืออย่างใจเย็น
“บางคืนเธอยังเผลอใช้พลังออกมาด้วย แค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้ร้ายแรงอะไร อย่างมากก็แค่ทำให้ข้าวของลอยไปมาไม่ก็กระจกร้าว แต่ด้านมืดในใจเธอ...” มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ถอนหายใจพลางบีบนวดขมับ “มันเริ่มครอบงำจนฉันเกือบหมดหวังในตัวเธอเสียแล้ว และฉันขอโทษที่เคยคิดแบบนั้นนะเบน ยังไงก็ตาม อยู่ดีๆ คืนหนึ่งความฝันของเธอก็เปลี่ยนไป และฝันนี้ทำให้พลังของเธอถูกปลดปล่อยออกมารุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนทั้งนั้น เพื่อควบคุมความเสียหายฉันเลยจำใจต้องแทรกแซงความคิดและการรับรู้บางส่วนของเธอ และนั่นทำให้ฉันเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง...”
เบนเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“...ร้องเรียกชื่อเธอมาจากส่วนลึกของความฝัน ตอนนั้นฉันเลยเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นเจตจำนงค์ของพลัง ที่เชื่อมเธอกับเด็กอีกคนเข้าไว้ด้วยกัน และจากที่ฉันสัมผัสได้เขาต้องเป็นเจไดที่ดีได้แน่นอน”
ไม่ก็เป็นซิธที่แข็งแกร่งเอามากๆ ...ลุคคิดทว่าไม่ได้พูดออกไป เบนและเรย์มีส่วนที่คล้ายกันมากเหลือเกิน ทั้งความเปลี่ยวเหงาและแปลกแยก พลังซึ่งมากล้นแต่ปนเปไปด้วยแสงสว่างและความมืด ถ้าทั้งคู่ไม่กลายเป็นตำนานบทใหม่ของเจได ก็ต้องเป็นซิธที่จะยึดครองทุกอย่างในจักรวาลได้แน่ๆ นั่นคือการคาดการณ์ของเขา
เพราะแบบนั้น...
“ฉันเลยออกตามหาเด็กคนนั้นจากเสี้ยวภาพในความฝันของเธอ ไม่ง่ายเลยนะที่จะตะลุยทุกดาวทะเลทรายเพื่อหาเด็กตัวเล็กๆ คนเดียว”
“เพราะแบบนี้สินะลุงถึงอยากให้ผมดูแลเธอ” ในที่สุดเบนก็สามารถกลับมาหายใจหายคอได้อีกครั้งเมื่อเรื่องราวทั้งหมดกระจ่างชัด เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เสยกลุ่มผมสีดำขลับอันยุ่งเหยิงไปด้านหลังอย่างลืมตัวก่อนจะหยั่งเชิงถาม “ไม่คิดบ้างเหรอว่าสุดท้ายแล้วผมจะกลายเป็นแบบท่านตาแล้วชักนำเธอเข้าด้านมืดไปด้วย”
แต่พอพูดออกไปแล้วเบนก็ตระหนักได้ว่าไม่น่าเลย เขาไม่ควรถามคำถามที่ตนเองไม่พร้อมฟังคำตอบ
“มีบ้างเหมือนกัน” ชายชราสารภาพ ยังมีประโยคอีกมากติดค้างอยู่ที่ริมฝีปาก เบนอ่านท่าทีเหล่านั้นได้ ทว่ามาสเตอร์ก็ยังเลือกจะประวิงเวลาตอบด้วยการเก็บรวบข้าวของบนโต๊ะเพื่อให้เขาร้อนรนเล่นเสียอย่างนั้น
“แต่สุดท้ายแล้วดาร์ธเวเดอร์ผู้ร้ายกาจคนนั้นน่ะแหละที่ช่วยให้ฉันเอาชนะจักรวรรดิและดาร์ธซิเดียสได้ แสงสว่างในตัวเขาไม่เคยดับมอด ไม่ว่าใครจะว่ายังไงแต่ความจริงข้อนั่นก็ไม่มีวันเปลี่ยน ฉันเชื่อในตัวเขาเสมอ เหมือนที่ฉันจะเชื่อในตัวเธอนะเบน”
ในอกของเบนอุ่นวาบเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ความยึดมั่นและกำลังใจที่เขาโหยหามาตลอด บางทีถ้าพ่อแม่พูดกับเขาแบบนี้สักครั้ง เขาอาจไม่ต้องเคี่ยวกรำตนเองหนักหนาถึงขนาดนี้เพียงเพื่อให้ดำรงอยู่ในแสงสว่างได้ บางทีถ้ามีใครสักคนยืนยันที่จะเคียงข้างและเชื่อมั่นในทุกอย่างที่เขาเป็นได้ เขาคงไม่ต้องดิ้นรนที่จะพิสูจน์ตนเองมากมายถึงเพียงนี้
“อีกอย่างพวกเธอจะแข็งแกร่งกว่าถ้าได้อยู่ด้วยกัน มันจะดีกับพวกเธอมากกว่าถ้าได้อยู่ด้วยกัน”
นั่นคือประโยคทิ้งท้ายจากมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ที่วนเวียนติดอยู่ในหัวของเบนตลอดเวลานับตั้งแต่กลับออกมา ความคิดของเขาล่องลอยจนเกือบจะเรียกได้ว่ายุ่งเหยิง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ชายเสื้อถูกกระตุกรัวๆ
“เบน” เสียงเล็กๆ ร้องเรียกให้เขาก้มหน้าลงไปมอง เป็นเรย์นั่นเอง นี่เขากลับมาถึงโรงอาหารตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ โต๊ะทุกตัวว่างเปล่า ท้องฟ้าเองก็มืดสนิท มีเพียงแสงร่ำไรจากเทียนไขที่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ แล้วก็แคสเซียนที่นอนฟุบหน้าอยู่เท่านั้นที่ทำให้สถานที่ไม่ว่างเปล่าเกินไปนัก
“ไปไหนมาเหรอ” เด็กหญิงถาม น้ำเสียงเจือความกังวลบางเบา ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขา เบนย่อตัวลงไปอีกครั้ง ให้ระดับสายตาของเขาและเธอประสานกัน
“คุยกับมาสเตอร์น่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
แต่ที่จริงแล้วมันมี บทสนทนาระหว่างเขาและมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์จบลงด้วยดีก็จริงอยู่ ความสงสัยคลายตัว ความเชื่อมั่นที่ได้รับทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความกังวลของพ่อแม่และอาจารย์ไม่เคยจางหายไปไหน
ความเป็นไปได้ที่ว่าเขาจะเข้าสู่ด้านมืดยังคงมีอยู่เสมอ
และเบนหวาดกลัวเหลือเกินว่าสักวันหนึ่งเขาจะเจริญรอยตามดาร์ธเวเดอร์ไปจริงๆ เข่มฆ่าทุกคนที่รักและทำลายทุกอย่างที่เคยสาบานว่าจะปกป้อง หากวันหนึ่งเขากลายเป็นเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ จะมีคนที่เป็นเหมือนลุงลุคสำหรับเขาอยู่ไหม คนที่ยังเชื่อมั่นและรอคอยการกลับมาของเขาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวังอยู่เสมอ
ฉับพลันอยู่ๆ เรย์ก็ยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของเขา ปลายนิ้วโป้งเล็กๆ เกลี่ยอยู่ตรงแก้มและหางตา เธอทำราวกับกำลังเกลี่ยซับหยดน้ำตาซึ่งไม่มีตัวตนของเขาออกไป
“ฉันไง” เรย์พูด “ฉันจะอยู่กับเบนเสมอไม่ว่าจะในแสงสว่างหรือความมืด เหมือนที่เบนคอยอยู่กับฉันทั้งในฝันดีและฝันร้าย”
ถ้อยคำเหล่านั้นซึมเข้าไปในหัวใจของเขา แทรกสลักเข้าไปในวิญญาณ วินาทีนั้นเบนรู้ได้ในทันทีว่าคำพูดของมาสเตอร์ถูกต้องเพียงใด มันจะดีกับเขามากกว่าจริงๆ น่ะแหละถ้าได้มีเรย์อยู่เคียงข้าง
มุมปากของเด็กหนุ่มขยับกลายเป็นรอยยิ้มอันนุ่มนวลในขณะที่อุ้มเธอขึ้นมาด้วยแขนซ้ายเพียงข้างเดียว
“เราเคยคุยกันแล้วไงเรื่องอ่านใจจำได้ไหม” เบนดุ แต่แน่นอนว่าด้วยสีหน้าในขณะนี้มันดูไม่จริงจังเอาเสียเลย
“เบนคิดดังมาก” เรย์แก้ตัวอย่างไม่จริงจังเช่นกัน “ยังไงฉันก็ได้ยินอยู่ดี”
“ก็คงจะแบบนั้นแหละ” สุดท้ายเด็กหนุ่มก็จำต้องปล่อยผ่านความผิดนี้ไปอีกครั้ง เขาเอื้อมมืออีกข้างที่ว่างอยู่ออกไปเตรียมจะปลุกแคสเซียนแต่ก็สังเกตเห็นถึงบางอย่างที่ผิดปกติเสียก่อน เจ้าไรหนวดบางๆ ที่พึ่งถูกไว้กลับกลายเป็นหนาทึบจนดูน่าตลก สีดำที่เปื้อนติดแขนและปกเสื้อบ่งบอกว่านี่คือน้ำหมึกอย่างไม่ต้องสงสัย
“เรย์...” เบนเอ็ด และครั้งนี้มันจริงจัง
เด็กหญิงไม่ได้แก้ตัวอะไร เธอทำแค่ไหวไหล่เหมือนจะบอกว่าก็มันอดใจไม่ไหว ทั้งคู่จ้องตากันไปมา เป็นเบนที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อน เขาขำดังมากจนทำให้แคสเซียนตื่น หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นความวุ่นวาย เมื่อคนถูกแกล้งวิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละเพื่อที่จะเอาคืนให้ได้
เบนยังคงอุ้มเรย์ไว้ด้วยมือข้างเดียวในขณะที่วิ่งหนีแคสเซียนไปเรื่อยๆ เด็กหญิงสุมไฟความโกรธให้โหมแรงขึ้นด้วยการหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ เสียงโหวกเหวกของพวกเขาทำเอานักเรียนคนอื่นชะโงกหน้ามาดูกันเป็นแถบๆ จนกลายเป็นที่จดจำถึงสองเรื่องด้วยกัน
หนึ่งคือใบหน้าตลกๆ ของแคสเซียนที่จะถูกล้อไปอีกแสนนาน อย่างน้อยก็จนกว่าจะเรียนจบ
และสองคือรอยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีของเบนซึ่งไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อนจนกระทั่งเขามีเรย์อยู่ในอ้อมแขน
Chapter 5: Episode 5 Spin the Lightsaber
Chapter Text
ครบสองปีแล้วที่เรย์กลายมาเป็นพาดาวัน
เด็กหญิงตัวสูงขึ้นหนึ่งนิ้วทว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกหลายปอนด์ นอกจากดูมีน้ำมีนวลขึ้นแล้วแก้มยังกลมขึ้นด้วยเช่นกัน เพจพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเธอดูน่าเอ็นดูกว่าในตอนแรกๆ เยอะในขณะที่แคสเซียนบอกว่าเธอเริ่มเหมือนลูกหมูเข้าไปทุกที แต่ในเมื่อเบนยังอุ้มเธอด้วยแขนข้างเดียวได้อยู่ เรย์เลยไม่ใส่ใจกับคำแขวะนั่นเท่าไหร่
เด็กหญิงสอบผ่านหลักสูตรพื้นฐานทั้งหมดแล้ว และกำลังจะได้เรียนเรื่องการต่อสู้ในอาทิตย์หน้า โดยมากแล้วเธอยังคงขลุกอยู่กับเพจและกลุ่มเพื่อนเป็นหลัก เนื่องจากมีตารางเรียนตรงกันมากที่สุด แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่มีเวลาว่างหรือโอกาสเอื้ออำนวย เรย์จะอยู่กับเบนเสมอ
และนั่นทำให้เธอเป็นปฏิปักษ์กับแคสเซียนไปโดยปริยาย ด้วยข้อหาแย่งเพื่อนรักไปจากเขา
“มาอีกแล้วเหรอยัยลูกหมู” เด็กหนุ่มว่าเสียงขุ่นเมื่อค้นพบว่ามื้ออาหารเช้านี้มีเรย์มานั่งด้วยเช่นเคย แคสเซียนกับเบนนั่งตรงข้ามกัน ส่วนเรย์ตั้งถัดไปทางซ้ายมือ เด็กหนุ่มย้ายจานหนีแทบไม่ทันเมื่อเด็กหญิงน้อมรับข้อกล่าวหาด้วยการพยายามใช้ส้อมจิ้มเบค่อนไปจากเขา
เช่นเคยที่เบนผู้อ่อนโยนเข้าใจไปว่าเรย์คงยังไม่อิ่ม จึงยกเบค่อนในจานตนให้แต่โดยดี
“อย่าไปให้ท้ายสิ! เดี๋ยวไขมันก็จุกอกเด็กนี่ตายก่อนได้เป็นเจไดพอดี” แคสเซียนแขวะอีกระลอก
“ฉันอ้วนขนาดนั้นเลยเหรอ?” เรย์เงยหน้าขึ้นถาม
“ไม่หรอกเธอแค่กำลังโตเท่านั้นแหละ”
ถ้าให้พูดตามตรงจากขนาดตัวและช่วงวัยแล้ว เด็กหญิงยังกินได้อีกเยอะจริงๆ น่ะแหละ แต่ด้วยความที่ไม่ถูกกันมาแต่เดิมผสมหมั่นไส้ในตัวเพื่อนที่ทั้งโอ๋และดูแลเด็กนี่ดียิ่งกว่าที่พี่เลี้ยงทั่วไปควรจะทำ แคสเซียนเลยมองว่ามันเป็นการให้ท้ายจนแทบจะเรียกได้ว่าตามใจจนเกินเหตุ
เพราะตลอดสองปีมานี้เบนดูแลเรย์ดีมากจริงๆ
ดีเกินจำเป็นด้วยซ้ำ…
เบนไม่ได้ทำแค่สอนเรื่องพลังหรือวิถีแห่งเจไดให้กับเรย์อย่างที่มาสเตอร์ฝากฝังไว้เท่านั้น เขายังดูแลเด็กหญิงในทุกๆ เรื่อง แบบ…ทุกเรื่องจริงๆ ตั้งแต่ถักเปียให้ในตอนเช้า ช่วยผูกปมเครื่องแต่งกายในวันที่เธอทำไม่สำเร็จ ดูแลให้เธอมีอาหารกินอิ่มทุกสามมื้อ อ่านหนังสือให้ฟังหรือแม้แต่เล่นด้วยทุกครั้งที่เธอร้องขอ
ให้ตายเถอะ ตอนที่รู้ว่าเด็กหญิงต้องโตมาโดยไม่มีของเล่นเลยสักชิ้นนอกจากตุ๊กตากิ่งไม้เก่าๆ เบนถึงกับยอมขับยานกลับไปบ้านเพียงเพื่อแวะไปเอาของเล่นสมัยเด็กทั้งหมดของเขามาให้เธอด้วยซ้ำแม้จะไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่เลยก็ตามที
เรย์เองก็ไม่ต่างกัน ในบรรดานักเรียนทั้งหมดอาจดูเหมือนเธอสนิทกับเพจมากที่สุดแต่แท้จริงแล้วเป็นเบนต่างหากที่เด็กหญิงให้ความใส่ใจมากกว่าใคร เธอรับรู้ได้เสมอถึงความเศร้าและด้านมืดของเขา เธอลบล้าง เจือจางมันได้อย่างง่ายดายราวกับว่าแค่การคงอยู่ของเธอก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เบนมีความสุข บางครั้งมันก็ทำให้แคสเซียสอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉานิดๆ เพราะไม่ว่าเขาหรือใครก็คงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ต่อให้ไม่มีพลังซึ่งยึดโยงพวกเขาไว้ด้วยกัน สายสัมพันธ์ระหว่างเบนและเรย์ก็ยังเป็นอะไรที่พิเศษมากอยู่ดี แต่ในขณะเดียวกันมันก็ครอบคลุมและคลุมเครือมากเสียจนไม่มีคำนิยามใดจะมอบให้ได้
แคสเซียนกับเพจเคยถกเถียงถึงเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว
“อย่างกับคุณพ่อลูกอ่อน” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหน่ายใจ “ถ้ายัยเด็กนี่อายุน้อยกว่านี้อีกสักหน่อย ฉันจะไม่แปลกใจถ้าเห็นเบนถือขวดนมเดินไปมา”
“งั้นถ้าเพิ่มอายุเรย์ไปอีกซักหกเจ็ดปีล่ะ” เพจถาม
“ก็คงเหมือนพี่น้องละมั้ง”
คำตอบนั้นทำเอาเพจถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาที่มองมาคล้ายจะบอกว่าเขาช่างใสซื่อและไม่ประสีประสาต่อโลกกว้างเหลือเกิน ทั้งที่แคสเซียนอายุมากกว่าสองปีแท้ๆ
“พี่น้องอะไรเขามองกันด้วยสายตาแบบนั้นกัน”
สายตาแบบนั้นมันคือแบบไหนกันฟะ เด็กหนุ่มสงสัยแต่ไม่กล้าถามออกไปด้วยกลัวเสียฟอร์ม ใช้เวลาหลังจากนั้นอีกหลายปี หลายเหตุการณ์ ผสมด้วยประสบการณ์ส่วนตัวอีกเล็กน้อย แคสเซียนจึงเข้าใจได้ว่าเพจหมายถึงอะไรกันแน่
ซึ่งเหตุการณ์แรกที่ทำให้เขาตระหนักได้เกิดขึ้นตอนฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกันนั้นเอง
.
.
.
.
.
ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์กับภูเขาสามลูก
มันกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปเสียแล้วที่พาดาวันรุ่นเด็กโตซึ่งใกล้จะจบเป็นเจไดทุกคนจะต้องไปเดินป่ากับมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ ซึ่งเชื่อเถอะว่ามันไม่มีทางเป็นการตั้งแคมป์ดูนกตกปลาแบบผ่อนคลายอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจกันแน่นอน
ปีนี้คณะเดินทางประกอบไปด้วยหนึ่งเจไดและสี่พาดาวัน โดยมีแคสเซียนและเบนรวมอยู่ด้วย ทุกคนจะต้องโดนเคี่ยวเข็ญอย่างหนักแบบไร้ความปราณีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่นเพื่อเพิ่มพูนพลังให้ถึงขีดสุดและเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาพร้อมแล้วสำหรับการรับภารกิจอันตรายซึ่งรออยู่ในภายภาคหน้าของการเป็นเจได
เบนไม่ได้กังวลเท่าไหร่ เพราะการถูกทิ้งไว้เพียงลำพังกับมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ในช่วงปิดเทอมก็แทบไม่ต่างอะไรกับหลักสูตรเดินป่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าไม่นับน้ำหนักที่หายไปสี่ห้าปอนด์และหางคิ้วขวาที่แตกแล้วเขาก็สบายดี
แคสเซียนเสียอีกที่เหมือนจะตายซะให้ได้
“ลาออกจากการเป็นเจไดตอนนี้ยังทันไหม” เด็กหนุ่มบ่นเช่นนั้นมาตลอดทางและตลอดวัน ทว่าสุดท้ายแล้วก็สามารถกัดฟันและผ่านพ้นทุกการฝึกไปได้ด้วยดี ดูเหมือนว่าทั้งหมดที่แคสเซียนอยากทำก็แค่บ่นระบายเฉยๆ
หลังการเดินป่าจบลงมาสเตอร์สกายวอล์กเกอร์ก็จะมอบของขวัญให้กับพาดาวันแต่ละคนเป็นไคเบอร์คริสตัลสำหรับสร้างไลท์เซเบอร์ แน่นอนว่าพวกเขาประดิษฐ์ด้ามเซเบอร์ของตนเองเตรียมไว้มาตั้งนานแล้ว และแคสเซียนก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งกลับที่พักเพื่อประกอบมันเข้าด้วยกันทันที
แต่สำหรับเบน เขามีบางอย่างที่อยากทำมากกว่านั้น
“เบน!!!” เรย์เรียก พร้อมถลาเข้ามากอดเอวเขาทันทีโดยไม่แม้แต่จะรอให้เขาวางสัมภาระลงก่อน “คิดถึง…”
เธอกล่าวเสียงอู้อี้ ถ้อยคำเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความโหยหา เบนแกะแขนเล็กๆ ออกเพื่อที่จะได้ขยับย่อตัวลงไปกอดเธอให้แนบแน่นยิ่งขึ้น ทั้งคู่เกยคางและใบหน้าลงบนไหล่ของกันและกัน
“ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน” นั่นคือความจริงล้วนๆ ไม่ใช่เพียงการตอบกลับตามมารยาทหรือคำแต่งเติมแต่อย่างใด
ตลอดสัปดาห์ที่เดินวกวนอยู่ในป่าทึบและต้องเผชิญกับหลักสูตรอันหนักหน่วงของมาสเตอร์ ในหัวสมองของเบนคล้ายจะมีแต่เรื่องของเรย์เท่านั้น เธอกำลังทำอะไรอยู่ กินอิ่มนอนหลับใช่ไหม จะเป็นกังวลและคิดถึงเขาเหมือนที่เขารู้สึกบ้างหรือเปล่า
ดูเหมือนว่าตัวตนของเด็กหญิงจะจับจองและยึดกินพื้นที่ในใจเบนไปจนหมดสิ้นแล้ว และมันน่าตลกตรงที่ก่อนหน้านี้เขาอยู่ตัวคนเดียวได้มาเป็นสิบๆ ปี โดยไม่เคยรู้สึกอะไรเลยแท้ๆ ทว่าตั้งแต่ได้พบเธอ เขากลับขลาดกลัวการอยู่เพียงลำพังโดยปราศจากเธอยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น
เป็นเอามากจริงๆ หากแคสเซียนรู้เข้าเบนก็คงไม่แคล้วถูกด่าจนหูชาข้อหาทำตัวติดเรย์มากเกินไปแน่นอน
“บาดเจ็บด้วยเหรอ” เรย์ร้องทักแทบจะในทันทีเมื่อเบนคลายอ้อมกอด นิ้วเล็กยกขึ้นแตะคราบเลือดตรงหางคิ้วขวาของเขา และก่อนที่เบนจะทันได้แก้ตัวว่าแผลแค่นี้ไม่เท่าไหร่คนอื่นโดนหนักกว่านี้เยอะ เด็กหญิงก็ฉุดมือเขาให้ลุกยืนเพื่อพาไปทำแผลเสียแล้ว
ตอนแรกเบนคิดว่ามันต้องเป็นอะไรที่โกลาหลและทำให้เขาเจ็บหนักไปกว่าเดิมแน่นอนเพราะเรย์ไม่ใช่คนที่นุ่มนวลหรือละเอียดอ่อนเท่าไหร่นัก บ่อยครั้งที่เธอทำตัวดื้อดึงและซนเป็นทโมนยิ่งกว่าเด็กผู้ชายเสียอีก รู้ทั้งรู้ว่าอาจต้องเจ็บตัวเพิ่มแต่สุดท้ายเบนก็ยอมตามใจเธออยู่ดีเพราะเขารู้ว่ามันช่วยบรรเทาความห่วงหาของเธอได้รวมทั้งทำให้เขารู้สึกดีขึ้นด้วยเช่นกัน
ทว่าช่างผิดคาด ท่าทางของเด็กหญิงกลับคล่องแคล่วแถมยังมือเบาเสียจนเบนไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด รู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็มีผ้าพันแผลแปะอยู่ที่หางคิ้วขวาแล้ว สองมือที่ถูกกิ่งไม้ข่วนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบก็ได้รับการแต้มยา เช่นเดียวกับเข่าและขาซึ่งเต็มไปด้วยรอยช้ำ
เบนอดไม่ได้ที่จะถามว่าเรย์ไปเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลมาจากที่ไหน คำตอบคือก่อนหน้านี้เธอต้องทำให้ตัวเองบ่อยก็เลยชำนาญอย่างที่เห็น
ความเศร้าบางเบาเล็ดลอดมาจากร่างเล็ก และเบนปล่อยให้ตัวเองคิดดังพอที่เธอจะได้ยิน
… เรื่องแบบนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกเด็ดขาด…
“เบนจะทำแผลให้ฉันบ้างหรอ” เด็กหญิงถามอย่างพาซื่อ
“ฉันจะไม่ยอมให้เธอมีแม้แต่รอยข่วนเลยต่างหาก” มือใหญ่วางลงบนศีรษะเล็กก่อนจะลงมือขยี้แรงๆ จนกระทั่งเส้นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงจนต้องมัดใหม่อีกครั้ง
และเพราะแบบนั้นเบนและเรย์จึงมาถึงงานเลี้ยงช้ากว่าคนอื่น
มันกลายเป็นอีกหนึ่งธรรมเนียมไปเสียแล้วว่าหลังจากได้คริสตัลมา ว่าที่เจไดแต่ละคนจะเอาไลท์เซเบอร์มาอวดให้เหล่ายังลิ่งคนอื่นๆ ดู แสงสีที่เจิดจ้าและเสียงวูบวาบของเซเบอร์เรียกความอึกทึกจากทุกคนได้เป็นอย่างดี มันเป็นช่วงเวลาที่พาดาวันทุกช่วงวัยต่างกลับไปเป็นเด็กอย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยงานเลี้ยง อาหารมากมายเต็มโต๊ะที่เหล่าแม่บ้านยินดีบริการให้เนื่องในโอกาสพิเศษ แน่นอนว่าเรย์ยังคงกินอย่างเต็มคราบจนทำให้คนอื่นทึ่งได้เสมอ
และเมื่อดึกสงัด เด็กเล็กทุกคนกลับไปนอนแล้ว ก็เป็นเวลาของงานเลี้ยงฉลองที่แท้จริง
ว่าที่เจไดสี่คน พาดาวันในกลุ่มเด็กโตห้าคน เหล้าอีกหกลังทุกอย่างก็พร้อมสรรพ
และแน่นอนว่าแคสเซียนเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานฉลองลับหลังอันนอกคอกนี้ ขนาดเบนมีพ่อเป็นนักขนของเถื่อนก็ยังต้องยอมรับเลยว่าแคสเซียนฝีมือดีมากที่เก็บซ่อนของผิดกฎทั้งหมดนี้ให้พ้นหูพ้นตามาสเตอร์มาได้ตั้งนานสองนาน
“ถ้าลุงลุครู้เข้าพวกเราโดนหนักแน่” เบนเปรยด้วยความกังวลขณะเฝ้ามองเพื่อนสนิทชี้นิ้วสั่งให้ทุกคนช่วยกันขนของไปไว้ในบ้านพักของเจ้าตัวซึ่งเป็นหลังที่อยู่ท้ายสุด ไกลหูของเหล่าเด็กเล็กและไกลตาจากมาสเตอร์
“ก็อย่าให้รู้สิ เอานี่ ของโปรดนาย” เด็กหนุ่มหยิบขวดแก้วซึ่งบรรจุน้ำสีฟ้าเรืองแสงจางๆ มาให้ซ้ำยังใจดีเปิดให้อีกต่างหาก “ว่าแต่ก่อนหน้านี้หายไปไหนมา?”
“พาเรย์ไปเข้านอน” คำตอบของเบนทำเอาแคสเซียนเบะปาก
“อย่างกับคุณพ่อลูกอ่อนเลยให้ตายเถอะ” เด็กหนุ่มบ่นงึมงำพลางหยิบขวดแก้วในมือเบนขึ้นมากระดกดื่มไปอึกใหญ่เสียเองก่อนจะเดินนำเข้าไปก่อน
ปกติแล้วพาดาวันที่เป็นเด็กเล็กจะนอนร่วมในบ้านหลังเดียวกัน เมื่อโตขึ้นมาหน่อยก็จะได้ห้องแยก และถ้าใกล้จบแล้วอย่างเบนหรือแคสเซียนก็จะได้บ้านพักเป็นของตัวเอง
ซึ่งบ้านพักที่ว่าก็ดูจะเล็กไปถนัดตาเมื่อมีพาดาวันถึงเก้าคนมานั่งอัดรวมกัน มันเป็นธรรมเนียมที่แอบทำต่อๆ กันมาว่าคนที่ผ่านหลักสูตรเดินป่ามาได้นั้นจะมาเล่าประสบการณ์ให้คนอื่นฟัง ไม่ใช่การให้ความรู้ แต่เป็นเชิงขำขันเหมือนล้อเลียนมาสเตอร์เสียมากกว่าด้วยซ้ำ
และถึงจะเรียกให้ดูขลังว่าธรรมเนียม แต่ที่จริงแล้วมันเพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองเท่านั้นเอง
“แล้วมาสเตอร์ก็พูดว่า น่าทึ่งจริงๆ ทุกอย่างที่เธอพูดมาผิดหมดเลย” พาดาวันที่ไปเดินป่าด้วยคนหนึ่งเล่าโดยแสร้งดัดเสียงทุ้มและทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“นี่ๆ อย่าลืมอันนั้น ที่มาสเตอร์บอกให้นาย ‘เอื้อม’ ออกไปแล้วนายก็ดันเอื้อมมือออกไปจริงๆ” พาดาวันหญิงอีกคนแทรกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าเขาหมายถึงให้ใช้พลังเอื้อมออกไปรับรู้สิ่งรอบตัว แล้วทำไมฉันถึงโดนล้ออยู่คนเดียวได้เล่าในเมื่อแคสเซียนก็ทำเหมือนกัน”
คนถูกพาดพิงหน้าเหรอหราขึ้นมาทันที เขารีบแก้สถานการณ์ด้วยการต่อเรื่องราว
“อย่างน้อยฉันก็หลบทันไม่โดนกิ่งไม้ตีมือแล้วกัน”
แล้วทุกคนในที่นั้นก็หัวเราะครืน รวมทั้งเบนซึ่งยืนอยู่วงนอกไม่กล้าออกปากนินทาลุงแท้ๆ ของตนก็ยังอดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา เรื่องเล่าผสมคำบ่นดำเนินไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดทุกคนก็ตัดสินใจเปลี่ยนไปเล่นเกมแทน
...เกมหมุนขวด…
ปกติแล้วกติกาคือการนั่งล้อมวงเป็นวงกลมรอบขวดเหล้าเปล่า หากหมุนแล้วปากขวดหันไปที่ใครคนนั้นต้องดื่มหนึ่งอึก ก่อนจะตามมาด้วยการถูกท้าให้ทำเรื่องแปลกๆ จนไปถึงขั้นพิเรนซึ่งหากทำไม่สำเร็จก็จะต้องดื่มอีกครั้งหนึ่งแบบหมดขวดเป็นการลงโทษ
และเป็นแคสเซียนอีกเช่นเคยที่เป็นตัวตั้งตัวตีเสนอกฎใหม่ขึ้นมา
คือให้เอาไลท์เซเบอร์มาหมุนแทน
หากมาสเตอร์มาเห็นเข้าทุกคนไม่แคล้วคงโดนบ่นจนหูชาข้อหานำอาวุธศักดิ์สิทธิ์คู่นิกายเจไดมาใช้เป็นเครื่องมือเล่นในวงเหล้าฉลองวันสอบเสร็จแน่นอน เบนที่ยืนอยู่วงนอกมาตลอดถูกฉุดให้เข้ามาร่วมเล่นด้วยจนได้ อีกกฏที่ถูกเพิ่มขึ้นมาคือคำท้าทั้งหมดจะถูกเตรียมไว้แล้วล่วงหน้าโดยเขียนใส่เศษกระดาษและใช้วิธีจับฉลากขึ้นมา ยกตัวอย่างก็เช่น…
“ให้เอานมฟ้าและนมเขียวผสมกัน และกินให้หมดภายในสามสิบวินาที” นั่นคือสิ่งที่เขียนอยู่บนฉลากของแคสเซียนตอนที่ไลท์เซเบอร์หันมาทางเขา ซึ่งเด็กหนุ่มไม่รอช้าที่จะโยนกระดาษทิ้งไปและหันไปกระดกขวดแก้วบรรจุน้ำเรืองแสงหมดรวดเดียวภายในเวลาไม่ถึงสามสิบวินาทีด้วยซ้ำ
เสียงโห่ดังขึ้นจากทั่วสารทิศเมื่อเจ้าตัวปฏิเสธคำท้าและยอมรับบทลงโทษแทน
“ปอดแหก” เบนแสร้งตะโกนตำหนิ แคสเซียนผู้หน้าแดงก่ำจึงแก้ตัวให้ตนเองทันที
“ใครอยากจะพูดยังไงก็เชิญแต่ฉันยังรักตัวกลัวตายอยู่ โอเค๊?”
แล้วเขาก็เอื้อมมือไปหมุนไลท์เซเบอร์ต่อ ชัดเจนว่าทำไปเพื่อเบี่ยงประเด็น และครั้งนี้มันหันไปทางเบน ไม่สิ เยื้องไปทางซ้ายมือของเบนซ์ซึ่งมีร่างเล็กอันผิดแผกไปจากทุกคนนั่งอยู่ต่างหาก
“ตาฉันแล้วสินะ” เรย์กล่าวน้ำเสียงสดใส แต่ทำเอาทั้งวงแทบแตกกระจาย
“เฮ้ย!!”
“ยัยหลุมดำ! ”
“มาได้ไงเนี่ย!”
“เบน!! /เบน!! /เบน!!”
สารพัดสารพันคำอุทานดังขึ้นก่อนจะไปจบลงที่ชื่อพี่เลี้ยงของเด็กหญิง
“มาทำอะไรที่นี่กันเรย์ มันเลยเวลาเข้านอนของเธอไปนานมากแล้วนะ” ทว่าเจ้าของนามกลับไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกตำหนิในความผิดที่ไม่ใช่ของเขาอยู่ เนื่องจากมัวแต่ยุ่งกับการแย่งขวดสีฟ้าเรืองแสงออกจากมือของเด็กหญิง
“ฉันนอนไม่หลับนี่น่า ให้ฉันเล่นด้วยคนนะ”
เบนปฏิเสธคำขอนั้นด้วยการกระทำ เขาอุ้มเธอขึ้นตักพร้อมทำท่าจะลุกเดินจากไป ดูเผินๆ ก็เหมือนจะสมเหตุสมผลเพราะมันเป็นหน้าที่เขาอยู่แล้วที่ต้องพาเธอกลับไปนอน แต่พาดาวันทุกคนรู้ดีกว่านั้นว่าเบนกำลังใช้เรย์เป็นข้ออ้างในการหนีจากงานฉลองอยู่
เด็กหนุ่มเป็นพวกรักสันโดษซ้ำยังไม่ชอบความวุ่นวายมาแต่ไหนแต่ไร กว่าจะลากมาร่วมงานด้วยได้ต้องลงทุนลงแรงไม่ใช่เล่น อีกอย่างเบนพึ่งโดนท้าไปแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น แถมยังเป็นแค่อะไรง่ายๆ อย่างวิดพื้นร้อยครั้งกับการดวลไลท์เซเบอร์ปลอมๆ ให้เพื่อนๆ ชมเล่นเท่านั้นเอง ทุกคนจึงเห็นตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายว่าต้องทำให้เด็กหนุ่มอยู่ต่อให้ได้
“อย่าเครียดไปหน่อยเลยเพื่อน ให้เรย์อยู่เล่นด้วยเถอะ”
“อีกเดี๋ยวงานเลี้ยงก็เลิกแล้ว พอถึงตอนนั้นนายค่อยพาเธอกลับไปนอนก็ยังได้”
“ใช่ๆ เรามีขนมเยอะแยะเลยนะ”
“เดี๋ยวฉันจะช่วยดูไม่ให้เธอแตะแอลกอฮอล์เอง”
พ่ายแพ้ต่อเสียงข้างมากและแววตาเว้าวอนของคนในอ้อมแขน เบนจำใจนั่งลงอีกครั้งโดยยังมีเรย์นั่งอยู่บนตักเหมือนเดิม
เกมหมุนไลท์เซเบอร์ผ่านเวียนไปอีกหลายต่อหลายรอบ มีตั้งแต่ให้ไปจิ๊กของมาจากห้องนอนของเหล่าแม่บ้าน เล่าเรื่องน่าอับอายของตนเอง และบอกรักคนตรงข้ามด้วยภาษากันแกน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางที่จะออกเสียงกันถูกซ้ำยังออกมาน่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง
เรย์โดนไปสองครั้ง เป็นคำท้าให้กินนมฟ้าหนึ่ง ซึ่งเด็กหญิงดันทำได้ส่งผลให้สายตาดูแคลนจากรอบวงหันไปทางแคสเซียนเป็นทางเดียว ส่วนอีกข้อนั่น….
“ให้จูบคนที่คิดว่าน่ารักที่สุดในวงนี้”
เพจอ่านออกเสียงให้ได้ยินกันทั่วๆ ทุกคนประสานเสียงร้องหูวกันขึ้นมาทันที แคสเซียนซึ่งโดนบทลงโทษไปมากโขทำได้เพียงผงกศีรษะขึ้นมาดูแวบหนึ่งก่อนจะกลับลงไปฟุบอยู่กับพื้นห้องตามเดิม
เบนขมวดคิ้ว เขามีความเห็นว่าคำท้านี้ออกจะเป็นอะไรที่เกินกว่าเหตุและไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะแบบนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจเอ่ยตัดบท
“โอเค นี่ก็ดึกมากแล้วเราพอกันแค่นี้ดีกว่า รีบช่วยกันเก็บของก่อนที่มาสเตอร์…”
ถ้อยคำชะงัก ติดค้างแล้วกลืนหายไปในลำคอเมื่อร่างเล็กบนตักของเขายืดตัวขึ้นมาประทับแนบริมฝีปากนุ่มนิ่มเข้ากับแก้มสาก โดยโดนมุมปากของเด็กหนุ่มไปด้วย มันไม่ใช่แค่การหอมแก้มแต่ก็ไม่อาจเรียกว่าจูบได้เหมือนกัน และเพราะเรย์ไม่ได้ผละจากไปในทันที สัมผัสอุ่นชื้นจึงยิ่งตอกตรึง หากเด็กหญิงอยู่นานกว่านี้อีกสักนิด เบนคิดว่าหัวใจของเขาต้องหยุดเต้นแน่ๆ
เพื่อนๆ พาดาวันร้องแซวไปตามเรื่องตามราวอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก ทุกคนตีความจูบนี้ในเชิงพี่น้องเนื่องจากปกติทั้งคู่ก็ตัวติดกันแทบตลอดเวลาอยู่แล้ว พวกเขาจึงละความสนใจไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่กับแคสเซียนและเพจ
เด็กหนุ่มหรี่ตามอง จับจ้องสังเกตปฏิกิริยาระหว่างเบนและเรย์ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเท่าที่สติอันน้อยนิดจะเอื้ออำนวย คนนึงมีเพียงรอยยิ้มที่กว้างขึ้นอีกนิดและดวงตาที่เป็นประกายมากขึ้นอีกหน่อย ในขณะที่อีกคนนั่งตัวแข็งทื่อ สองแก้มแดงก่ำลามไล่ไปถึงใบหูแล้วเรียบร้อย
เพจหันมาเลิกคิ้วใส่ สายตาแทนคำพูด ‘ฉันบอกนายแล้ว’
แต่แคสเซียนเมาและง่วงเกินกว่าจะคิดวิเคราะห์อะไรต่อได้ เขาหลับไปทั้งๆ อย่างนั้น พอเช้าวันต่อมาก็แทบลืมไปสนิทเลยว่าเพื่อนรักของเขาถูกเด็กสิบเอ็ดขวบฉวยโอกาสขโมยจูบแรกไปเสียแล้ว
.
.
.
.
.
เบนใกล้จะเรียนจบเต็มทีแล้วโดยมาสเตอร์ตั้งใจจะตัดเปียให้เขาในฤดูใบไม้ผลิอีกสองปีหน้า
ระหว่างนี้เด็กหนุ่มจะได้รับมอบหมายภารกิจเป็นพักๆ เพื่อเพิ่มประสบการณ์และเพื่อประเมินว่าเขาพร้อมจะจบเป็นเจไดจริงๆ หรือไม่
เนื่องจากมีอาจารย์เพียงหนึ่งต่อนักเรียนสามสิบ มาสเตอร์จึงไม่สามารถลงไปควบคุมดูแลทุกคนด้วยตนเองได้ เขาจึงสร้างระบบคู่หูขึ้นมา คนนอกซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับนิกายเพื่อช่วยสนับสนุนกันและกัน
ของแคสเซียนเป็นนักบินกองกำลังป้องกันที่ชื่อโบดี้ รูค ไม่ใช่คนสำคัญหรือโดดเด่นอะไรนัก ซ้ำยังเป็นมือใหม่ไม่ต่างจากพาดาวันอย่างแคสเซียนเลยสักนิด แต่ทั้งคู่เข้าขากันได้ดี แถมโบดี้ยังต่อปากต่อคำกับเคทูซึ่งเป็นดรอยประจำตัวแคสเซียนได้อีกด้วย เด็กหนุ่มเลยขอร้องมาสเตอร์เพื่อให้ได้นักบินคนนี้มาเป็นคู่หู
ส่วนคู่หูเบนเป็นนายทหารยศพันตรีจากสาธารณรัฐที่ชื่อ อาร์มิเทจ ฮักซ์
เรย์แอบได้ยินมาว่าแม่ของเบนเป็นคนเสนอชื่อผู้ชายคนนี้ให้กับมาสเตอร์เองเพราะความสามารถในการสั่งการและวางแผนอันยอดเยี่ยมจนเรียกได้ว่าอัจฉริยะ เขาไม่เคยย่างเท้าลงไปในสนามรบเองเลยด้วยซ้ำแต่กลับได้รับชัยชนะทุกครั้งไป
เด็กหนุ่มไม่ค่อยเล่าเรื่องพ่อแม่ให้ฟังเท่าไหร่นัก จะมีหลุดปากก็นานๆ ครั้งแต่ก็เป็นเพียงผิวเผิน เรย์จึงคาดเดาเอาเองว่าพ่อของเบนอาจจะทำงานเกี่ยวกับทางทหาร แม่ของเบนจึงพลอยรู้จักคนในวงการนี้ไปด้วย
ยังไงก็ตามว่าที่มาสเตอร์โซโลและพันตรีฮักซ์ได้รับมอบหมายภารกิจให้ดูแลความปลอดภัยของวุฒิสมาชิกคนหนึ่งในระหว่างการโหวตร่างกฏหมายใหม่ระหว่างดวงดาวซึ่งจะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า และเบนก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการประชุมผ่านภาพโฮโลแกรมกับพันตรีฮักซ์จนแทบไม่มีเวลาให้เธอเลย
จากเดิมที่เคยอยู่ด้วยกันทั้งวัน ก็เหลือเพียงแค่เดินผ่าน พูดคุยกันสองสามคำสั้นๆ จนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นประโยค
ซึ่งเรย์มีความรู้สึกว่าที่จริงแล้วเบนกำลังหลบหน้าเธออยู่มากกว่า
เพราะจากกิตติศัพท์ที่ร่ำลือกันมา พันตรีผมแดงน่าจะเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมหมดแล้ว เหลือแค่รอให้ว่าที่เจไดผมดำเดินทางมาถึงเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเบนก็ยังทำตัวยุ่งเกินจำเป็นได้แทบตลอดเวลา
และการกระทำนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่มีงานเลี้ยงฉลองการเดินป่า
เรย์ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด เธอทำตามที่เขาบอกอย่างเคร่งครัดและไม่ได้แตะแอลกอฮอล์แล้วแท้ๆ ทั้งที่อยากลองแทบตาย หรือเขาจะโกรธที่เธอไม่ยอมเข้านอนตามเวลากัน ไม่แน่บางทีอาจเป็นเรื่องที่เธอแอบเอาเครื่องเขียนของเขาไปวาดเล่นโดยไม่ยอมบอกก็เป็นได้
ทว่าตอนที่เดินไปสารภาพเบนกลับทำหน้างงแล้วพูดว่าไม่เป็นไรเสียอย่างนั้น และเพราะรับรู้อารมณ์ของกันและกันได้ เธอจึงสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้โกรธเธอจริงๆ แต่ถ้าอย่างนั้นมันคืออะไรกันล่ะ ความยุ่งเหยิงเหมือนเส้นดินสอที่ลากไปมาอย่างไม่เป็นรูปเป็นร่างในหัวของเขาคืออะไรกัน
กำหนดออกเดินทางเพื่อไปทำภารกิจของเบนคือวันพรุ่งนี้แล้ว เพราะเบื่อที่จะคอยและไม่ต้องการจากลาอย่างค้างคา เรย์จึงตัดสินใจบุกไปหาคำตอบถึงห้องพักของเขา
.
.
.
.
.
ดึกสงัดและพระจันทร์สองดวงกำลังลอยเด่นอยู่เหนือฟ้า
เบนล่วงเข้าสู่นิทรารมไปเนินนานแล้วตอนที่สัมผัสได้ถึงแรงสะกิดที่หัวไหล่ เขาปัดมันทิ้งอย่างรำคาญ พลิกตัวหันตะแคงไปอีกข้าง ทว่าแรงสะกิดกลับยังคงอยู่ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจลืมตาขึ้นมา
เพราะฟูกนอนถูกปูอยู่บนพื้น สิ่งแรกที่เบนเห็นจึงเป็นมือเล็กที่ถอยกลับไปกุมประสานกันที่หน้าตัก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไล่มองขึ้นไป ผ่านเสื้อคลุมสีขาวตัวในของเครื่องแบบ ผมเปียเล็กๆ ที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ริมฝีปากบางสีสดที่เอื้อนเอ่ยชื่อของเขา
“เบน”
ไปจนถึงดวงตาสีฮาเซลนัทที่คุ้นเคยดีซึ่งจ้องมองมาอยู่แล้ว
“ฉันรู้นะว่าเบนไม่ได้โกรธฉันหรอกแต่ว่าฉันทำอะไรผิดเหรอทำไมถึงหลบหน้ากันด้วย”
เรย์ถามตรงมากจนเป็นเขาเสียเองที่ไม่กล้าตอบไปตามตรงว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงต้องทำตัวเช่นนั้น ในใจของเขาว้าวุ่น ในหัวของเขายุ่งเหยิง มันเป็นความรู้สึกที่ยากแก่การอธิบายจนเบนเริ่มคิดแล้วว่ามันไม่มีชื่อเรียก
เบนรู้แต่ว่าการเผชิญหน้ากับเรย์มีแต่จะทำให้อารมณ์เหล่านั้นลอยฟุ้งขึ้นมายิ่งขึ้น มันปั่นป่วนจนทำให้เขาแทบไม่มีสมาธิทำอะไรอย่างอื่น เพราะแบบนั้นเขาถึงคอย เว้นระยะห่าง รอเวลาให้มันตกตะกอนไปเอง เพื่อที่หัวใจของเขาจะได้กลับมาเป็นปกติเสียที
“เพราะฉันหอมแก้มเบนวันนั้นหรอ”
เธอถามตรงอีกแล้ว
“เบนไม่ชอบสินะ”
“เปล่า…มันไม่ใช่” จะให้พูดยังไงดีในเมื่อเขายังไม่มีคำอธิบายให้กับอาการของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่อยากให้เรย์มีสีหน้าเช่นนี้เลยจริงๆ
หมองเศร้าและรู้สึกผิดทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลยสักนิด
อาจเพราะแบบนั้นเบนเลยถอนหายใจให้กับความไร้เหตุผลในการกระทำของตนเองพลางเลิกผ้าห่มขึ้น ยอมให้เธอปีนขึ้นมานอนด้วยกันแบบที่เคยทำในฤดูหนาว เด็กหญิงขดตัวเข้ามาอย่างคุ้นเคย รอยยิ้มกว้างหวนกลับมาบนใบหน้า ตอนนั้นเองที่เบนเลือกหาคำตอบได้พอดี
“ฉันแค่คิดว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่เธอทำแบบนั้น ต่อให้ฉันเป็นพี่เลี้ยงของเธอแต่ยังไงฉันก็เป็นผู้ชายอยู่ดี เธอควรเก็บไว้ทำกับคนที่สนิทด้วยเท่านั้น”
“แต่ฉันสนิทกับเบนที่สุดนี่” เธอแย้งและเขาเถียงกลับไม่ได้เสียด้วย อยู่ๆ เบนก็นึกถึงประโยคประจำตัวของลุงลุคขึ้นมา น่าทึ่งจริงๆ ทุกอย่างที่เขาพูดมามันผิดหมดเลย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกจะทำให้สีข้างตัวเองถลอกต่อไป
“แค่…อย่าทำแบบนี้กับคนอื่นเด็ดขาด”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างตัดบทมากกว่าจะเป็นข้อสรุป ซึ่งเขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าประโยคนี้จะก่อให้ภาระแก่หัวใจของเขาได้มากมายเพียงใดในอนาคต
“งั้น…แปลว่าฉันไม่ควรจะหอมแก้มเบน แต่ว่าฉันยังนอนกับเบนได้ใช่ไหม” เธอถามต่อทำเอาเขาแทบสำลักคำพูดตนเอง ร่างเล็กกระเถิบเข้ามาหาไออุ่น ขยับซุกเข้ามาในอ้อมกอดของเขาเต็มๆ เพื่อหาจุดที่สบายที่สุด
เรย์ทำเช่นนี้เสมอในช่วงเวลาที่อากาศหนาวเกินจะทนไหว เธอเติบโตมาในดินแดนทะเลทรายทำให้ไม่อาจคุ้นชินกับอากาศหนาวสั่นของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวได้ เบนเคยพยามแก้ปัญหาด้วยการหาผ้าห่มที่หนาขึ้นให้ก็แล้ว เอาเครื่องทำความร้อนไปตั้งช่วยก็แล้ว แต่เด็กหญิงก็ยังติดไออุ่นจากร่างกายเขามากกว่าอะไรอยู่ดี
“เฉพาะตอนนี้เท่านั้นแหละ” เด็กหนุ่มสรุปแบบตัดบทอีกครั้ง “ถ้าเธอโตแล้วก็ไม่ควรทำเหมือนกัน”
“งั้นฉันก็ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่แล้วแหละ” เธอบ่นงึมงำด้วยความเสียดายก่อนจะหาวออกมาวอดใหญ่ เลยเวลานอนไปมากแล้ว ผสมกับความสบายใจที่สถานการณ์ระหว่างการคลี่คลายลงได้เด็กหญิงจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งให้เด็กหนุ่มนอนลืมตาโพลงหน้าแดงก่ำอยู่เพียงลำพังกับความคิดที่ว่าเขาอยากให้เรย์โตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ มากกว่า อาการฟุ้งซ่านยุ่งเหยิงทางความคิดที่เป็นอยู่จะได้หายไปเสียที
ซึ่งในอีกหลายปีต่อจากนี้ถ้ามองย้อนกลับมาแล้วเบนจะค้นพบว่า น่าทึ่งจริงๆ ทุกอย่างที่เขาคิดไว้มันผิดหมดเลย
Chapter 6: Episode 6 You Need a Teacher
Chapter Text
เบนอายุยี่สิบสามตอนที่เขากลายเป็นเจไดเต็มตัว
ตอนนี้เขากับพันตรีฮักซ์เป็นคู่หูกันมาได้สองปีกว่าแล้ว และมันเป็นความสัมพันธ์แบบที่คนรอบข้างให้นิยามว่าเหมือนคู่สามีภรรยาใกล้หย่าร้างที่ยังตกลงกันเรื่องค่าเลี้ยงดูไม่ได้ไม่มีผิด ต่างจากแคสเซียนกับโบดี้ที่ต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันชนิดหลังชนฝา เบนกับอาร์มิเทจเหมือนพร้อมจะชักปืนแล้วยิงเข้าใส่ข้างหลังของกันได้ทุกเมื่อเสียมากกว่า สิ่งเดียวที่ขัดขวางไม่ให้มันเกิดขึ้นคืออัตราสำเร็จของการทำภารกิจที่พวกเขาได้รับมอบหมายมา
หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้วน
ถึงจะทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ และมีความเห็นไม่ตรงกันไปทุกเรื่อง แต่พอเป็นเรื่องของงานแล้วพวกเขากลับเข้าขากันได้ดีกว่าอะไร
อย่างไงก็ตามเนื่องจากอัตราความสำเร็จนี้ผนวกกับการที่ทั้งจักรวาลเพิ่งจะมีเจไดไม่ถึงสิบคน เบนจึงไม่ได้กลับไปเยี่ยมเรย์มาเกือบครึ่งปีแล้ว ทั้งคู่แลกเปลี่ยนทั้งข้อความโฮโลแกรมและจดหมายที่เขียนด้วยมือกันอยู่บ่อยๆ ก็จริง แต่นั่นไม่มีทางทดแทนความอบอุ่นของอ้อมกอดหรือความรู้สึกสงบยามที่มีกันและกันอยู่เคียงข้างได้เลย
แต่ในทางตรงกันข้าม เบนกลับได้เจอแคสเซียนบ่อยมากจนน่าหงุดหงิด
“เบน!! '” แคสเซียนโบกไม้โบกมือพลางส่งเสียงทักทายมาแต่ไกลโดยไม่สนแม้แต่น้อยว่าตนกำลังยืนอยู่ในอาคารรัฐสภาของสหพันรัฐแห่งดวงดาว ซึ่งทุกคนต่างเก็บรักษามารยาทโดยพูดคุยเสียงเบาไม่ต่างจากคำกระซิบ
ภารกิจของพวกเขาไม่ได้มีอะไรคล้ายคลึงกันเลยสักนิด แต่หลายครั้งหลายคราวเส้นทางกลับข้ามผ่านพาดทับทำให้ต้องมาเจอกันอยู่ทุกครั้งไป
แคสเซียนดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกโขในชุดเครื่องแบบเจไดสีขาวน้ำตาลและการที่เจ้าตัวไว้ไว้หนวดเคราเสียเต็มแก้ม เขายังสูงขึ้นและดูตัวหนาขึ้นอีกนิดหน่อยด้วยจากการต้องทำภารกิจแบบสมบุกสมบันมาโดยตลอด ด้านหลังตามมาติดๆ ด้วยหุ่นดรอยสีดำที่ชื่อเคทูเอสโอทว่าไร้วี่แววของนักบินนามโบดี้
“มาสเตอร์เอนดอร์ คู่หูไปไหนเสียละ”
นั่นคือคำแรกที่เบนเอ่ย ทำเอาแคสเซียนมุ่นหน้าทันที
“สวัสดี ฉันสบายดี แล้วนายล่ะ” เจ้าตัวประชดเมื่อเขาดันถามถึงคนที่ไม่อยู่ตรงนี้แทน
“สวัสดีครับมาสเตอร์โซโลผมเองก็สบายดีเหมือนกัน” เคทูผสมโรง ไม่ได้จงใจจะช่วยเจ้านายแดกดันแต่อย่างใด มันแค่พูดทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในวงจรเฉยๆ ความผิดพลาดในระบบอันเป็นผลจากการที่เด็กชายแคสเซียนเคยรื้อวงจรมันออกมาเล่นเมื่อนานมาแล้ว
ประเมินดูแล้วว่าการประชดประชันนี้คงไม่จบลงง่ายๆ แน่ เบนเลยตัดสินใจเอ่ยทักทายกลับไปให้จบๆ เรื่อง
“ว่าไงแคส เห็นๆ กันอยู่ว่านายสบายดี มาทำอะไรแถวนี้กันละ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย มาเรียกมาสตงมาสเตอร์เนี่ยไม่คุ้นหูเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ” คนเป็นเจไดที่ดันไม่ชอบให้ถูกเรียกแบบเจไดบ่นอุบอิบ “ฉันมาส่งของน่ะ ปลายทางอยู่ที่นี่พอดีแล้วเห็นหลังคุ้นๆ ว่าแล้วว่าต้องเป็นนาย”
“ของเหรอ?” เบนเลิกคิ้ว นึกสงสัยขึ้นมาไม่น้อยว่าเจไดมีภารกิจแบบบุรุษไปรษณีย์ตั้งแต่เมื่อไหร่
“คุณไม่ควรเรียก จิน เป็นสิ่งของนะแคสเซียน มันไม่สุภาพเอาซะเลย” เคทูแย้ง
“เราขับยานไปรับเธอและพาเธอมาส่งให้พ่อ มันก็เหมือนพัสดุนั่นแหละ”
“ทำไมคุณไม่พูดถึงตอนที่เราต้องไปช่วยเธอมาจากสลัดอวกาศและพวกคันจิคลับด้วยละ ไม่มีใครทำเพื่อพัสดุถึงขนาดนั้นหรอกนะ แถมคุณสองคนยังพลัดตกไปบนดาวร้างตั้งหนึ่งอาทิตย์กว่าผมและโบดี้จะหาเจอ ยังไม่พูดถึงที่คุณขาหักเพราะปกป้องจิน แล้วก็แผลตรงท้องแล้วก็ตอนที่…”
“พอ หยุด เลิก พูดเรื่องอื่น” แคสเซียนตัดบท เบนเลิกคิ้วสูงเหมือนจับประเด็นอะไรบางอย่างได้ เขายิ้มกริ่มและเริ่มต้นการเอาคืนทันที
“แล้ว ‘พัสดุ’ ที่ว่านี่อยู่ไหนล่ะฉันชักอยากเจอละสิ”
“อยู่กับพ่อของเธอแล้วครับมาสเตอร์โซโล” เคทูตอบให้
“เสียดาย” เบนพึมพำ
“น่าเสียดายจริงๆ น่ะแหละครับ” เคทูยังคงไม่เลิกขุดหลุมดักเจ้านายมันเสียที ไร้ทางเลือกแคสเซียนจำต้องหาทางออกจากสถานการณ์ด้วยตัวเอง
“ว่าแต่นายเถอะมาทำอะไรที่นี่กัน คราวนี้มาปกป้องวุฒิสมาชิกหรือว่าเจ้าชายดาวไหนอีกละ”
“เปล่า” เบนตอบ “มาเป็นเพื่อนฮักซ์ เจ้านั่นมายื่นเรื่องให้สภาอนุมัติก่อตั้งกองกำลังทหารแบบพิเศษเห็นว่าจะใช้ชื่อว่าเฟิร์สออเดอร์ รวบรวมแต่คนมีฝีมือเพื่อรับแต่ภารกิจที่ยากและอันตรายขึ้นไปอีก”
เจไดหนุ่มทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยังกับว่าแค่ที่เป็นอยู่นี้จะยากและอันตรายไม่พออย่างนั้นแหละ ก็รู้อยู่หรอกว่าอัตราสำเร็จที่ผ่านๆ มาคือร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้วน แต่คนที่เหนื่อยทำภารกิจมันเขากับร้อยโทฟาสม่าต่างหาก ไม่ใช่เจ้ากุนซือผมแดงที่นั่งจิบชาลูบขนแมวอยู่บนโต๊ะวางแผนเสียหน่อย
“น่าสงสารเสียจริง” รูปประโยคเหมือนจะเห็นใจแต่น้ำเสียงมันเยาะเย้ยอยู่ชัดๆ แล้วอยู่ๆ แคสเซียนก็เปลี่ยนเรื่องอย่างปุบปับ “แล้วนายได้กลับไปหามาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์บ้างหรือเปล่า”
“ฉันติดต่อกับเขาอยู่บ้างเหมือนกันตอนปรึกษาบางเรื่อง จะให้พูดตามตรงคือฉันก็ไม่ได้เจอเขามาสักครึ่งปีได้แล้ว”
“แล้วเด็กเรย์นั่นละ”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ ฮักซ์ใช้งานฉันอย่างกับทาส เจ้านั่นอยากเลื่อนขั้นเป็นนายพลจะแย่แล้วเลยต้องรีบทำผลงาน ทำไมเหรอ?”
“เธอได้เล่าให้นายฟังบ้างไหม”
“เรื่องไหนล่ะ?” เบนย้อนถาม
“ก็ทั่วๆ ไป การเรียน เพื่อนใหม่ ข้อสอบ นั่นโน้นนี่” มาสเตอร์เอนดอร์ขยับมือไม้ไปมาอย่างอยู่ไม่สุข ท่าทางลุกลี้ลุกลนผิดสังเกตยิ่งกว่าตอนที่เคทูพูดเรื่องจินเสียอีก
“แคสเซียน…” เบนลากเสียงยาวอย่างคาดคั้น
“อ่า…” แคสเซียนมีท่าทางลังเลอย่างไม่ปิดบัง “ยังไม่มีใครเล่าให้นายฟังสินะ”
“เรื่อง?”
“ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนฉันกลับไปที่ดาวคัมพารัสเพราะดันทำไลท์เซเบอร์ระเบิด เลยจะไปขอไคเบอร์คริสตัลอันใหม่มา”
เบนเลิกคิ้ว คำตำหนิฉายชัดในสีหน้าและแววตาว่าไปทำอิท่าไหนกันอาวุธศักดิ์สิทธิ์คู่กายถึงได้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ขนาดนั้น แต่เขาก็เลือกจะไม่พูดอะไรล่ะปล่อยให้แคสเซียนได้เล่าต่อไปก่อน
“แล้วฉันเห็นว่าบรรยากาศในโรงเรียนมันดูแปลกๆ แบบไม่รู้สิ เหมือนทุกคนดูกลัวๆ เกร็งๆ อะไรสักอย่าง ตอนแรกฉันก็นึกว่ามาสเตอร์ออกแบบข้อสอบใหม่หรือเปล่า ประมาณว่าอัพเกรดจากเดินป่าธรรมดาไปเป็นทิ้งไว้กลางหุบเขาและปล่อยให้เอาตัวรอดกันเองอะไรแบบนั้น แต่แล้วฉันก็สังเกตอีกว่าพวกเด็กเล็กๆ ต่างหากที่ดูกลัวที่สุด ฉันก็เลยไปถามเพจ แล้วก็แวะทักทายพวกเพื่อนเก่าคนอื่นๆ แล้วก็…”
“เข้าเรื่องสักทีเถอะแคส” ในที่สุดเบนก็ทนไม่ไหว
“ผมเห็นด้วยกับมาสเตอร์โซโลนะ คุณพูดจาอ้อมค้อมเกินไปแล้ว” เคทูร่วมผสมโรงเหมือนเคย
แคสเซียนจึงสูดหายใจเข้าลึกราวกับกำลังรวบรวมความกล้า เขาผ่อนลมหายใจออกก่อนจะเริ่มต้นเล่า
“เด็กนาย...เรย์ เผลอใช้พลังทำร้ายยังลิ่งคนหนึ่งจนบาดเจ็บสาหัส ตั้งแต่นั้นมาทุกคนก็เลยกลัวเด็กนั่นกันหมด”
“แปลกตรงไหนกันฉันยังเผลอทำนายเกือบตายมาตั้งหลายครั้งตอนซ้อมต่อสู้” เบนกอดอก ท่าทางติดจะไม่พอใจเล็กน้อยเนื่องจากอีกฝ่ายเพิ่งจะพล่ามอะไรที่ไร้สาระมากๆ และควรกังวลโดยใช่เหตุให้ฟัง เจไดคืออัศวิน แม้จะเป็นผู้รักษาความสงบแต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมจะเข้าสู่สงครามได้ทุกเมื่อ บาดแผลและการหลั่งเลือดคือส่วนหนึ่งของการฝึกฝนเสมอมา
หลักสูตรของลุงลุคยังไม่เคยทำให้ใครตายก็จริง แต่ถ้าพูดถึงการเจ็บตัวแล้วก็เป็นอีกเรื่องนึงเลยแหละ แม้แต่เบนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะเองก็ยังได้แผลเป็นมาหลายแผล รวมทั้งทำให้เพื่อนพาดาวันคนอื่นได้ไปหลายแผลเช่นกัน
ส่วนเรย์ที่มีพรสวรรค์ในการใช้พลังยิ่งกว่าเขาคงไม่ต้องพูดถึง เธอน่าจะอัดใครหลายคนให้ไปนอนหมอบกับพื้นได้ไม่ยาก เพราะแบบนั้นเบนเลยไม่เข้าใจสักนิดว่าแคสเซียนจะแตกตื่นไปเพื่ออะไร
คนเล่าเรื่องสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง
“มันน่ากลัวตรงที่เด็กนั่นใช้พลังจากด้านมืดน่ะสิ”
มือที่กอดไขว้กันอยู่ตรงอกของเบนคลายออกทันที ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยฉายแววระอา พลันเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกแทน
“และเป็นความมืดแบบไร้แสงสว่างเจือปนเหมือนที่พวกซิธใช้กันไม่มีผิด ทีนี้นายจะเข้าใจได้หรือยังว่าทุกคนกำลังกลัวอะไรอยู่”
“ฉันต้องไปแล้ว” เบนบอกด้วยสีหน้าซีดเผือก ร่างกายขยับวิ่งไปก่อนที่สมองจะทันรู้ตัวเสียอีก นับว่ายังดีที่ยังไม่ลืมว่าควรหันมากล่าวอำลากับแคสเซียน “ขอบใจมากที่เล่าให้ฟังไว้จะตอบแทนทีหลัง!!”
ระหว่างทางเบนสวนกับพันตรีฮักซ์เข้าพอดี ชายหนุ่มมีผมสีส้มแดงที่หวีเรียบไปด้านหลังและผิวขาวซีดตัดกันเป็นอย่างยิ่งกับชุดเครื่องแบบสีดำที่ใส่อยู่ สองมือของอาร์มิเทจไพล่ซ้อนกันอยู่เบื้องหลัง ท่าทางอารมณ์ดีมากเสียจนเดาได้ไม่ยากว่าการขออนุญาตก่อตั้งเฟิร์สออเดอร์ต้องผ่านฉลุยแน่นอน สังเกตได้อีกอย่างคือการที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเบนอย่างสุภาพและเต็มยศ
“มาสเตอร์โซโล มีข่าวดีมาฝาก คำขอได้รับการอนุมัติแล้วแต่ยังมีเรื่องต้องเตรียมกันอีกมาก ขั้นแรกต้องประกาศรับสมัครเจ้าหน้าที่เพิ่มแล้วก็...”
ถ้อยคำขาดหายเมื่อคนที่ตั้งใจจะพูดด้วยดันวิ่งผ่านเลยไปเสียอย่างนั้น
“นั่นนายจะไปไหนกันโซโล!!”
อารมณ์เริ่มหงุดหงิดแล้ว คำนำหน้าจึงหายไปด้วย แต่เบนก็ยังไม่หยุดก้าวขาอยู่ดี ตอนนี้สมาธิของเขาจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องเดียวเท่านั้นคือการเดินทางกลับดาวคัมพารัสเพื่อไปพบเรย์ให้ได้เร็วที่สุด
“ฉันขอลาพักร้อน” เขาตะโกนบอกโดยไม่หันมามอง “มีธุระสำคัญให้ต้องไปทำ”
“อะไรจะสำคัญไปกว่าการก่อตั้งเฟิร์สออเดอร์กันหา”
อาร์มิเทจตะโกนไล่หลังมา แต่เบนไปไกลเกินกว่าจะตอบโต้เสียแล้ว ซึ่งถ้าเจไดหนุ่มมาได้ยินเข้าคงจะบอกว่า คนที่เขากำลังจะไปหา สำคัญกว่าทุกอย่างในจักรวาลนี้ด้วยซ้ำไป
.
.
.
.
.
หน้าร้อนตอนที่เรย์อายุสิบสาม มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นถึงสองเรื่องด้วยกัน
หนึ่งคือเธอสูงขึ้นถึงสามนิ้ว สูงเร็วมากจนทำเอาปวดกระดูกเลยแหละ เสียงก็เปลี่ยนเช่นเดียวกับรูปร่างที่เริ่มโค้งเว้าขึ้นเล็กน้อย ถ้าเป็นตอนปกติเพจคงพูดแซวเธอว่าใกล้จะโตเป็นสาวแล้ว ทว่าตั้งแต่ ‘เหตุการณ์นั้น’ ก็ไม่มีใครพูดกับเรย์อีกเลย
เธอกลับไปโดดเดี่ยวอีกครั้งเหมือนสมัยยังอยู่ที่แจคคู และแม้แต่มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ที่จริงเรย์คิดว่าแค่เขาไม่ไล่เธอออกจากการเป็นพาดาวันและพาไปขังไว้ในคุกระดับสูงสุดสักที่ก็เป็นการช่วยมากพอแล้ว
หลังจากเหตุการณ์นั้น เรย์มักจ้องมองกระจกบ่อยๆ พลางสงสัยเมื่อไหร่กันที่เธอจะตกลงสู่ความมืด เพราะว่ากันตามตรงนอกจากร่างกายภายนอกแล้วเด็กหญิงก็ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยสักนิด เธอยังคงเป็นเธอ ไม่ได้กระหายเลือด เกรี้ยวกราด หรือคิดแต่จะชิงชังฆ่าฟันอย่างที่หนังสือพูดถึงเหล่าซิธแม้แต่น้อย
แต่เธอสับสนและเคว้งคว้าง เธอคิดถึงเบน เธออยากเจอเขา อยากกอดเขาแน่นๆ แล้วบอกว่ามันแย่แค่ไหนที่ไม่มีเขาอยู่ข้างๆ
แต่ก็ไม่ได้ เธอไม่กล้าแม้แต่จะเล่าให้เขาฟังด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ในตัวของเขามีทั้งแสงสว่างและความมืดปะปนกันอยู่เหมือนเธอ แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะแสดงมันออกมาจนเผลอทำร้ายคนอื่นอย่างที่เธอทำ
เพราะแบบนั้นในข้อความและจดหมายที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกันมาตลอด เรย์จึงพูดแต่เรื่องทั่วๆ ไปเท่านั้น เรื่องดีๆ ที่จะทำให้เขาสบายใจ เด็กหญิงกลัวว่าถ้ารู้ความจริงเขาจะพลอยชิงชังในตัวเธอไปด้วยเหมือนเช่นที่เพื่อนพาดาวันคนอื่นๆ เป็น
เรย์คิดอย่างหดหู่ พลางวางก้อนขนมปังซึ่งเพิ่งแหว่งไปแค่นิดเดียวลง เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยทีเดียวที่เธอทานไม่หมด
รอบด้านคือป่าโปร่งด้านหลังวิหารทำสมาธิ ห่างไกลผู้คน เงียบสงัดแต่ก็วังเวงไม่น้อย ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้นเธอก็มาทานที่นี่โดยตลอด หลีกเลี่ยงที่จะพบเจอพาดาวันคนอื่นเพื่อลดทอนความอึดอัดของพวกเขา ซึ่งการพลักไสตนเองให้โดดเดี่ยวยิ่งทำให้เธอเคว้งคว้างมากขึ้นไปอีก
อยากเจอเบนชะมัด...เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เรย์คิดแบบนั้น
และเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้อีกเช่นกันที่เธอตระหนักขึ้นมาได้ว่าไม่เจอแหละดีแล้ว อย่าเอาเรื่องเดือดร้อนไปเพิ่มให้เขาอีกเลย แม้เบนเพิ่งจะกลายเป็นเจไดได้ไม่นานแต่ภาระหน้าที่กลับล้นบ่าแล้วเรียบร้อย
บางทีเธอน่าจะไปขอมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์เรียนหลักสูตรเดียวกับที่เบนเคยเรียน อาจจะโหดไปหน่อยแต่ถ้ามันช่วยให้เธอไม่กลายเป็นซิธก่อนเรียนจบได้ก็นับว่าน่าลองอยู่ เรย์แหงนมองเธอฟ้า น่าจะใกล้ได้เวลาเข้าเรียนภาคบ่ายแล้ว
เด็กหญิงเก็บข้าวของแล้วลุกขึ้นยืน แต่พอหันหลังกลับก็ชนเข้ากับใครบางคนเสียก่อน
“กินไม่หมดแบบนี้ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ” เสียงนั้นทุ้มลึกจนเกือบฟังไม่คุ้นเคย แต่พอเงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นดวงตาสีน้ำตาลที่คิดถึงกำลังก้มมองมา เรย์ก็ทิ้งทุกอย่างลงแล้วโผเข้ากอดเขาทันที
“เบน!!”
เขายิ้มขณะโอบแขนรอบตัวเธอกลับ
เรย์เคยคิดว่าส่วนสูงของเธอน่าจะไล่ทันเขาได้ในสักวันหนึ่งแต่ก็ไม่ เพราะกลายเป็นว่าเบนเองก็สูงขึ้นเช่นกัน อาจไม่ได้มากมายเท่าของเธอ ทว่าเมื่อรวมเข้ากับความสูงแต่เดิมแล้ว มันจึงราวกับว่าเป็นเธอเสียเองที่หดเล็กลงจนแทบจะจมหายไปกับอ้อมกอดกว้าง แน่นอนว่าพวกเขาคิดต่อกันทางข้อความโฮโลแกรมตลอด และเธอเองก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเขา ทว่าไม่เคยตระหนักชัดจนกระทั่งได้มาสัมผัสจริงๆ ในวันนี้
วันนี้เบนสวมชุดเครื่องแบบของเจไดสีขาวและเสื้อคลุมตัวนอกสีน้ำตาลเข้ม ไลท์เซเบอร์คาดเหน็บอยู่ที่เอว ชั่วขณะหนึ่งเรย์ไพล่นึกไปถึงรูปของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์สมัยหนุ่มๆ ที่เขาเคยหยิบให้ดู เขาดูเหมือนคุณตาของเขามากอย่างไม่เชื่อ
“มาได้ยังไงกัน?” เด็กหญิงถามด้วยความฉงน
“มารับเธอ” เขาตอบ ปลายนิ้วลูบรอยแผลเป็นที่หางคิ้วซ้ายของเธอ รอยแผลที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เบนเองก็มีแผลคล้ายๆ กันซึ่งได้มาตอนใกล้เรียนจบแต่อยู่ข้างขวา มันเลยดูราวกับว่าพวกเขาเป็นภาพสะท้อนของกันและกันไม่มีผิด
ความโดดเดี่ยว แสงสว่าง ความมืด ไปจนถึงบาดแผล
ความคิดของเขาและเธอผสานสอดคล้องกัน เรย์อ่านท่าทางของเขาได้ในทันที เบนรู้ความจริงแล้ว
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เขาชิงถาม คลายอ้อมกอดและช่วยเธอหยิบข้าวของที่กระจายอยู่รอบๆ ขึ้นมา
“เบนไม่โกรธฉันเหรอ” เรย์ถามกลับ
“ทำไมฉันต้องโกรธเธอด้วย”
“เพราะฉันกำลังจะกลายเป็นซิธ” เรย์ก้มหน้าเศร้า ทว่าเบนกลับหลุดหัวเราะเสียได้
“แค่ใช้พลังด้านมืดครั้งสองครั้งไม่ทำให้เธอกลายเป็นซิธหรอกนะ”
...ต้องร้ายแรงกว่านั้นเยอะ…
เสียงในความคิดของเขาทั้งดังและฟังเศร้า เรย์เกือบหลุดปากถามแล้วแต่ยั้งไว้ได้ทัน คงไม่ดีเท่าไหร่ที่จะพูดถึงวีรกรรมของดาร์ธเวเดอร์ในสถานการณ์เช่นนี้ เด็กหญิงเลยตัดสินใจเล่าวีรกรรมของเธอเองให้ฟังแทน แม้จะแน่ใจอยู่หลายส่วนว่าเขาคงรู้เรื่องราวทั้งหมดจากเพจไม่ก็มาสเตอร์มาแล้ว แต่เรย์ก็ยังอยากให้เขาได้ยินจากปากเธอเองอยู่ดี
ฤดูหนาวที่ผ่านมา เรย์กับพาดาวันเด็กเล็กกลุ่มหนึ่งออกไปเล่นปาหิมะด้วยกัน มันควรจะสนุกสนานและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ จนกระทั่งใครคนหนึ่งตัดสินใจเล่นพิเรนทร์โดยใช้หิมะห่อก้อนหินมาปา
เด็กคนนั้นมาจากดาวแปลกๆ ที่เรย์ออกเสียงไม่ถูก เขามีสี่แขนและมีแนวคิดเกี่ยวกับการละเล่นและความรุนแรงที่แย่มาก กว่าจะตระหนักได้ว่ามีก้อนหินซ่อนอยู่ในลูกบอลหิมะ แขนของเรย์ช้ำเป็นกว้างไปหลายวง เช่นเดียวกับเนื้อตัวของเด็กอีกหลายหลายคนที่ถูกกระทำ
‘พอสักที!!’ เธอตะโกนสั่งทว่าอีกฝ่ายไม่สน ชัยชนะเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาต้องการ เรย์ทั้งโกรธและโมโห ความอดทนของเธอสิ้นสุดลงตอนที่หินก้อนใหญ่กระทบหางคิ้วข้างซ้ายและเลือดเริ่มไหลลงมา
เธอใช้พลังพลักเขาอย่างแรงจนลอยไปกระแทกต้นไม้ พอจะลุกขึ้นมาก็ใช้พลังบีบคอไว้ต่อ หูเธอแว่วยินเสียงร้องขอโทษและอ้อนวอนขอให้หยุด ใจเธอรู้ดีว่าควรพอได้แล้ว แต่ร่างกายกลับไม่ยอมฟังคำสั่ง
ความพึงพอใจแผ่ซ่านไปทั่วร้าวกับพิษร้าย เธอรู้เสมอว่ามีด้านมืดซุกซ่อนอยู่ในตัวแต่ไม่เคยสัมผัสมันได้ชัดเจนมากเท่าในวันนี้ สถานการณ์คงจะเลวร้ายกว่านั้นมากถ้าไม่ใช่เพราะเด็กสองสามคนวิ่งไปตามมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์มาห้ามเธอไว้ได้ทัน
เรย์ถูกลงโทษข้อหาใช้พลังเกินกว่าเหตุ เธอถูกกักบริเวณให้นั่งสมาธิหลังเลิกเรียนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ด้วยกัน ว่ากันให้ยุติธรรม เด็กคนนั้นเองก็ถูกมาสเตอร์ลงโทษเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเทียบการเล่นพิเรนทร์โดยซ่อนก้อนหินไว้ในหิมะกับการเผลอใช้พลังด้านมืดจนเกือบฆ่าเพื่อนร่วมชั้นตายแล้ว เรย์จึงกลายเป็นสัตว์ประหลาดในสายตาพาดาวันคนอื่นไปในทันที
ไร้คำแก้ตัว เรย์ปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเรื่อยจนกระทั่งถึงจุดที่ไม่มีใครกล้าพูดกับเธออีกเลย
“ขอโทษนะ” เบนกล่าวแทบจะในทันทีหลังเธอเล่าจบ เขากำลังรู้สึกผิดที่ไม่สามารถรักษาสัญญาที่มีให้เธอได้ ถ้อยคำและความมุ่งมั่นในวันที่เธอเกือบจะจมน้ำว่าเขาจะเคียงข้างเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เรย์ส่ายหน้า ย้ำให้เบนเข้าใจว่าไม่ใช่ความผิดของเขาเลยแม้แต่น้อย เป็นเธอเองที่อ่อนแอและพ่ายแพ้ให้กับด้านมืดที่ไม่ควรจะมี
“เบนว่าฉันควรจะทำยังไงต่อไปดี ไปขอมาสเตอร์ฝึกแบบเดียวกับที่เบนเคยฝึกดีไหม”
“ไม่ดี” เจไดหนุ่มนิ่วหน้า “มันไม่ใช่การฝึกที่เหมาะกับเด็กผู้หญิงสักเท่าไหร่หรอกนะ ที่จริงแล้วต้องเรียกว่ามันไม่เหมาะกับมนุษย์ทั่วไปเลยด้วยซ้ำ”
เบนถอนหายใจ สีหน้าสยดสยองแวบผ่านเข้ามาครู่หนึ่งก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
“อีกอย่างฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น ฉันคุยกับมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์แล้วและเขาเห็นด้วย”
เรย์เอียงคอ รอคอยคำอธิบายจากเขา ทันใดนั้นเขาก็อุ้มเธอขึ้นมาด้วยแขนข้างเดียวอย่างที่มักทำเป็นประจำ เบนทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนเธอทั้งตัวเล็กและเบามากจนไม่สะดุ้งสะเทือนพละกำลังของเขาทั้งที่เธอสูงขึ้นถึงสามนิ้วแล้วแท้ๆ
สายตาของพวกเขาประสานกันในระยะประชิด เบนยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัยจนเห็นลักยิ้ม มันทำให้เรย์อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือข้างหนึ่งแตะแก้มของเขา
“ฉันจะสอนเธอเอง” เขาเฉลยแผนการให้ฟัง “ทั้งการควบคุมและการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ฉันจะสอนเธอทุกอย่างที่ฉันรู้ ทุกอย่างที่ฉันทำได้เธอก็ทำได้เหมือนกัน และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งหรือหมดหวังในตัวเธอเด็ดขาด เหมือนที่เธอไม่เคยหวาดกลัวตัวตนของฉัน”
ดวงตาสีเฮเซลนัทเบิกกว้างเมื่อเข้าใจแล้วว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร
“ฉันอยากให้เธอมาเป็นพาดาวันของฉันนะเรย์ เธอจะว่ายังไง”
“ฉันว่าเบนน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วนะ”
นั่นคือเรื่องดีๆ อย่างที่สอง ในฤดูร้อนที่เรย์อายุครบสิบสามปี
Chapter 7: Episode 7 Welcome Aboard
Chapter Text
มันจะดีกว่ามากถ้าพวกเขาได้อยู่ด้วยกัน มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ย้ำแบบนั้นเสมอ
ซึ่งเบนเห็นด้วยในหลายๆ แง่ ทั้งเรื่องที่พลังของเขาและเรย์มีความคล้ายคลึงกันเกินไป เป็นแสงสว่างและความมืดที่ผสานปะปนกันอย่างยากจะแยก เพราะแบบนั้นพวกเขาจึงเข้าใจกันและกันได้ดีกว่าใคร รวมไปถึงเรื่องที่ว่าตลอดหลายเดือนที่ห่างกันไปมันทำให้เขาคิดถึงเธอมากขนาดไหน
เขาปรึกษากับลุงลุคแล้ว ในเมื่อตอนนี้เขากลายเป็นเจไดเต็มตัว กฎจึงอนุญาตให้เขารับเด็กมาฝึกฝนเป็นพาดาวันได้ และการพาเรย์ไปจากคัมพารัสจะเป็นการดีกับทุกฝ่ายมากกว่า อย่างน้อยเหล่ายังลิ่งคนอื่นๆ จะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวง และภาระการดูแลของมาสเตอร์จะได้เบาลงไปอีกหน่อย
ทุกอย่างควรจะเรียบร้อยและสมบูรณ์แบบ
“ไม่”
จนกระทั่งพันตรีฮักซ์เอ่ยประโยคนั้นออกมา
“ที่นี่ไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็กนะมาสเตอร์โซโล” อาร์มิเทจว่าพลางปรายดวงตาสีฟ้าไปยังร่างเล็กของเด็กหญิงที่เกาะชายเสื้อคลุมตัวยาวของคู่สนทนาอยู่ เขาเชิดหน้าสูง สองมือไพล่หลัง พร้อมทั้งเอ่ยแก้ความเข้าใจผิดด้วยน้ำเสียงหยิ่งๆ อย่างที่มักใช้เป็นประจำ “และตอนนี้ฉันได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพันโทแล้วด้วย”
เบนเลิกคิ้วสูงเหมือนจะบอกว่า ‘แล้วไง’ สำหรับทั้งสองประเด็น
“ทีนายยังเอาเจ้าหน้าขนตัวนั้นมาเลี้ยงได้เลย แล้วทำไมเรย์จะมาอยู่ที่นี่บ้างไม่ได้”
“เจ้านั่นที่นายว่าชื่อคุณมิลลิเซนต์ต่างหาก” อาร์มิเทจแย้งเสียงแข็ง หัวคิ้วขมวดมุ่น ดูท่าทางก็รู้ว่ากำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก “และระดับความรับผิดชอบของการดูแลเด็กกับคุณมิลลิเซนต์มันคนละเรื่องกัน อีกอย่างเดรทน็อทเป็นยานรบและพวกเรากำลังอยู่ระหว่างการก่อตั้งเฟิร์สออเดอร์ไม่มีเวลาว่างมาดูแลเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหรอกนะ”
เบนถอนหายใจก่อนจะดันหลังเรย์ให้หลบไปนั่งรอที่ชุดเก้าอี้มุมห้องขณะที่เขาวางมวยกับคู่หูตัวเองต่อไป
“นับจากนี้เรย์จะมาเป็นพาดาวันของฉัน และสักวันหนึ่งเธอก็จะกลายเป็นเจได ไม่อยากให้หน่วยเฟิร์สออเดอร์ของนายมีเจไดเพิ่มหรือไง หรือไม่อยากได้แล้วยศนายพลอะไรนั่นน่ะ”
“ถ้าเป็นเจไดภายใต้การฝึกของมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ก็ต้องอยากอยู่แล้ว แต่ถ้ามาจากมาสเตอร์โซโลคงต้องคิดดูอีกที”
เจไดผมดำและนายทหารผมแดงยังคงสร้างบรรยากาศร้อนระอุกดดันให้กับห้องกว้างต่อไป เหล่าทรูปเปอร์ที่ยืนประจำการอยู่รอบๆ ต่างลอบเหงื่อตกภายใต้ชุดเกาะสีขาวกันเป็นแถบๆ คงมีแต่เรย์เท่านั้นที่ยังนั่งแกว่งขารอคอยโดยไม่รู้สึกรู้สาต่อไปได้
มีแค่สองอย่างเท่านั้นที่ผ่านมาในความคิดของเธอคือเบื่อและหิว
“คุกกี้หน่อยไหมจ๊ะ”
ทันใดนั้นจานคุกกี้สีน้ำตาลทองส่งกลิ่นหอมอบใหม่และนมหนึ่งแก้วก็ถูกยื่นมาตรงหน้า คนที่ถือมันอยู่เป็นทหารในชุดเกาะสีเทาเงินแวววาวและผ้าคลุมสีแดงดำแตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน ร่างนั้นสูงใหญ่ยิ่งกว่าผู้ชายสองคนที่กำลังยืนถกเถียงกันอยู่กลางห้องเสียอีก ทว่าจากน้ำเสียงแล้วเรย์มั่นใจว่าต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน
เด็กหญิงพิจารณามองอาหารนั้นไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำก่อนจะยิ่งกว่ายินดีที่จะรับมันไว้
อีกฝ่ายแนะนำตัวว่าชื่อ ร้อยโทฟาสม่า เป็นหัวหน้าหน่วยทหารราบและติดตามรับใช้พันตรี...ไม่ใช่สิ...พันโทฮักซ์มาเนิ่นนานแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักนะพาดาวันเรย์” ฟาสม่าเอ่ย เสียงอู้อี้เล็กน้อยเพราะลอดผ่านหมวกเหล็กสีแวววาว
“ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันค่ะ” เรย์รีบเคี้ยวคุกกี้ให้หมดคำเพื่อตอบกลับ แต่ก่อนที่จะได้หาหัวข้อมาคุยเพิ่มเติมเพื่อทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ เสียงโต้เถียงของเบนกับอาร์มิเทจก็ดังขึ้นไปอีกระดับ และยิ่งฟังดูเรย์ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไร้สาระมากขึ้นทุกที
“ไม่รู้แหละฮักซ์ ถ้านายไม่ให้เรย์อยู่ที่นี่ฉันก็จะหาคู่หูใหม่!!”
“อย่ามาตลกไปหน่อยเลยโซโล นายไม่มีทางหาคนที่วางแผนใช้ความบ้าบิ่นของนายในสนามรบได้ดีเท่าฉันอีกแล้ว”
ทั้งคู่วนเวียนอยู่แต่กับประโยคประมาณนี้ หรือไม่ก็…
“นั่นน่ะเหรอคำอ้างของนาย ไม่มีห้องให้อยู่! ? ยานนี้จุทหารได้ตั้งพันคนทำไมจะเพิ่มเรย์มาอีกคนไม่ได้”
“พันห้าร้อยคนต่างหาก! และไม่ ฉันจะไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ไว้ในยานเดรทน็อทเด็ดขาด”
“งั้นก็เอาเจ้าตัวส้มของนายไปทิ้งได้แล้วฮักซ์เพราะมันไม่มีประโยชน์เหมือนกัน”
“ระวังปากหน่อยโซโล อย่าลามปามคุณมิลลิเซนต์”
“ไม่งั้นจะทำไม”
ว้าว...เรย์เพิ่งเคยเห็นเบนหัวเสียขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ซ้ำยังเป็นในระดับที่แม้แต่แคสเซียนก็ทำไม่ได้เสียด้วย ว่าแต่คุณมิลลิเซนต์นี่ใครกัน? เห็นพูดถึงมาตั้งนานสองนานแล้ว
“เมี้ยว”
คำตอบมาหาเรย์เร็วกว่าที่คิด พูดให้ถูกคือมันมาพันแข้งพันขาเธอด้วยซ้ำไป แมวตัวอ้วนกลมสีส้มสว่างเหมือนสีผมพันโทฮักซ์กำลังใช้ใบหน้าถูกไถไปกับหน้าแข้งของเรย์อยู่ มันส่งเสียงครางอย่างออดอ้อน เรย์จึงอุ้มมันขึ้นมาแนบอก ทุลักทุเลเล็กน้อยเนื่องจากน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานจากการถูกเลี้ยงดูมาดีเกินไป เมื่อตั้งท่าได้อย่างมั่นคงแล้วเด็กหญิงก็พลิกปลอกคอสีดำสลับเงินหรูหราดูป้ายชื่อ
...คุณมิลลิเซนต์…
หัวข้อโต้เถียงหลักระหว่างมาสเตอร์โซโลและพันโทฮักซ์มาหาถึงที่เลยแฮะ
“เฮ้ย!! เธอ!!” อยู่ๆ คุณเจ้าของแมวก็หันมาทางเรย์ ร่างผอมในชุดเครื่องแบบสีดำล้วนเดินอาดๆ เข้ามาใกล้พลางชี้นิ้วสั่งประหนึ่งเธอเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเขา
“วางคุณมิลลิเซนต์ลงเดี๋ยวนี้ไม่รู้รึไงว่าเขาไม่ชอบให้ถูกอุ้ม โอ๊ย!!”
แล้วอยู่ๆ อาร์มิเทจก็ถูกอุ้งเท้าของคุณมิลลิเซนต์ตะปบเข้าอย่างจัง รอยแดงพาดผ่านหลังมือ ทั้งห้องตกตะลึง และเบนกำลังกลั้นขำเต็มที่ในขณะที่เจ้าแมวส้มตัวกลมหันกลับไปซุกไซ้เรย์ต่อ
“ดูเหมือนคุณมิลลิเซนต์จะชอบเธอนะคะท่าน” ฟาสม่าตอกย้ำ เล่นเอาตัวของแมวตัวจริงสะอึก เนื่องจากถ้าไม่ได้กำลังอารมณ์ดีมากจริงๆ แม้แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ลูบขนเด็ดขาด แล้วยัยเด็กนี่เป็นใครกัน โผล่มาไม่ถึงชั่วโมงนอกจากจะได้กอดได้อุ้มแล้วคุณมิลลิเซนต์ยังนัวเนียไม่ห่างอีกต่างหาก เจ็บใจนัก!
สังเกตถึงท่าทางของคู่หูได้ เบนไม่รอช้าที่จะขยี้ประเด็นนี้
“ท่าทางมีความสุขน่าดูเลยเนอะ นานๆ จะเจอคนที่ชอบเล่นด้วยแบบนี้สักที แต่ก็อย่างว่า น่าเสียดายสุดท้ายแล้วเรย์ก็จะไม่อยู่เล่นกับมันอยู่ดี”
ตบท้ายด้วยเสียงร้องเหมียวราวกับจะเห็นด้วย ในที่สุดพันโททาสแมวก็พ่ายแพ้ อาร์มิเทจยอมให้เรย์ขึ้นยานเดรทน็อทได้ด้วยเงื่อนไขว่าเขาและเฟิร์สออเดอร์จะไม่รับรองความปลอดภัยของเธอเด็ดขาด หากมีอะไรเกิดขึ้นเบนต้องรับผิดชอบเอง
เจไดหนุ่มเหยียดยิ้ม เขาตอบด้วยท่าทีหยิ่งๆ ที่ดูแวบเดียวก็รู้ว่าทำไปเพื่อล้อเลียนอาร์มิเทจ
“พาดาวันของฉัน ฉันดูแลเองได้อยู่แล้ว”
เบนวางมือลงบนไหล่ของเรย์ประกอบคำพูดนั้น แต่ก็เหมือนอาร์มิเทจ ทันทีที่เข้าใกล้ก็ถูกเจ้าแมวสีส้มตัวอ้วนกลมตะปบข่วนหลังมือเข้าให้อย่างจัง รอยแดงพาดผ่าน ทั้งห้องยืนอึ้ง อาร์มิเทจกลั้นขำเต็มที่ เหมือนภาพฉายซ้ำเพียงแต่เปลี่ยนคนเท่านั้น
ดูเหมือนนอกจากจะไม่ชอบเจ้าของแล้ว คุณมิลลิเซนต์ยังไม่ชอบคู่หูของเจ้าของอีกต่างหาก
สุดท้ายเรย์จึงได้รับตำแหน่งอย่างไม่เป็นทางการจากพันโทฮักซ์เพิ่มมาอีกหนึ่งตำแหน่ง เป็นพนักงานอุ้มคุณมิลลิเซนต์ประจำยานเดรทน็อท
.
.
.
.
.
.
หลังจากกลายมาเป็นพาดาวันของเบน ชีวิตประจำวันของเรย์ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
จากดวงดาวสีเขียวชอุ่มที่ไม่มีกระทั่งไฟฟ้าใช้ก็กลายมาเป็นยานรบสุดล้ำสมัยที่มีสตอร์มทรูปเปอร์เดินกันให้ควักตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เรย์สนิทกับพวกที่หน่วยซ่อมบำรุงและแผนกทำความสะอาดมากเป็นพิเศษ พวกเขาชอบเรียกเธอว่าเจไดตัวน้อยอย่างเอ็นดูพร้อมหาขนมอร่อยๆ มาให้เธอทานอยู่บ่อยๆ
แม้จะได้เพื่อนเพิ่มมาหลายคน แต่มีหนึ่งคนที่เธอสนิทเป็นพิเศษ เป็นสตอร์มทรูปเปอร์ฝึกหัดชื่อฟินน์ คล้ายกับเธอ ตอนนี้เขายังอยู่ระหว่างฝึกฝนเตรียมเข้ารับการประเมิน หน้าที่หลักจริงๆ อย่างเดียวที่ได้รับคือการทำความสะอาดโถงทางเดินยานเดรทน็อค
ฟินน์อายุมากกว่าเธอสี่ปี ผิวสีน้ำตาลเนียนของเขาชวนให้นึกถึงช็อกโกแลตที่เบนนำมาฝากตอนไปทำภารกิจที่ดาวเอไลอัสเมื่อปีที่แล้ว ฟินน์เป็นคนพูดเก่งและชอบเล่นมุกตลก นอกเหนือไปจากเบนแล้ว เรย์ค่อนข้างสบายใจที่ได้อยู่กับเขา
เรย์คิดไว้ว่าถ้าฟินน์ได้บรรจุในหน่วยเฟิร์สออเดอร์และเธอจบเป็นเจไดเมื่อไหร่ เธอจะขอเขามาเป็นคู่หู แต่พอคุยเรื่องนี้กับเบนเขากลับดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ทั้งยังบอกอีกว่า
“เดี๋ยวฉันจะเป็นคู่หูให้เธอเอง”
เรย์เอียงคอฉงน เธอถามกลับ “แล้วฮักซ์ละ”
“ช่างหัวมัน” เขาตอบห้วน ทำเอาเธอสับสนมากกว่าเดิมเพราะเรย์นึกเสมอว่าคู่หูจะต้องเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับนิกายเจไดเท่านั้น แต่คิดอีกทีกว่าจะถึงตอนนั้นก็อีกตั้งหลายปี บางทีมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์อาจจะเปลี่ยนกฎแล้วก็ได้
ยังไงก็ตามเธอและฟินน์ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือหลักสูตรต่อสู้ เรย์ได้เรียนรู้พื้นฐานมาบ้างแล้วตอนที่ยังอยู่บนดาวคัมพารัส แต่พอมาเจอคนเข้มงวดและเอาจริงเอาจริงอย่างเบนแล้ว เธอก็มีความรู้สึกว่าที่เรียนมามันช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี อย่าว่าแต่จะเอาชนะเลย แค่ทำให้อาวุธโดนตัวเขาได้ยังไม่เคยสักครั้ง แต่ละวันของเรย์จึงมักจบลงด้วยความพ่ายแพ้และอาการกล้ามเนื้อร้าวระบมอยู่บ่อยๆ ซึ่งสุดท้ายก็เป็นเบนนั่นแหละที่ต้องมานั่งทำแผลและทายาให้กับเธอ
อาจเป็นเพราะแบบนั้นเบนเลยไม่ค่อยยอมพาเธอไปทำภารกิจด้วยเท่าไหร่ เขามักพูดอยู่เสมอว่าเธอยังไม่พร้อม แต่เธอได้ยินเสียงความคิดของเขา แท้จริงแล้วเป็นเขาต่างหากที่ไม่พร้อมให้เธอไปเผชิญอันตรายและไม่ต้องการเห็นเธอได้แผลกลับมา
“จริงๆ มาสเตอร์ของเธอก็มีเหตุผลนะ”
และพอบ่นให้ฟินน์ฟังทีไรเขาก็จะเข้าข้างเบนทุกที
“เธอเพิ่งสิบสี่เองนะเรย์ ยังไม่มีไลท์เซเบอร์เป็นของตัวเองด้วยซ้ำแถมหลังๆ มานี่ภารกิจของเฟิร์สออเดอร์ก็มีแต่อะไรที่บ้าเลือดทั้งนั้น งานล่าสุดที่วงแหวนคราฟฟาอย่างกับสงครามกลางเมือง เป็นฉันฉันก็ไม่อยากให้เธอไปด้วยหรอก”
“ฉันกำลังจะสิบห้าแล้วต่างหาก” เด็กสาวแย้งเนื่องจากอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดเธอแล้ว ตอนนี้ทั้งคู่อยู่กับที่โรงเก็บยาน ฟินน์กำลังทำความสะอาดห้องควบคุมบังคับการบินอยู่ในขณะที่เรย์กำลังประดิษฐ์อาวุธของตนเองพร้อมบ่นถึงมาสเตอร์ของเธอให้สตอร์มทรูปเปอร์ผิวสีฟังไปด้วย
“และการเป็นเจไดน่ะยังไงก็ต้องเผชิญอันตรายอยู่แล้ว ถ้าเบนยังกีดกันอยู่แบบนี้ฉันไม่ต้องเป็นแค่พาดาวันไปตลอดชีวิตเลยเหรอ”
ไปในมือของเด็กสาวคือโลหะชิ้นยาวเกือบสองเมตรสีเทาดำ อย่างที่ฟินน์ว่าไว้เธอยังไม่มีไลท์เซเบอร์เป็นของตนเอง แต่ถึงมีเธอก็คงไม่เลือกใช้ในรูปแบบดาบเหมือนที่คนอื่นใช้กันแน่ๆ เธอตัวเล็กและมีช่วงแขนสั้น ถ้าสู้กับคนตัวโตกว่าโดยเฉพาะยิ่งมาสเตอร์ของเธอมันจะเสียเปรียบเกินไป อีกอย่างถ้าเป็นพลองจะปัดป้องได้ดีกว่า
เด็กสาวรวบรวมเศษโลหะที่เหลือจากการสร้างยานมาซุ่มประกอบอาวุธมาพักใหญ่แล้ว และเธอวางแผนไว้ว่าจะขอเบนท้าประลองในวันเกิดของเธอที่กำลังจะมาถึง เดิมพันคือหากเธอชนะ เบนต้องรับฟังคำขอของเธอหนึ่งอย่างและเรย์คิดไว้นานแล้วว่าจะขออะไรดี
“ฉันนึกว่าการเป็นเจไดหมายถึงการรักษาสมดุลแห่งพลังเสียอีก” ฟินน์กล่าวเรียบๆ แต่กลับทำให้ว่าที่เจไดตัวจริงที่ดันไม่ได้เข้าใจวิถีแห่งเจไดแม้แต่น้อยถึงกับสะอึก “ไม่แปลกใจเลยที่มาสเตอร์โซโลไม่พาเธอไปด้วย”
เด็กสาวหยิบนอตที่อยู่รอบตัวมาปาใส่เขาทันทีข้อหาไม่เข้าข้างเธออีกแล้ว
“โอ้ยๆ พอๆ ยอมแล้ว” ฟินน์ยกมือขึ้นป้องใบหน้าด้วยท่าทีแบบกึ่งยอมแพ้ พอเรย์หยุดมือพวกเขาทั้งคู่ก็หัวเราะให้กัน สตอร์มทรูปเปอร์ฝึกหัดกลับไปทำงานของตนต่อ แต่เหมือนเช่นเคย เงียบไปได้ไม่นานเขาก็สรรหาหัวข้อสนทนาใหม่ขึ้นมาได้อีกแล้ว
“มาสเตอร์โซโลเนี่ยเคยหัวเราะบ้างไหม? ”
“ถามอะไรของนายก็ต้องเคยอยู่แล้ว”
เบนไม่ใช่หุ่นยนต์สักหน่อย เรย์คิด
“ก็เขาชอบทำหน้านิ่งๆ ขรึมๆ อยู่ตลอดเวลาเลยนี่น่า” ฟินน์เท้ามือทั้งสองข้างกับส่วนหัวของไม้ถูพื้นแล้วเกยคางวางไว้บนนั้นอีกที ท่าทางจงใจอู้อย่างชัดเจน สีหน้าเขาล้อเลียนเปลี่ยนไปตามประโยคที่เล่าจนเรย์ต้องกลั้นขำ “คิ้วงี้แทบจะผูกเป็นโบได้อยู่แล้ว แถมเสียงก็ดุ ได้ยินทีไรฉันตัวลีบทุกทีถึงจะได้ยินไม่ค่อยบ่อยก็เถอะ”
“ตัวจริงเขาใจดีออก” เธอแก้ตัวให้คนเป็นมาสเตอร์แม้ว่าความจริงแล้วสิ่งที่ฟินน์พูดมาจะถูกต้องทุกประการก็ตาม เบนเป็นคนตัวใหญ่ ยิ่งการที่หลังๆ เขาเริ่มหันมาใส่เครื่องแบบเจไดโทนสีน้ำตาลดำตามที่อาร์มิเทจบังคับยิ่งทำให้ดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก เบนไม่ค่อยแสดงอารมณ์ทางสีหน้าเท่าไหร่นัก เขาให้เหตุผลว่าการปล่อยให้คนอื่นรู้อารมณ์ของเราเท่ากับเป็นการเผยจุดอ่อนอย่างหนึ่ง
คงจะมีเพียงเรย์เท่านั้น ที่เขาหงายไพ่ทุกใบให้ดูอย่างไม่คิดปิดบัง
รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความเศร้า น้ำตา
เด็กสาวพอใจกับทั้งหมดนั้น กับความคิดที่ว่ามีเพียงเธอที่พิเศษเหนือใครในสายตาเขา
และนั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่คนนอกอย่างสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มก็รับรู้ได้
“ใจดีกับเธอคนเดียวน่ะสิ กับคนอื่นเขาเข้มงวดจะตาย ฉันพูดไปหรือยังนะว่าเขาน่ากลัว”
“สองรอบแล้วฟินน์” เรย์ยิ้มอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“นั่นแหละ แล้วเธอรู้ใช่ไหมว่าอีกสองเดือนฉันจะเข้ารับการทดสอบบรรจุหน่วยแล้ว ขอพลังสถิตกับข้า...ขอหน่วยไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ของมาสเตอร์โซโลทีเถอะ ของฟาสม่าก็ได้เอ้า ฉันยอม”
เรย์หัวเราะ ไม่ทันจะได้แก้ตัวรอบสองให้กับเบน ฟินน์ก็พูดต่อเสียก่อน และครั้งนี้มันทำให้เรย์นิ่งขึ้งไปทันทีอย่างคาดไม่ถึง
“แต่เธอรู้อะไรไหม ถึงจะหน้านิ่วคิ้วขมวดยังไงมาสเตอร์ของเธอก็มีคนแอบปลื้มเยอะชะมัด พวกสาวๆ ที่สะพานเดินเรือกรี้ดกราดเขาเป็นบ้าเป็นหลังเลยให้ตายเถอะ” เขาส่ายหน้า ถอนหายใจพรืดแล้วกลับไปทำงานต่อ เหลืออีกไม่มากก็จะเสร็จแล้วผนวกกับใกล้เวลาพักเที่ยงเข้าไปทุกที เขาจึงต้องเร่งมือ
เรย์ขมวดคิ้วอย่าลืมตัว เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีอะไรแบบนี้ด้วย สงสัยเบนจะฝึกเธอหนักเกินไปทำให้ไม่ค่อยทันข่าวสารรอบตัวสักเท่าไหร่ เด็กสาวตัดสินใจถามรายละเอียด
“แต่เมื่อกี้นายเพิ่งพูดไปเองว่าเขาน่ากลัว”
“ก็ใช่น่ะสิ” ฟินน์พูดต่อไปเรื่อยโดยไม่หันมามองเธอ “แต่ยังไงดีละ เขาเองก็เป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง แถมยังเป็นเจไดด้วย ฉันหมายถึงเจไดเชียวนะ เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของจักรวาล แค่นั้นก็ทำให้สาวกรี้ดกันสลบแล้ว นี่ยังไม่นับรวมที่ว่าเขาเป็นหลานของตำนานมีชีวิตอย่างมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์อีก แล้วก็ไอ้ท่าทางขรึมๆ ที่ดูร้ายนิดๆ นี่แหละที่เข้าตากรรมการอย่างจัง แต่เหตุผลสำคัญสุดที่ทำให้มาสเตอร์ของเธอป็อปในหมู่สาวๆ บนยานเราเป็นเพราะว่า...”
“ฉันขอตัวก่อนนะ”
เรย์ตัดสินใจแล้วว่าไม่ขอฟังต่อดีกว่า เด็กสาวออกวิ่งทันทีโดยไม่สนต่อคำทัดทานอันงงงันของสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่ม เธอถึงกับลืมตัวถืออาวุธที่เพิ่งปรับแต่งเสร็จติดมามือด้วยอีกต่างหาก แม้จะเกะกะแค่ไหนแต่เรย์ก็บอกตัวเองว่าช่างมันเถอะ เธอกำลังรีบเกินกว่าจะเสียเวลาแวะเอาไปเก็บ
เรย์วิ่งและวิ่งไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พบคนที่กำลังตามหาบนทางเดินส่วนที่มุ่งหน้าสู่สะพานเดินเรือ
“เบน!! ” เรย์ตะโกนเรียก ส่งผลให้เจ้าของแผ่นหลังกว้างหันมาทางเธอ
ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวเด็กสาวโผเข้ากอดเอวคนเป็นมาสเตอร์ทันที เธอกอดแน่นเท่าที่แรงอันน้อยนิดจะเอื้อให้และแนบแก้มเข้ากับแผ่นอกของเขา
“เป็นอะไรไปเรย์” เขาถามอย่างงงงันและคงงงยิ่งขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเธอ “ไม่พอใจอะไรมา”
เด็กสาวไม่ได้ตอบ ที่จริงแล้วน่าจะเป็นตอบไม่ได้มากกว่า สิ่งที่ได้ยินจากฟินน์ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด ทั้งที่ความจริงควรจะดีใจด้วยซ้ำที่มีคนชื่นชมและเห็นคุณค่าของเขา แต่ก็เปล่า เรย์ไม่พอใจกับความคิดที่ว่าเขาไม่ใช่ของเธอแค่คนเดียวเอามากๆ และความรู้สึกนั้นผลักดันให้เธอวิ่งมาหาเขาทันทีทั้งที่รู้ดีว่ามันแก้ไขอะไรไม่ได้
“ฉันทำเสร็จแล้ว” เธอคลายอ้อมกอด แล้วยื่นส่งพลองโลหะให้เขาดู เลือกจะเปลี่ยนประเด็นไปในเรื่องที่ฟังสมเหตุสมผลมากกว่าแทน “แต่มันยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางเท่าไหร่”
เบนรับไปพิจารณา เขาโยนพลองโลหะไปมาระหว่างสองมือเพื่อช่วยกะน้ำหนัก หลังไล่สายตาตรวจทานรายละเอียดอยู่อีกครู่เขาก็หันมาสบตากับเธอ
“ไม่หรอกมันยอดเยี่ยมแล้ว ทำได้ดีมาก”
เรย์จงใจปล่อยให้เขาเข้าใจไปว่าเธอตั้งใจจะมาอวดงานฝีมือ ฝ่ามือหนาอบอุ่นวางลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลแล้วลูบไปมาเป็นอีกหนึ่งคำเชยชม เธอเพลินเพลิดกับสัมผัสนี้ยิ่งนัก แต่พอเห็นว่าเบนกำลังยิ้มอยู่ ความกังวลก็แล่นเข้ามาแทนที่ทันที
“อย่ายิ้มนะ! ” เด็กสาวว่าพลางเขย่งตัวยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากเขา ดวงตาสีเฮเซลนัทสอดส่องมองซ้ายขวา โล่งใจขึ้นมาได้หน่อยหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ “ห้ามยิ้มเด็ดขาดเลย”
ขนาดเขาทำหน้าบึ้งยังมีคนแอบปลื้มเยอะได้ขนาดนั้น นี่ถ้าได้เห็นเขาในแง่มุมเดียวกับที่เธอเคยเห็นจะเกิดอะไรขึ้นบ้างไม่รู้
เบนกำรอบข้อมือข้างหนึ่งของเธอไว้หลวมๆ เพื่อดึงออกจากใบหน้า ร่างสูงค้อมตัวลงมาเล็กน้อยเพื่อให้ระดับสายตาตรงกัน เขาอยู่ใกล้มากจนเรย์สังเกตได้ถึงความไม่เข้าใจในแววตาคู่นั้น
“ทำไมละ ไหนเคยบอกว่าชอบตอนฉันยิ้มไง”
“ฉันยังชอบอยู่ แต่มัน...” เรย์รู้สึกเหมือนกำลังถูกไล่ต้อนให้จนมุม ซึ่งโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเธอเอง “เอาเป็นว่าห้ามยิ้มให้คนอื่นเห็นนอกจากฉันเด็ดขาดเลย มันไม่ปลอดภัย”
ให้ตายเถอะ คำพูดเธอฟังเหมือนยัยเด็กเอาแต่ใจนิสัยเสียชะมัด
แต่แทนที่จะโกรธหรือตักเตือนในความไร้เหตุผลนี้ เบนกลับหัวเราะ เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูสะพานเดินเรือเปิดออก เผยให้เห็นเจ้าหน้าที่บังคับยานห้าคนเดินออกมาเพื่อไปทานอาหารกลางวัน บริเวณที่เรย์และเบนยืนอยู่ไม่ได้กีดขวางทางเดินก็จริง แต่เพียงเหลือบตามามองก็จะเห็นได้เต็มๆ เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
และนั่นทำให้สามจากในห้าคนนั้นหน้าแดงขึ้นมาทันที
ดูเหมือนนอกจากฟินน์จะพูดถูกเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่หญิงหลายคนแอบปลื้มเขาแล้ว เรย์เองก็คิดถูกเช่นกัน ไม่ควรให้คนอื่นเห็นเด็ดขาดเลยว่าเบนทำสีหน้าอะไรได้บ้างนอกจากบึ้งตึง เด็กสาวฉุดดึงข้อมือคนตัวสูงกว่าให้เดินไปจากตรงนั้นด้วยกันทันทีพร้อมความขุ่นมัวในใจที่ไม่ได้คลายตัวลงเลยสักนิด
ทั้งที่ความจริงถ้าอยู่อีกสักหน่อยเรย์จะได้ยินสาวๆ กลุ่มนั้นพูดคุยกันว่า
“เห็นนั้นไหม มาสเตอร์โซโลยิ้มด้วย”
“เห็นสิวันนี้ฉันต้องโชคดีมากแน่ๆ”
“ฉันอยากให้เขายิ้มให้ฉันแบบนั้นบ้างจัง”
“ฝันไปเถอะ รู้กันอยู่ว่าเขายิ้มให้พาดาวันของเขาเท่านั้น”
“แต่ยังไงก็ยังน่ารักอยู่ดี ว่าไหมมิทากะ”
“ครับ? หมายถึงอะไรเหรอครับ? ” เจ้าหน้าที่สะพานเดินเรือชายที่เดินตามมาทีหลังอุทานถามกลับ เขามัวแต่ยุ่งกับหน้าจอสื่อสารในมือจึงไม่ทันได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม้จะพอเดาได้ลางๆ จากบทสนทนาก็เถอะ เพื่อนร่วมงานหลายคนของเขาดูจะหมกมุ่นกับเรื่องของเจไดหนุ่มเสียเหลือเกิน ให้จำเพาะกว่านั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างเจไดหนุ่มกับลูกศิษย์ของเขา
ซึ่งเจส พาวาเพิ่งจะยืนยันความคิดเขาด้วยประโยคที่ว่า
“มาสเตอร์โซโลกับพาดาวันเรย์ไง พวกเขาน่ารักจะตายตอนอยู่ด้วยกัน”
“แต่เขาก็อยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลาอยู่แล้วนี่ครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันละสงสัยจริงๆ ว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะรู้ตัวสักทีนะ”
“คุณเจสลงพนันไว้ที่อายุสิบหกใช่ไหมครับ ใกล้จะถึงกำหนดแล้วนี่” มิทากะว่าพลางกดสลับหน้าจอให้ดูโพยที่ตนจดไว้ เป็นรายชื่อเจ้าหน้าที่และตำแหน่งงานของพวกเขาบนยานเดรทน็อท จำนวนเงินที่วางเดินพัน และระยะเวลา....
...ว่าเมื่อไหร่ศิษย์อาจารย์จะลงเอยกันเสียที
“เจ้าพวกคนบาป” ทัลลี่ นักบินสาวซึ่งเพิ่งเดินตามมาสมทบตำหนิ เธอเป็นไม่กี่คนบนยานรบลำนี้ที่ไม่ได้วางเงินเดิมพันในความสัมพันธ์นี้ “พนันอะไรกันไม่กลัวกฎหมายพรากผู้เยาว์ระหว่างดวงดาวเลยใช่ไหม”
“ผมไม่บาปนะครับ ผมลงเงินแทงไว้ว่ามาสเตอร์โซโลน่าจะรอจนเธอสิบแปดก่อนต่างหาก” มิทากะแก้ตัวเป็นพัลวัน ทั้งยังเลื่อนหน้าจอให้ทัลลี่ดูชื่อเขากับรายละเอียดอีกต่างหาก
“ฉันอาจจะบาปจริง” เจสแสร้งยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “แต่โทษฉันไม่ได้นะ แม่หนูพาดาวันนั้นน่ารักจะตาย ถ้าไม่เกรงใจตาดุๆ ของมาสเตอร์โซโลแล้วละก็ฉันคงจับมาฟัดเองไปแล้ว ขนาดพวกฉันเจอเธอแค่นานๆ ทียังคิดแบบนี้เลย แล้วมาสเตอร์โซโลอยู่กับเธอยี่สิบสี่ชั่วโมงจะอดใจไหวได้ยังไง”
“ไม่ไหวก็ต้องไหวละครับ ผมพนันไว้ตั้งห้าพันเครดิตเลยนะ”
นักบินหญิงแห่งเฟิร์สออเดอร์ถอนหายใจเฮือกก่อนจะเดินล่วงหน้าไปโรงอาหาร ทิ้งให้พวกเพื่อนๆ สนทนาในประเด็นล่อแหลมเสี่ยงคุกกันอย่างออกรสต่อไป
Chapter 8: Episode 8 A Birthday Present.
Chapter Text
เสียงของอาวุธปะทะกันดังกังวาลไปทั่วห้องกว้างสีขาวดำที่มีกันอยู่เพียงสองคน
ศิษย์อาจารย์แห่งนิกายเจไดต่างก็สวมเสื้อแขนกุดสีดำและกางเกงขายาวอันเป็นเครื่องแบบตัวในเหมือนๆ กัน ต่างกันที่ในมือขวาของเบนคือดาบไม้รูปร่างเรียวบาง ส่วนในมือของเรย์เป็นพลองโลหะสูงท่วมหัว
ถ้าดูแต่อาวุธก็เหมือนเด็กสาวจะได้เปรียบมากกว่า แต่พอเทียบเรื่องสรีระรูปร่างเข้าไปด้วยแล้ว ก็สามารถหักลบกลบหนี้กันได้หมดแทบจะเรียกว่าเสียเปรียบได้เลยด้วยซ้ำ เพราะในขณะที่เจไดหนุ่มมีส่วนสูงมากถึงหกฟุตสองนิ้ว เด็กสาวกลับสูงแค่อกของเขาเท่านั้นเอง ซ้ำยังมีรูปร่างเล็กบางจนหลังกว้างๆ ของคนเป็นมาสเตอร์บังได้จนมิด
แต่คงต้องนับถือในความมุมานะ เพราะนอกจากจะไม่กลัวเกรงแล้ว เรย์ยังเลือกที่จะปะทะดาหน้าเข้ามาอยู่เนื่องๆ เด็กสาวหมุนตัว สะบัดพลองหมายเล็งที่ขาของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนเบนจะรู้ทัน เขาขยับข้อมือ ใช้ดาบไม้ปัดป้องอย่างง่ายดายโดยที่แทบไม่ต้องขยับตัวด้วยซ้ำ
พอเรย์พุ่งเข้ามาปะทะอีกรอบเขาก็เบี่ยงตัวหลบ ใช้ฝ่ามือผลักหลังของเธอเบาๆ แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้เด็กสาวแทบล้มหน้าทิ่ม
“ฉันบอกเธอหลายทีแล้วไงว่าให้วางแผนด้วย อย่าใช้แต่กำลังฟาดอาวุธอย่างเดียว”
เบนสอน แต่ดูเหมือนเรย์จะไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ ความเจ็บใจที่มีมากกว่าผลักดันให้เธอพุ่งเข้ามาอีกครั้งพร้อมพลองที่เงื้อง่าขึ้น เบนถอนหายใจ ยกดาบไม้ขึ้นตั้งรับ ใช้มืออีกข้างกำข้อมือเล็กไว้แล้วเหวี่ยงเด็กสาวไปกระแทกผนัง
“โอ๊ย!” เรย์ร้องอุทาน ไม่ทันได้ตั้งตัวเบนก็ปราดเข้ามาประชิด รวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างไว้ด้วยมือเดียวอย่างง่ายดาย อาวุธของเด็กสาวร่วงลงพื้น ลางความพ่ายแพ้แว่วมาแต่ไกลอีกครั้ง
“เธอเลือกอาวุธได้ดีแล้วเรย์ แต่วิธีสู้ยังใช้ไม่ได้ ถ้าเจอคนที่ตัวโตกว่าอย่างฉัน เธอจะไม่มีทางเอาชนะเขาได้”
เบนว่าพลางบีบข้อมือเธอแน่นขึ้น ร่างสูงใหญ่เบียดตัวเข้ามาใกล้อย่างคุกคาม
เรย์พยายามดิ้นรน แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลเท่าใดนัก
“และในสถานการณ์แบบนี้เธอต้องทำให้ศัตรูแปลกใจและคาดไม่ถึง นี่เป็นวิธีเดียวที่จะหลุดจากการถูกต้อนให้จนมุมได้ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้มากๆ เข้าไว้ เพราะฉะนั้น…”
ถ้อยคำของเบนขาดหาย เมื่อเรย์ตัดสินใจใช้มุกเดิมกับที่เคยทำเมื่อตอนอายุสิบเอ็ด
เธอจูบเขา แนบริมฝีปากตนเองเข้ากับมุมปากของเขาอย่างจงใจ
คนเป็นมาสเตอร์นิ่งอึ้งในขณะที่คนเป็นพาดาวันยิ้มอย่างได้ใจ เรย์บิดข้อมือ พ้นจากการเกาะกุมอย่างง่ายดาย เธอปัดดาบของเขาทิ้งไปก่อนจะถีบขาข้างหนึ่งเข้ากับกำแพงและใช้อีกข้างถีบลำตัวเบนอย่างแรงจนร่างของเขาล้มลงไปกองกับพื้น
แม้จะจุกจนแทบพูดไม่ออก แต่เหนืออื่นใดจริงๆ คงเป็นความตื่นตะลึงและความสับสนในสิ่งที่เรย์เพิ่งทำไป เขามัวแต่ตกใจจนไม่ทันได้โต้กลับด้วยซ้ำ มารู้ตัวอีกทีพลองโลหะของเรย์ก็ปักกระแทกพื้น เฉียดลำคอเขาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“ชนะแล้ว” เด็กสาวยิ้มกว้าง และเบนเพิ่งจะควานหาเสียงตนเองเจอ
“ทำอะไรของเธอกัน!” เขาดุเสียงสั่นพลางยกมือขึ้นปิดปาก ปลายนิ้วลูบผ่านร่องรอยอุ่นชื้นที่ยังตกค้างอย่างเผลอตัว
“ทำให้เบนแปลกใจไง” เรย์ตอบกลับอย่างใสซื่อ “ได้ผลออก นอกจากจะหลุดมาได้แล้วฉันยังเอาชนะได้ด้วย”
“เธอจะบ้าเหรอ! วิธีนี้มันใช้ได้ที่ไหน ถ้าสมมุติต้องสู้กับฮักซ์หรือเจ้าทรูปเปอร์เพื่อนเธอ เธอก็จะใช้วิธีอย่างนี้ด้วยหรือไง!! ?”
“ไม่หรอก ฉันทำแค่กับเบนเท่านั้นแหละ” เธอตอบอย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมาส่งผลให้ใบหน้าของเขาขึ้นสี “อีกอย่างฮักซ์สู้ไม่เป็นหรอก เขาน่าจะแพ้ฉันตั้งแต่นาทีแรกด้วยซ้ำ ส่วนฟินน์ก็น่าจะซักสองนาทีได้ ถ้าเขาถือปืนอยู่อาจจะได้ถึงสาม แต่ถึงจะสู้กับคนอื่นฉันก็ไม่ใช้วิธีนี้หรอกนะ เบนพูดเองไม่ใช่หรอว่าให้เลือกยุทธวิธีให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ด้วยไม่ใช้จ้องแต่จะใช้กำลังอย่างเดียว ฉันก็ทำแล้วไง ซึ่งในสถานการณ์นี้ฉันว่าที่ฉันทำลงไปก็เหมาะสุดแล้วแหละ”
ตอนนี้สีแดงบนผิวเนื้อของเขาคงลามไปถึงใบหูและลำคอแล้วเป็นแน่
ไม่ๆ ๆ แบบนี้มันไม่ถูกต้อง
เบนคิดได้เป็นร้อยวิธีในการหลุดจากการสถานการณ์นั้น ตั้งแต่ใช้พลังดึงอาวุธกลับมา ไปจนถึงวิธีบ้านๆ อย่างแตะอัดจุดยุทธศาสตร์ แต่ไม่ เรย์กลับเลือกจะจูบเขาแทนด้วยเหตุผลว่าเพราะเป็นเขา เจไดหนุ่มไม่แน่ใจว่าตนเลี้ยงดูเรย์พลาดไปตรงไหนถึงส่งผลให้เธอมีทัศนคติเช่นนี้ได้
จะบอกว่าเพราะเขาตามใจเธอมากไปก็ไม่น่า เพราะถ้าแบบนั้นเธอน่าจะดิ้นรนโวยวายเป็นพวกเด็กเสียนิสัยไปแล้ว หรือเพราะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ผู้ชายก็เลยไม่ทันระวังตัว ไม่ใช่อีกน่ะแหละ เพราะเรย์รู้ดีว่าไม่ควรไปทำกับคนอื่น
ไม่ว่าจะคิดยังไง สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ก็ไม่น่าจะลงเอยแบบนี้ได้เลยสักนิด เบนทำพลาดไปตรงไหนกัน พาดาวันตัวน้อยของเขาถึงได้กลายเป็นยัยเด็กหน้ามึนที่ขยันหาภาระให้หัวใจของเขาได้ขนาดนี้ ไม่ได้การแล้ว หลังจากนี้เขาจะต้องเพิ่มชั่วโมงสอนมารยาทเพิ่มเข้าไปด้วยให้ได้ เรย์จะได้รู้ตัวเสียทีว่าการทำ ‘แบบนี้’ รวมทั้งอะไรอีก ‘หลายๆ อย่าง’ มันไม่เหมาะสมแค่ไหน
เธออายุสิบห้าวันนี้แล้ว ไม่ใช่แค่เด็กน้อยไม่รู้ประสีประสาอีกต่อไป
ซึ่งพูดถึงเรื่องไม่เหมาะสม…เบนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเรย์ยังคงนั่งอยู่บนตัวเขาอยู่ ซ้ำยังด้วยท่าทางล่อแหลมและชวนเข้าใจผิดยิ่งนัก ขืนมีคนเปิดประตูเข้ามาเห็นตอนนี้คงไม่แคล้วถูกนำไปนินทาเสียๆ หายๆ แน่นอน
“ฉันชนะแล้วนะ” เด็กสาวย้ำด้วยสีหน้าระรื่น “ดังนั้นเบนต้องทำตามสัญญาที่เราตกลงกันไว้ด้วย หลังจากนี้ฉันอยากให้เบนพาฉันไปทำภารกิจด้วยเสมอ ห้ามทิ้งฉันไว้ที่ฐานอีกเด็ดขาดตกลงไหม”
หลายเดือนก่อน เรย์เดินมาบอกเขาล่วงหน้าว่าไม่ต้องการของขวัญใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าหากเธอเอาชนะเขาในการประเมินประจำปีได้ เขาต้องทำตามที่เธอพูดหนึ่งอย่างโดยไม่มีข้อแม้ เบนตกปากรับคำเพราะคิดว่ายังไงเรย์ก็ไม่มีทางได้ชัยเหนือเขาแน่ๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเร็วๆ นี้
เธอยังเด็ก ยังมีเรื่องให้เรียนรู้อีกมากรวมทั้งช่องโหว่อีกมากให้แก้ไข อีกอย่างถึงบังเอิญเขายอมให้เธอชนะ เจไดหนุ่มก็คิดว่าอย่างมากเธอคงแค่ขอไปเที่ยวกับพวกทรูปเปอร์ไม่ก็ขอไลท์เซเบอร์เป็นของตนเองเท่านั้น
ไม่นึกเลยว่าจะขอทำภารกิจด้วยกันแทน
เนื่องจากเฟิร์สออเดอร์กลายเป็นหน่วยรบพิเศษที่ประสบความสำเร็จที่สุดเท่าที่เคยมีมา ภารกิจที่ทั้งยากและอันตรายอย่างเหลือแสนจึงยิ่งหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด
เบนรู้ดีว่าควรพาพาดาวันของเขาไปไหนมาไหนด้วยเพื่อเรียนรู้ภาคสนาม แม้จะยินยอมในบางครั้ง แต่หลายครั้งเขาก็เลือกจะลุยเดี่ยวมากกว่าเนื่องจากมันเกินขีดความสามารถของเรย์เกินไป ขนาดเขากลับมาแต่ละครั้งยังได้แผลติดตัวมาไม่น้อย กับเธอคงไม่ต้องพูดถึง เขาไม่มีทางทำใจได้แน่ๆ ถ้าต้องเห็นเธอหลั่งเลือด
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” เธอตัดพ้อแสดงให้เห็นว่ากำลังแอบอ่านใจเขาอีกแล้ว
“เรย์…” คนเป็นมาสเตอร์ลากเสียงยาวอย่างดุๆ
“ฉันพูดจริงนะฉันอยากปกป้องเบนบ้าง นั้นสิ่งที่เราควรจะทำไม่ใช่เหรอ ระวังหลังให้และดูแลกันและกัน”
“ฮักซ์กับฟาสม่าคอยช่วยฉันอยู่แล้ว”
“ถ้าแบบนั้นแล้วทำไมเบนถึงได้แผลเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เลยล่ะ” เรย์แย้งพลางโน้มตัวลงมาใกล้ บริภาษเขาอย่างอัดอั้น “พวกเขาไม่ได้ห่วงเบนมากเท่าที่ฉันห่วงสักหน่อย มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิดที่ฉันถูกทิ้งไว้ข้างหลังและทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นกังวลอยู่คนเดียว”
“ก็จริง” เจไดหนุ่มยอมรับ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทัดเส้นผมสีน้ำตาลที่ร่วงลงมาให้พร้อมเกลี่ยพวงแก้มใสอย่างเผลอตัว “แต่ฉันก็ให้เธอไปด้วยไม่ได้อยู่ดีนะเรย์ เธอยังไม่ได้ชนะฉันสักหน่อย”
“?” คำอุทานของเด็กสาวติดค้างอยู่ในลำคอ เมื่อร่างสูงใหญ่ยันตัวลุกขึ้นมาแล้วพลิกดึงให้เธอไปอยู่เบื้องล่างแทนอย่างรวดเร็ว เบนรวบข้อมือเธอไว้เหนือศีรษะพร้อมปลดอาวุธเธอทิ้งไปอีกครั้ง ปาไปไกลจนเกินจะเอื้อมมือถึง เรย์ตกอยู่ภายใต้เงาและความร้อนจากร่างกายของเขา
“ฉันบอกเธอไปตั้งหลายครั้งแล้วนะว่าอย่าประมาทกับศัตรูที่ใกล้จะแพ้ เธอไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายยังซ่อนไม้ตายอะไรไว้อยู่บ้าง”
“ขี้โกง” เด็กสาวประท้วง “นี่มันไม่ใช่ไม้ตายสักหน่อย เบนใช้แต่กำลังชัดๆ”
“มันคือข้อได้เปรียบในสถานการณ์ที่สู้กับเธอไง เพราะถ้าเป็นคนอื่นฉันก็ไม่ทำแบบนี้หรอกนะ” เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบลอกเลียนคำพูดและประโยคของเธออย่างยอกย้อน
เรย์เคยคิดว่าตนเองเตรียมใจมาดีแล้วแท้ๆ ว่าสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะเขา แต่พอเป็นฝ่ายถูกกระทำแบบเดียวกันบ้างเด็กสาวกลับไปไม่เป็นเลยแม้แต่น้อย เรย์เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวตอนที่ใบหน้าของมาสเตอร์ของเธอเฉียดเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบจะชนกัน
แล้วอยู่ๆ เบนก็ผละจากไปอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นยืน ฉุกเธอให้ลุกตามมาติดๆ ด้วยท่าทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออกและพันโทฮักซ์ก้าวเข้ามาในห้องฝึกโดยมีฟาสม่าซึ่งเพื่งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้กองไปเมื่อเดือนที่แล้วตามมาติดๆ
“มาสเตอร์โซโล พาดาวันเรย์” อาร์มิเทจเรียกอย่างเป็นทางการ ซึ่งเกิดขึ้นได้ในสองสถานการณ์เท่านั้นคือตอนที่เขาตั้งใจจะประชดและตอนที่กำลังอารมณ์ดีมากๆ “ฉันมีข่าวดีมาฝาก”
และดูเหมือนจะเป็นอย่างหลัง
“ฉันได้ยศพันเอกแล้ว” อาร์มิเทจประกาศ ความภาคภูมิใจระบายไปทั่วใบหน้า ผู้กองฟาสม่าที่ยืนอยู่ด้านหลังดึงพลุสายรุ้งให้อย่างรู้งาน เหมือนจะถูกจังหวะแต่ก็ช่างประดักประเด้อและแปลกที่แปลกทางอย่างไรชอบกล
เรย์ตรบมือแสดงความยินดีให้ด้วยท่าทีกระตือรือร้นแต่เป็นคนละเรื่องกัน เธอยินดีเพราะมันแปลว่าจะมีงานปาร์ตี้พร้อมของกินไม่อั้นตามมาหลังจากนี้ต่างหาก เชื่อเถอะว่าถ้าอาร์มิเทจได้เป็นนายพลเมื่อไหร่คงปิดยานเลี้ยงกันทั้งเฟิร์สออเดอร์แน่นอน
ส่วนเบนยังยืนนิ่งอยู่อย่างเดิม เพิ่มเติมคือกริยาเลิกคิ้วสูงเหมือนจะถามว่าแล้วไง ที่คาบข่าวมาบอกนี้ต้องการอะไรไม่ทราบ
“งานเลี้ยงจะเริ่มที่โถงใหญ่ทางปีกตะวันตกในอีกหนึ่งชั่วโมง ถ้าไม่อยากพลาดก็ควรรีบปล่อยพาดาวันของนายไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วโซโล และแน่นอนว่าฉันกับคุณมิลลิเซนต์เตรียมเค้กวันเกิดไว้ให้เธอแล้วนะเรย์”
ในตอนท้ายอาร์มิเทจค้อมตัวลงมาเพื่อพูดคุยกับเด็กสาวโดยเฉพาะ ดูเหมือนเขาจะจัดการรวบงานรื่นเริงทั้งสองงานเข้าด้วยกันได้อย่างถูกจังหวะยิ่งนัก
แม้ตอนแรกเรย์และอาร์มิเทจจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่เนื่องจากเด็กสาวแย่งความสนใจคุณมิลลิเซนต์ไปจากชายหนุ่มจนหมด แต่เมื่อเรย์สอนวิธีเข้าหาเจ้าแมวสีส้มตัวอ้วนให้จนตอนนี้อาร์มิเทจสามารถอุ้มเล่นมันได้แทบทุกเวลาแล้ว ทั้งคู่ก็พัฒนาความสัมพันธ์จากนายจ้างลูกจ้างที่ห่างเหิน กลายมาเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทาสแมวที่ขยันหาเรื่องปวดหัวมาให้เบนยิ่งนัก เพราะหลังจากผ่านไปหลายปีก็เหลือแค่เจไดหนุ่มคนเดียวที่ยังถูกคุณมิลลิเซนต์ทำร้ายร่างกายอยู่
“ฉันไปได้ไหมคะมาสเตอร์” เด็กสาวหันไปทางคนข้างตัวพร้อมเขย่าข้อมือหนาเบาๆ
ก็เหมือนกับอาร์มิเทจ เรย์จะไม่เรียกเขาว่ามาสเตอร์เด็ดขาดถ้าไม่ได้มีจุดประสงค์แอบแฝง ซึ่งในกรณีนี้คือการอ้อนขอเลิกเรียนก่อนเวลา เนื่องจากที่จริงแล้วตารางฝึกภาคบ่ายยังเหลืออีกหลายชั่วโมงด้วยกัน
เจไดหนุ่มถอนหายใจ ในวันเกิดเช่นนี้จะใจร้ายให้อยู่ถูกดาบไม้ฟาดต่อก็กระไรอยู่ เขาพยักหน้าอนุญาต เรย์ร้องเย้อย่างดีใจ ก้มลงเก็บไม้พลองขึ้นแนบอกแล้ววิ่งจากไปทันที ฟาสม่าเอ่ยขอตัวตามไปติดๆ เช่นกันเนื่องจากต้องไปจัดการควบคุมงานเลี้ยงต่อ
และเมื่อทั้งห้องกว้างเหลือกันแค่สองคู่หู...
“ฉันเห็นนะ” อาร์มิเทจว่า สองมือไพล่อยู่เบื้องหลัง
“อะไร?” น้ำเสียงของคนเป็นเจไดยังคงนิ่งเรียบ ทว่าในใจเริ่มหวั่นๆ อย่างคนมีชนักติดหลังแล้วเรียบร้อย พันเอกผมแดงถอนหายใจพรืดขณะปรายดวงตาสีฟ้าสดมายังคงข้างตัว
“ท่องไว้ให้ขึ้นใจด้วยมาสเตอร์โซโล”
คำเรียกครั้งนี้ทำไปเพื่อประชดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เด็กนั่นเพิ่งจะสิบห้าเท่านั้นแถมยังเป็นลูกศิษย์ของนายอีกต่างหาก ฉันไม่ต้องการให้ข่าวฉาวหรือเรื่องไม่งามเกิดขึ้นกับคนของเฟิร์สออเดอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ควรจะเคร่งครัดในกฏมากกว่าใครอย่างนาย เข้าใจไหม”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น” เบนปฏิเสธแต่ก็ดูจะไม่เต็มเสียงเท่าไหร่
เพราะจริงๆ แล้วประโยคที่ถูกต้องน่าจะเป็น ‘ยัง’ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่า เกือบไปแล้ว อีกแค่นิดเดียว หากเผลอไผลแม้เพียงนิดเดียวเขาคงสัมผัสเธอในรูปแบบที่ไม่ถูกไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง และไม่ใช่เพราะสามัญสำนึกหรือหลักคุณธรรมอะไรทั้งนั้นที่ทำให้เขาหยุดการกระทำของตนเองลงได้ แต่เป็นเพราะเขารับรู้ได้ว่าอาร์มิเทจและฟาสม่ากำลังเดินเข้ามาใกล้ต่างหาก
ซึ่งถ้ามีใครมาถามเบนว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ เจไดหนุ่มคงตอบได้แค่ว่าไม่รู้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองคาดหวังอะไรอยู่
ต้องการจะสั่งสอนเหรอ?
หรืออยากเอาคืนในสิ่งที่เธอทำไว้กับเขา?
หรือบางทีอาจมากกว่านั้นมาก…
เบนรับรู้ได้นานแล้วถึงแรงกระเพื่อมไหวในหัวใจนับตั้งแต่วันที่พบเรย์ มันมากล้นและยากจะต้านทาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเพียรย้ำกับตนเอง ว่าทั้งหมดเป็นผลพวงอันเกิดจากการเชื่อมโยงของพลังเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ทำให้เรย์พิเศษยิ่งกว่าใครในหัวใจของเขา รวมทั้งทำให้เขาเป็นคนสำคัญยิ่งกว่าใครสำหรับเรย์เช่นกัน
พวกเขาเป็นทุกอย่างของกันและกัน แต่ก็ไม่ใช่อะไรสำหรับกันและกันเช่นกัน ดังนั้นตอนที่เธอกลายมาเป็นพาดาวันของเขา เบนจึงต้องขีดเส้นขึ้น เพื่อบอกกับตนเองว่าแค่นี้ต่างหาก นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นระหว่างเขากับเรย์
ทว่ายิ่งเวลาผันผ่านทุกอย่างก็ยิ่งสั่นคลอน….ซึ่งโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเขาเองเท่านั้น และให้ตายเถอะฮักซ์พูดถูก เรย์เพิ่งจะสิบห้า เขาอายุมากกว่าเธอตั้งสิบปีแท้ๆ เขาน่าจะควบคุมตนเองได้ดีกว่านี้ ไม่ควรเลยที่จะให้อารมณ์วูบไหวขึ้นมามีอิทธิพลเหนือเหตุผล
“ถ้านายยืนยันว่างั้นก็แล้วไป” ในที่สุดอาร์มิเทจก็สรุป “แต่ยังไงก็ทนไว้ก่อนแล้วกัน อีกสามปีเด็กนั่นก็สิบแปดแล้ว ไว้ถึงตอนนั้นจะกลืนน้ำลายตัวเองฉันก็ไม่ว่า”
นอกจากคำพูดจะชวนคิดแล้ว เจ้าตัวยังมิวายตบบ่าเขาหนักๆ สองสามทีเพื่อให้กำลังใจอีกต่างหาก
“ฮักซ์!!!!”
เบนตะโกนลั่น แทบจะอยากใช้พลังบีบคอเจ้าคนหัวแดงระบายอารมณ์หงุดหงิดให้รู้แล้วรู้รอด แต่กว่าจะรู้ตัวอีกฝ่ายก็จ้ำเท้าเดินหนีไปไกลเสียแล้ว เหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะหึหึอย่างสะใจที่ลอยแว่วมาให้เขารู้ตัวว่าเพิ่งจะโดนคู่หูของตนเองปั่นหัวเข้าให้
เบนเสยผมไปด้านหลัง ถอนหายใจหนักหน่วงยืดยาว ไม่ว่าอาร์มิเทจจะพูดเล่นหรือพูดจริง เบนก็ไม่อาจมองข้ามได้อยู่ดี ถึงเวลาแล้วที่ต้องขีดเส้นกั้นและร่างกฏระหว่างเขากับเรย์ให้มันชัดเจนเสียทีว่าอะไรที่ควรจะไม่ควรจะกระทำต่อกันบ้าง
ไม่ใช่เพราะกลัวคนนอกมองไม่ดีหรอก แต่หากไม่ทำเช่นนี้ คงเป็นเขานี่แหละที่จะเป็นฝ่ายหมดความอดทนจนเผลอทำเรื่อง ‘ไม่งาม’ ไปเสียก่อน
.
.
.
.
.
เรย์อิ่มมาก เธอไม่ได้กินเยอะแบบนี้มานานมากแล้ว
มันเป็นงานเลี้ยงวันเกิดที่ไม่ค่อยให้ความรู้สึกเหมือนกับเลี้ยงวันเกิดเท่าไหร่ เพราะนอกจากอาร์มิเทจจะเอาแต่กล่าวสุนทรพจน์เรื่องความสำเร็จของเฟิร์สออเดอร์เสียยืดยาวแล้ว คนที่ได้รับเชิญมายังมีแต่จ้าหน้าที่ระดับสูงและหัวหน้าสายบังคับงานเท่านั้น แถมของตกแต่งยังเรียบขรึมจนค่อนไปทางดุดันสมกับสไตล์เฟิร์สออเดอร์เป็นอย่างยิ่ง
มีเพียงเค้กก้อนโตที่มุมห้องกับข้อความว่าสุขสันต์วันเกิดปีที่สิบห้าแด่เรย์เท่านั้น ที่ทำให้เด็กสาวรู้สึกว่าเธออายุสิบห้าแล้วจริงๆ
เรย์ไม่ค่อยรู้จักใครในนี้เท่าไหร่ แม้จะอยู่ในงานเลี้ยงแต่ทุกคนกลับดูเคร่งเครียดไม่ต่างจากตอนประชุมวางแผนรบเลยสักนิด ซ้ำยังเอาแต่คุยเรื่องยากๆ ที่เรย์ฟังไม่เข้าใจอีกต่างหาก เพราะแบบนั้นเด็กสาวเลยตัดสินใจว่าจะขอยึดมุมห้องเป็นฐานที่มั่น และตักอาหารทุกอย่างที่ทุกคนไม่สนใจจะทานเข้าปากแทน
หลังสวาปามทุกอย่างจนสาแก่ใจแล้วเด็กสาวจึงหันเหความสนใจไปทางของขวัญที่ทุกคนเตรียมไว้ให้
กล่องของขวัญจากอาร์มิเทจถูกห่อด้วยกระดาษสีดำด้านดูเรียบหรู แต่กลับมีการ์ดข้อความอวยพรรูปแมววางไว้คู่กันเสียได้ เรย์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับความเป็นทาสแมวอย่างโจ้งแจ้งของอีกฝ่าย เด็กสาวหยิบกล่องขึ้นแนบอกพร้อมกับของขวัญจากฟาสม่าซึ่งเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆ ในกระถางสีหวานรวมทั้งเจ้าเค้กวันเกิดก็ด้วย เรย์มุ่งหน้าออกจากงานเลี้ยงซึ่งไม่เหมือนงานเลี้ยงเลยสักนิดไปยังห้องข้างๆ กัน
มันถูกใช้เป็นที่เก็บของ กองระเกะระกะไปด้วยหีบเหล็กสีแวววาวจนน่าเสียดายวิวสวยๆ เพราะว่าด้านหนึ่งของห้องเป็นหน้าต่างใสสูงจากพื้นจรดถึงเพดาน เผยทิวทัศน์สีกำมะหยี่ที่ประดับประดาไปด้วยดวงดาวนับล้าน แม้จะมีความยาวเพียงไม่กี่เมตรราวกับเป็นเป็นแค่กระจกเหลือซึ่งถูกนำมาใช้ให้หมดๆ ไปก็ตาม เรย์ชอบห้องนี้มากจนใช้เป็นที่หลบภัยทุกครั้งเวลางานเลี้ยงของอาร์มิเทจเริ่มน่าเบื่อเกินจะทนไหว
มีกล่องเหล็กตัวยาววางอยู่บริเวณหน้าต่างอยู่แล้วเพราะมันคือที่ประจำของเธอ เด็กสาวกระโดดขึ้นไปนั่งห้อยขาบนนั้นก่อนจะจัดการวางทั้งเค้กและของขวัญอีกสองชิ้นลงข้างตัว
ส่วนของขวัญจากฟินน์ เธอได้รับมาก่อนหน้านี้แล้วเป็นถุงมือหนังแบบนิ้วกุดสำหรับใส่ซ้อมฟันดาบ เขาพูดว่าเธอโตเป็นสาวแล้วช่วยดูแลตัวเองบ้าง เรย์เบ้หน้า แสร้งต่อยที่ต้นแขนสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มไปทีหนึ่งแบบไม่จริงจังนักก่อนจะรับปากว่าเธอจะใส่มันทุกครั้งเวลาฝึก แน่นอนว่าไม่ใช่กลัวมือด้านแต่เป็นเพราะมันดูเท่ห์ดีต่างหาก
เรย์กำลังจัดการฉีกกระดาษห่อของขวัญของอาร์มิเทจออกตอนที่เห็นจากหางตาว่าเบนเดินเข้ามาในห้องเช่นกัน เธอหยุดทุกอย่างลง หันไปทางเขาพร้อมรอยยิ้มกว้าง เป็นเบนที่เปิดบทสนทนาขึ้นก่อน คำตำหนิอย่างไม่จริงจังนักในขณะที่เดินมานั่งข้างกันโดยมีกระถางต้นไม้อันเล็กจ้อยและเค้กก้อนโตวางถัดออกไป
“หนีงานเลี้ยงอีกแล้วนะเรย์”
“เบนก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” เธอหัวเราะคิกคักแล้วดึงสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในกล่องออกมา มันเป็นกำไลข้อมือสีเงินวาวซึ่งมีหน้ากว้างประมาณหนึ่งนิ้ว พอแตะสัมผัสลงไปก็สว่างวาบ ปรากฏเป็นตัวอักษรและหน้าจอขึ้นมา ดูเหมือนจะเป็นเครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับได้
ช่างเป็นของขวัญที่สมกับคนเลือกอย่างอาร์มิเทจยิ่งนัก เด็กสาวพลิกมันไปมาเพื่อพิจารณา บอกไม่ถูกว่าชอบหรือไม่ แน่นอนว่ามันสวย แต่พาดาวันที่วันๆ ยุ่งแต่กับการฝึกอย่างเธอจะเอาไปทำอะไรได้ละเนี่ย เพราะแบบนั้นเรย์เลยตัดสินใจสวมมันไว้ที่ข้อมือซ้ายทันที อย่างน้อยเธอจะใส่มันให้บ่อยเท่าที่โอกาสเอื้ออำนวยแล้วกันอาร์มิเทจจะได้ไม่งอนเธอจนฮุบคุณมิลลิเซนต์ไว้เล่นคนเดียวอีกเหมือนครั้งแล้ว
แล้วหลังจากนั้นเด็กสาวก็แบมือขวาไปทางเบนและมันทำให้เจไดหนุ่มเลิกคิ้ว
“ไหนใครบอกว่าปีนี้ไม่ต้องการของขวัญกัน”
“แต่ยังไงเบนก็เตรียมไว้อยู่ดีไม่ใช่เหรอ” เด็กสาวย้อนด้วยรอยยิ้มกว้าง และมันทำให้เบนถึงกับถอนหายใจเฮือกเลยทีเดียวแม้จะกำลังอมยิ้มไปด้วยก็ตาม เพราะเรย์คิดถูก เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือไม่มากออกไป ไม่มีกระดาษห่อ ไม่มีริบบิ้นหรือแม้แต่การ์ดข้อความ แค่กล่องไม้ธรรมดาที่สลักคำว่าเรย์ไว้บนฝาเท่านั้น
แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้หัวใจของเด็กสาวอุ่นวาบ เพราะแค่ดูก็รู้แล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นของทำมือ ทั้งตัวกล่องและรอยสลัก เป็นสิ่งที่เบนบรรจงทำขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ คนเป็นมาสเตอร์วางกล่องไม้ลงบนฝ่ามือเล็กขณะเอ่ยคำอวยพรที่ฟังดูเรียบง่ายแต่แสนพิเศษไม่แพ้ของที่เขามอบให้
“สุขสันต์วันเกิดปีที่สิบห้าพาดาวันของฉัน”
“ฉันเปิดดูเลยได้ไหม” เรย์ถามแทบจะในทันทีด้วยความตื่นเต้น เบนพยักหน้า เรย์รู้สึกได้ว่าดวงตาสีน้ำตาลของเขาจับจ้องสังเกตสีหน้าของเธออยู่
“ว้าว!! ” เด็กสาวอุทาน ดวงตาสีเฮเซลนัทเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าในกล่องไม้คือไคเบอร์คริสตัลสีฟ้าอ่อนถึงสองก้อนด้วยกัน แต่ก่อนที่จะได้ตื่นเต้นไปมากกว่านี้ว่าตนกำลังจะมีไลท์เซเบอร์เป็นของตนเอง เด็กสาวก็ตระหนักถึงข้อเท็จจริงบางอย่างได้
“เดี๋ยว นี่แปลว่าฉันกำลังจะจบการศึกษาแล้วเหรอ”
เธอหันไปถามคนเป็นมาสเตอร์ทันที
“แล้วคิดว่าตัวเองเก่งพอจะเป็นเจไดได้แล้วหรือยังละ”
ใจหนึ่งเรย์อยากโอ้อวด ตอบว่าตนเองพร้อมแล้ว แต่อีกใจก็ละอายชอบกลในเมื่อเธอยังไม่เคยแม้แต่จะสู้ชนะเบนเลยสักครั้ง อีกอย่างการเรียนจบหมายความว่าเธอต้องแยกจากเขาด้วยเช่นกัน พอคิดได้แบบนั้นแล้วเรย์เลยหันไปตอบด้วยสีหน้าสลดว่า
“ไม่อ่ะ”
เป็นทีของเบนที่จะยิ้มขำบ้าง เขาวางมือลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลแล้วลูบไปมาเบาๆ
“มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์จะให้ไลท์เซเบอร์กับนักเรียนที่ใกล้จบเท่านั้นก็จริง แต่สมัยก่อนแค่โตพอจะแกว่งดาบได้ก็มีไลท์เซเบอร์เป็นของตัวเองกันหมดแล้ว อีกอย่างเธอจะใช้อะไรป้องกันตัวเองเวลาไปทำภารกิจกันถ้าฉันไม่รีบให้ไคเบอร์คริสตัลเธอแต่เนิ่นๆ”
พอเบนเอ่ยมาถึงตรงนี้ดวงตาของเรย์ก็เบิกกว้างขึ้นไปอีก
“เมื่อกี้เบนว่าไงนะ?”
“ฉันพูดว่าตอนทำภารกิจเธอจำเป็นต้องมีอาวุธป้องกัน...!! ”
ไม่ทันจะได้เอ่ยจนจบประโยค เด็กสาวก็โถมเข้ากอดเอวเขาเต็มแรง เรย์สัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อใต้ฝ่ามือที่เกร็งขึ้น เบนไม่ได้กอดตอบ เขานั่งนิ่งเหมือนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรดี แต่เพียงไม่นานเรย์ก็ผละถอย ทว่ายังคงกอดเกี่ยวเขาไว้แบบหลวมๆ
“ขอบคุณค่ะมาสเตอร์” เธอกล่าวอย่างเอาอกเอาใจ
เรย์สังเกตว่าโหนกแก้มของเขาขึ้นสีจางๆ ในขณะที่ใช้ฝ่ามือดันไหล่เธอให้กลับมานั่งที่ตามเดิม เจไดหนุ่มกระแอมไอ เสมองไปอีกทางพร้อมสูดหายใจเข้าลึก
“อีกเรื่องหนึ่ง” เบนกล่าว “ในเมื่อเธออายุสิบห้าแล้ว ฉันว่าถึงเวลาที่จะพูดกันตรงๆ แล้วว่าอะไรที่ควรและไม่ควรทำบ้าง ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเราจะเป็นศิษย์อาจารย์กันอย่างบริสุทธ์ใจ แต่ในสายตาคนนอกอาจไม่เป็นอย่างนั้นเพราะจะยังไงฉันก็เป็นผู้ชาย ส่วนเธอก็เป็นผู้หญิง การแตะต้องที่มากเกินไปอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่....”
“เบน” เด็กสาวเรียก เป็นการปรามให้เขาเข้าประเด็นสักที เจไดหนุ่มถอนหายใจเฮือก
“ที่เธอทำอยู่มันไม่เหมาะสม”
“ที่ฉันกอดเบนน่ะเหรอ?”
“รวมทั้งอีกหลายๆ อย่างด้วย” เขากระแอมไออีกครั้ง “มันทำให้คนอื่นมองไม่ดี”
“เช่น?” เธอลากเสียงยาว คาดคั้นรอคอย แม้จะพอเดาได้ลางเลาว่าเบนหมายถึงอะไรบ้าง แต่เด็กสาวก็อดใจไม่ได้ที่จะแกล้งเขาอยู่ดี ดูสิ เวลาที่เขาหน้าแดงมันน่ารักจะตาย
“การที่อยู่ๆ เธอก็วิ่งเข้ามากอดฉัน ไม่ก็แอบย่องเข้ามานอนบนเตียงฉัน รวมทั้งเรื่องเมื่อกลางวันก็ด้วย” น้ำเสียงเขาติติง แต่ด้วยเพราะกำลังหลุบตามองไปทางอื่นผสมกับสีแดงบนใบหน้ามันเลยไม่อาจทำให้เรย์รู้สึกผิดได้เลยแม้แต่น้อย ที่จริงแล้วถึงเขาจะดุเธอจริงจังแบบตอนสอนมันก็ไม่ทำให้เรย์กลัวอยู่ดี เพราะว่าเทียบกันแล้วการไม่ได้สัมผัสถึงไออุ่นของเขายังฟังน่ากลัวกว่าตั้งเยอะ
“สรุปคือเบนกลัวคนอื่นมองเบนไม่ดี”
“ฉันกลัวเธอจะถูกมองไม่ดีต่างหาก” เขารีบแย้ง “เธอเป็นพาดาวันของฉันนะเรย์ เราควรรักษาความสัมพันธ์ให้เป็นมืออาชีพกว่านี้และไม่ควรให้เกิดข้อครหาได้ แล้วก็...”
“งั้นถ้าไม่มีคนมองก็ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ประโยคซื่อๆ จากปากเรย์ทำให้เบนนิ่งไป เขาสั่นศีรษะเหมือนกำลังพยายามรวมรวบสติและเหตุผลของตนเองกลับมา “เธอหลงประเด็นแล้วเรย์”
“จากที่เบนพูดมาตั้งยาวฉันว่านี่แหละประเด็นเลยต่างหาก”
“ไม่เกี่ยว จะยังไงมันก็ไม่เหมาะอยู่ดี ฉันอายุมากกว่าเธอตั้งเยอะแถมยังเป็นอาจารย์ของเธอด้วย”
“แต่เราก็เป็นกันแบบนี้มาตั้งหกปีแล้วนี่น่า ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเป็นไรเลย” น้ำเสียงของเด็กสาวเริ่มจะขุ่นมัวนิดๆ แล้วเนื่องจากเบนไม่ยอมโอนอ่อนตามใจเธอง่ายๆ เหมือนเคย
“เพราะก่อนหน้านี้เธอยังเด็กและฉันยังไม่ได้รับเธอมาเป็นพาดาวันน่ะสิ”
ใบหน้าของเด็กสาวสลดลงอย่างชัดเจนเมื่อได้ยินประโยคนั้น เธอก้มมองการ์ดอวยพรของอาร์มิเทจที่ยังอยู่ในมือ ตัวเลขสิบห้าตอกย้ำถึงวันเวลาที่กำลังจะผันผ่านและคำพูดของเบนเมื่อนานมาแล้วที่ว่าพอโตเป็นผู้ใหญ่เธอต้องวางตัวให้เหมาะสมมากกว่านี้ ว่าแต่เหมาะสมมันคืออะไรละ? คือดูดีในสายตาคนนอกเหรอ หรือหมายถึงการต้องห่างเหินกับเขากันแน่
ในความคิดของเรย์ ทุกอย่างที่เป็นมาตลอดมันก็เหมาะสมดีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องไปปรับเปลี่ยนให้ยุ่งยากเลยสักนิด เธอพอใจกับการได้เดินจับมือเขาไปตามทางเดินที่ทอดยาวเหมือนจะไม่สิ้นสุด เธอเป็นสุขกับการโอบกอดและไออุ่นของเขาในทุกห้วงอารมณ์ที่ต้องการการเติมเต็ม เธอชอบความคิดที่จะมีเขาอยู่เคียงข้างเสมอทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า
และเธอไม่ชอบเลยสักนิดเมื่อคิดว่าต้องเว้นระยะห่างจากเขา เพียงเพื่อให้คนนอกรู้สึกว่าแบบนี้เหมาะสมมากกว่า
แต่ด้วยรู้ดีว่าหากดื้อดึงงอแงไปเบนคงดุกลับมาแน่ๆ เรย์จึงช้อนตามองคนตัวสูง ปรับโทนเสียงให้นุ่มนวลและออดอ้อนอย่างที่มักทำให้ทุกคำขอของเธอได้ผลเสมอ
"แค่นิดหนึ่งก็ไม่ได้เหรอคะมาสเตอร์"
และนั่น ส่งผลให้สองแก้มของเจไดหนุ่มแดงก่ำกว่าเก่า แววตาของเขาอ่อนลงอย่างชัดเจน ริมฝีปากขยับเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง เขายกมือขวาขึ้นมา ใช้ข้อนิ้วเกลี่ยแก้มเธออย่างที่ชอบทำเสมอ ในจังหวะหนึ่งมันปัดผ่านริมฝีปากบางอย่างจงใจ เรย์ตีความหมายของการกระทำนี้ไม่ออก แต่เธอคิดว่ามันน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าเขาใกล้จะใจอ่อน...
"ไม่ได้! "
หรือเปล่านะ...
อยู่ๆ เบนก็เอ่ยเสียงดังมาก อีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นตะโกนอยู่แล้ว มือหนาถอยหนีจากใบหน้าเธอราวต้องของร้อน แต่พอเห็นเรย์สะดุ้งด้วยความตกใจเบนก็ลดความกระด้างในน้ำเสียงลงแล้วเอ่ยใหม่ "ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เราตกลงกันแล้วนะเรย์"
เรย์กอดอกเมื่อได้ยินคำพูดนั้นก่อนจะเริ่มทำตัว 'งอแง' อย่างอดไม่ได้ เด็กสาวหันกลับไปมองทิวทัศน์หมู่ดาวนอกหน้าต่างด้วยกริยาฟึดฟัด
"ฉันไม่ได้ตกลงสักหน่อย เบนคิดเองพูดเองไปคนเดียวต่างหาก"
และมันทำให้เจไดหนุ่มถอนหายใจเฮือก หลังจากนั้นทั้งห้องก็ปกคลุมด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงพูดคุยของงานเลี้ยงแว่วดังมาจากที่ไกลๆ เท่านั้น ในที่สุดเรย์ก็ตัดสินใจต่อรองอีกครั้ง เพื่อลดทอนความลำบากใจของเขาและเพื่อบรรเทาความหว้าเหว่ของเธอ
"ถ้างั้นขอแค่วันนี้ได้ไหม ยังไงมันก็วันเกิดฉัน ให้วันนี้เรายังเป็นเหมือนเดิมไปก่อนไม่ได้เหรอ"
...ส่วนพรุ่งนี้ไว้เธอค่อยหาทางว่ากันอีกที...
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาหรี่มองมาทางเธอ พยายามหาพิรุธในคำขอ เบนเงียบไปนานมากจนเรย์ชักเริ่มท้อ ไม่รู้ทำไมวันนี้มาสเตอร์ของเธอถึงได้ใจแข็งนัก และในตอนที่เด็กสาวกำลังจะถอดใจพร้อมกระโดดลงจากกล่องโลหะเพื่อหยิบเค้กหนีไปนั่งกินคนเดียวอย่างแสนงอน
“เหวอ!! ”
คนเป็นมาสเตอร์ก็เกี่ยวเอวเธอไว้ ออกแรงดึงรวดเดียวร่างเล็กกว่าก็ลอยหวืดขึ้นมานั่งบนตักแกร่งอย่างง่ายดาย หลังของเรย์แนบอยู่กับแผ่นอกของเบน เขากอดเอวเธอไว้เพียงหลวมๆ แต่ก็แน่นหนาพอที่จะแน่ใจว่าเธอจะไม่สามารถลุกหนีได้ง่ายๆ อุณหภูมิจากร่างของเขาทำให้เด็กสาวทั้งรู้สึกสงบแต่ก็ใจเต้นแรงขึ้นไปพร้อมๆ กัน
“เบน?” เรย์เรียกชื่อเขาอย่างประหลาดใจในการกระทำแต่ในขณะเดียวกันก็ดีใจไปพร้อมๆ กัน เธอรู้สึกได้เลยว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้ากำลังขยับเป็นรอยยิ้มโดยที่ควบคุมไม่ได้ตอนที่เบนเกยคางลงกับบ่าของเธออย่างคุ้นเคยในขณะที่เธอก็ทิ้งน้ำหนัก เอนพิงเขากลับไปเต็มๆ เช่นกัน
“วันนี้วันสุดท้ายแล้วกัน” เขากระซิบบอก “ไว้พรุ่งนี้ค่อยเริ่มบังคับใช้ข้อตกลง”
“ข้อตกลงที่ไหน บอกแล้วไงเบนคิดเองพูดเองอยู่คนเดียวต่างหาก”
“ยังไงก็ต้องทำอยู่ดี”
ลมหายใจของเขาคลอเคลียอยู่ข้างขมับของเธอ เช่นเดียวกับปลายจมูกและริมฝีปาก และถ้าเข้าใจไม่ผิด เรย์คิดว่าน้ำเสียงของเบนเจือไปด้วยความเสียดายจางๆ ไม่แพ้กันที่ทุกอย่างซึ่งเป็นอยู่นี้จะไม่ได้เกิดขึ้นอีก
“ยังไงก็ต้องทำ”
คนเป็นมาสเตอร์กล่าวซ้ำ ราวกับว่าเขากำลังเน้นย้ำให้ตนเองฟังมากกว่าจะเป็นการเตือนพาดาวันตัวน้อยในอ้อมกอดถึงข้อตกลงที่มีรวมกัน
แต่อย่างที่บอก เรย์ตั้งใจไว้ว่าเมื่อพรุ่งนี้มาเยือนเมื่อไหร่เธอจะหาทางให้เขายกเลิกกฏนี้ให้ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั้นแหละ ส่วนตอนนี้ขอเธอมีความสุขกับวันเกิดปีที่สิบห้า ของขวัญมากมายจากพวกพ้อง ทิวทัศน์ดวงดาราอันพร่างพราว และการได้มีเขาอยู่เคียงข้างไปก่อนแล้วกัน
Chapter 9: Episode 9 I Know.
Chapter Text
เรย์ไม่อยากจะพูดให้มันเว่อร์ แต่เธอคิดว่าเธอใกล้ตายเข้าไปทุกทีแล้ว
“นี่มันหกเดือนเข้าไปแล้วนะ” เธอโอดครวญให้ฟินน์ฟังในพักเที่ยงวันหนึ่งที่โรงอาหาร โต๊ะตัวเล็กตรงมุมห้องข้างกระถางต้นไม้ นั่นคือที่ประจำของพาดาวันสาวและทรูปเปอร์หนุ่ม ฟินน์ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกรอกตาขึ้นมองบนเหมือนจะบอกว่าเอาอีกแล้วเหรอเนี่ยในขณะที่หยิบเฟรนฟรายเข้าปากไปด้วย
"เบนหลบหน้าฉันมาจะหกเดือนแล้วเพราะไอ้กฎบ้าๆ นั่นข้อเดียว!! "
เธอบ่นด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ แต่ไม่ถึงกับโหลกเหวกจนไปถึงโต๊ะข้างๆ เรียกได้ว่ามีเพียงฟินน์เท่านั้นที่ได้ยินประโยคคร่ำครวญเหล่านั้นเหมือนที่เป็นมาตลอดหกเดือน หลังจากนั้นเด็กสาวก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ งึมงำอะไรไม่รู้ออกมาอีกสองสามคำก่อนจะนิ่งไป
ฟินน์ที่เคี้ยวตุ้ยๆ จนหมดแล้วตัดสินใจใช้ส้อมจิ้มแขนคนที่ไม่ยอมกินอาหารจานที่สี่ให้หมดเสียทีพร้อมชี้แจ้งให้ฟังอีกครั้งอย่างที่เป็นมาตลอดหกเดือนเวลาเรย์มีอาการเช่นนี้
"ทางเทคนิคแล้วมาสเตอร์โซโลไม่ได้หลบหน้าเธอเลยนะเรย์ เธอยังมีเรียนกับเขาอยู่เรื่อยๆ แถมเดือนหน้าก็จะได้ไปทำภารกิจที่ดาวยาวินด้วยกันอีก"
“ใช่” เรย์ตอบรับ พลิกเงยหน้าขึ้นมาเกยคางกับโต๊ะแทน “พร้อมกับฟาสม่าและสตอร์มทรูปเปอร์อีกเป็นโขยงรวมทั้งนายด้วย”
สมพรปากที่ฟินน์เคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้วว่าขอบรรจุหน่วยไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ของเบนเพราะเขารู้สึกกลัวท่าทีนิ่งๆ แบบคาดเดาไม่ได้ของเจไดหนุ่ม ผลสรุปคือฟินน์ได้บรรจุในหน่วยของฟาสม่าและได้รหัสว่า FN-2187 พูดตามตรงคือเขายังกลัวสนามรบและความรุนแรงอยู่บ้าง แต่ผลประเมินที่อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีผสมกับความสนิทส่วนตัวกับว่าที่เจไดอย่างเรย์ ได้ขยับตำแหน่งของสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มให้สูงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเชื่องช้าแต่ก็คงที่ เรียกได้ว่าอีกสักสี่ห้าปี เขาอาจได้เป็นหัวหน้าหน่วยใดหน่วยหนึ่งเสียเองก็ว่าได้
“แล้ว…” ฟินน์ลากเสียงยาว ไหล่หนาไหวยก แทนคำถามที่ว่าปัญหาคืออะไรกัน
“ไม่รู้สิ” เรย์ว่าแบบปัดๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอรู้ดีเลยแหละว่าปัญหาคืออะไรกันแน่เพียงแต่ไม่สามารถเอ่ยออกไปตรงๆ ได้
จะให้พูดได้ยังไงกันละว่าที่เธอจะเป็นจะตายมาตลอดหกเดือนเพราะไม่ได้จับมือหรือกอดคนเป็นมาสเตอร์เหมือนอย่างเคย เบนจริงจังกับกฏระยะห่างที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เขาไม่ผ่อนปรนหรือคล้อยตามข้อต่อรองของเธอเลยสักนิด ผลคืออ้อมกอดในวันเกิดปีที่สิบห้า เป็นสัมผัสครั้งสุดท้ายที่เธอได้รับจากเขาจริงๆ
เรย์อาจจะเป็นคนซื่อบื้อในบางเรื่องและไม่ละเอียดอ่อนในหลายๆ เรื่อง แต่กับเรื่องซับซ้อนเข้าใจอยากอย่างความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเธอกับเบนนั้น เธอจะไม่ยอมใครให้รู้เด็ดขาด แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเธอก็ตาม
“เบนดู…ห่างเหินยังไงไม่รู้ เขาทำเหมือนฉันเป็นแค่นักเรียนคนหนึ่ง” เพราะแบบนั้นเด็กสาวเลยเลือกใช้คำกำกวมและไม่เจาะจง แต่ความไม่ชี้ชัดนี่เองที่เปิดโอกาสให้ฟินน์พูดจี้ใจเธอเข้าอย่างจัง
“ก็เธอเป็นแค่นักเรียนของเขาจริงๆ นี่”
“ฉันไม่นักเรียนธรรมดาสักหน่อย” เรย์แย้ง ตบโต๊ะดังปึงปัง เน้นย้ำทีละเพื่อชี้แจ้งสถานะตนเองให้เพื่อนฟัง “ฉันเป็นพาดาวันของเขาต่างหาก พา-ดา-วัน! มันไม่เหมือนกันเลยสักนิด”
“เข้าใจแล้วๆ ใจเย็นๆ หน่อย” ฟินน์เอ่ยเตือนเมื่อเรย์ชักจะเสียงดังเกินไปแล้ว
ทันใดนั้นขากางเกงของเรย์และฟินน์ก็ถูกดึงกระตุกพร้อมกับเสียงยาวแหลมในภาษาไบนาที่ดังขึ้น
"ปี้ป ปิ้ว ปิ้ววว ปี้บบบบบ"
สองคู่หูพาดาวันทรูปเปอร์ก้มมอง และพบเข้ากับหุ่นดรอยด์รุ่นบีบีอันเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งมีรูปร่างกลมเกลี้ยง สีขาวส้มบนตัวทำให้มันทั้งโดดเด่นและสดใสอย่างน่าเอ็นดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับความโมโนโครมดำเทาอันน่าอึมครึมของยานเดรทน็อคตามรสนิยมของคนที่มีตำแหน่งสูงสุดอย่างพันเอกฮักซ์
และในขณะที่ฟินน์กำลังขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าเจ้าก้อนกลมสีสดใสตัวนี้มาจากไหน เรย์กลับกับโน้มตัวลงไปหาเจ้าดรอยด์แล้วชี้ไปทางประตู
"เปล่า โรงจอดยานต้องเลี้ยวซ้ายก่อนถึงโรงอาหาร แต่ถ้าเลี้ยวขวาอีกสองครั้งจะวกไปโถงทางเดินหลักที่ตรงไปสะพานเดินเรือได้ หืม? ไม่รู้ว่า ‘เขา’ อยู่ที่ไหนแล้วเพราะเดินคลาดกันงั้นเหรอ"
“เกือบลืมไปเลยว่าเธอพูดภาษาดรอยด์ได้” ฟินน์เท้าคางมองเด็กสาวที่กำลังสนทนากับดรอยด์หลงทางอย่างออกรส “ว่าแต่ฮักซ์อนุญาตให้มีของสีแปร๋นขนาดนี้นอกจากคุณมิลลิเซนต์ขึ้นมาบนยานได้ยังไงกันละเนี่ย”
สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มเปรยกับตนเองพร้อมใช้เท้าเขี่ยลำตัวอันกลมเกลี้ยงของดรอยด์สีส้มไปด้วยอย่างลืมตัว ส่งผลให้หุ่นตัวน้อยซึ่งถูกกระทำส่งเสียงแหลมสูงเป็นการประท้วงและเริ่มต้นทำการป้องกันตนเองด้วยการยื่นแขนกลที่มีกระแสไฟฟ้าวิ่งเชื่อมอยู่ออกมาช็อตเข้าให้
“โอ๊ย!! ”
คนถูกแกล้งกลับเอามือกุมหน้าแข้งตนเองทันที
“ปิ้ว ปิ้ว ปี้ดดดดด”
“มันพูดว่าอะไรนะ?”
“นายไม่อยากรู้หรอก” เรย์หัวเราะคิกคัก เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าข้างเพื่อนสนิทตนเองแม้แต่น้อย
“เจ้านี่เป็นดรอยด์ที่มารยาทแน่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมาเลยให้ตายเถอะ พนันเลยว่าเจ้าของต้องนิสัยแย่ไม่แพ้กันแน่ๆ เฮ้ย! หยุด! ห้ามช็อต ถ้าช็อตอีกฉันหักเสาอากาศแกเอาคืนแน่”
ฟินน์ลุกยืนพรวดเพื่อเว้นระยะจากหุ่นดรอยด์ เขาชี้นิ้วเพื่อห้ามปรามทั้งยังขู่สำทับแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไร เห็นได้ชัดว่าดรอยด์สีส้มไม่พอใจเป็นอย่างมากที่สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มลามปามเจ้าของของมัน แขนกลที่มีกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปล๊าบยื่นเข้ามาใกล้
“ยัง! ยังไม่หยุดอีก เรย์เลิกหัวเราะแล้วมาช่วยฉันเดี๋ยวนี้ โอ๊ะ!! ”
ฟินน์กระโจนหนี แต่ถอยได้ไม่ถึงครึ่งก้าวก็ชนเข้ากับคนข้างหลังเสียก่อน ทั้งคู่เซเล็กน้อยแต่อีกฝ่ายจับต้นแขนของเขาไว้ช่วยพยุงไม่ให้ล้มได้ทันพอดี เกือบรอดแล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าเจ้าดรอยด์ขี้โมโหยังคงตามมาระรานไม่เลิก และช็อตไฟฟ้าระลอกสองใส่เขาได้ในที่สุด
“โอ๊ย!! ไอ้เจ้า...”
“บีบีเอท!! ” เสียงคนข้างหลังดังกลบคำหยาบของฟินน์จนสิ้น สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มและพาดาวันสาวหันขวับอย่างพร้อมเพรียง สิ่งพวกเขาเห็นคือชายหนุ่มที่ฟินน์เพิ่งจะถอยไปชนได้ย่อตัวลงนั่งคุกเข่าและกอดลูบดรอยด์ตัวกลมอย่างแสนรักประหนึ่งกำลังลูบหมาลูบแมวยังไงยังงั้น
ชายคนนั้นมีส่วนสูงพอๆ กับฟินน์ ผิวสีออกแทนมะกอกให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ชอบออกแดดตลอดเวลา เส้นผมของเขาหนาหยักและเป็นสีดำขลับ สีเดียวกับเคราที่ครึ้มอยู่ตามแนวกรามที่เป็นเหลี่ยมมุมอย่างชัดเจน เครื่องหน้าคมเข้มและหล่อเหลา แต่เป็นสเน่ห์ในแบบที่จับต้องและเข้าถึงได้ง่ายเนื่องจากรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรซึ่งมีประดับใบหน้าเกือบตลอดเวลา เขาสวมชุดนักบินสีส้มสดใสที่ดูเข้ากันดีเป็นอย่างยิ่งกับสีสันบนตัวดรอยด์รุ่นบีบีที่ถูกเรียกว่าบีบีเอท
“ฉันตามหาแกตั้งนานเจ้าเพื่อนยาก ไปหลงอยู่แถวไหนมา”
“ปี้บบบ ปู ปิ้ว ปี้ป ปี้บ”
“เออ โทษทีนะ นายคือเจ้าของดรอยด์ตัวนี้เรอะ” ฟินน์ตัดสินใจเอ่ยขัดชั่วโมงสุขสันต์ของการกลับมาพบกันใหม่ระหว่างดรอยด์และเจ้าของด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว เขากอดอก ท่าทีเอาเรื่อง เรย์พยายามปรามโดยการแตะท่อนแขนแต่ก็ดูจะไม่ได้ผลเท่าไร ที่จริงแล้วน่าจะบอกว่าไม่จำเป็นมากกว่าด้วยซ้ำ
เพราะนอกจากจะไม่รับรู้ถึงอารมณ์กรุ่นๆ ของสตอร์มทรูปเปอร์ผิวสีแล้ว นักบินหนุ่มยังยื่นมือมาทักทายพร้อมรอยยิ้มกว้างอีกต่างหาก
“ใช่แล้ว ฉันโพ โพ ดาเมรอน ต้องขอโทษแทนบีบีเอทด้วยที่มันขี้หงุดหงิดไปหน่อย”
เสียงแหลมยาวดังรัวๆ เหมือนจะประท้วงว่าตนไม่ใช่คนที่เริ่มก่อนเสียหน่อย ซึ่งโพตอบสนองด้วยการใช้เท้าเขี่ยลำตัวของบีบีเอทเพื่อบอกให้มันเงียบซะเหมือนที่ฟินน์เคยทำก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พอเห็นว่าคนเป็นเจ้าของไม่ได้เข้าข้างปกป้องดรอยด์จนเกินเหตุ ซ้ำยังเอ่ยขอโทษอย่างจริงใจแต่แรกฟินน์เลยตัดสินใจลดท่าทีกระด้างลง เขาคลายแขนที่กอดไขว้กันอยู่ออกเพื่อยื่นไปจับมือด้วย
“ช่างมันเถอะ อ่อ แล้วก็ฉันชื่อฟินน์”
“ฟินน์” โพทวน กึ่งเป็นการถามกลายๆ ด้วยว่าแล้วนามสกุลละ แต่พอเห็นว่าสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เขาก็แค่กระชับมือแน่นโดยไม่เอ่ยอะไรเพิ่มเช่นกัน นับว่าเป็นคนหัวไวไม่น้อย
เรย์ตัดสินใจเข้าร่วมการแนะนำตัวนี้บ้าง
“หวัดดีฉันเรย์” เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส
“ฉันรู้” โพหัวเราะเล็กน้อย ประกายวิบวับในดวงตาทำให้เขาดูมีสเน่ห์มากขึ้นไปอีก เรย์มีลางสังหรณ์ว่านักบินหนุ่มแปลกหน้าคนนี้น่าจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาหัวข้อใหม่ของสาวๆ บทยานเดรทน็อคได้ในไม่ช้า “ถึงฉันจะเพิ่งมาทำงานวันแรกก็เถอะ แต่ในยานลำนี้ไม่มีใครไม่รู้จักพาดาวันเรย์ของมาสเตอร์โซโลหรอกนะ”
เรย์รู้ดีว่าถ้อยคำเหล่านั้นแค่ถูกใช้เพื่อบ่งบอกความเป็นศิษย์อาจารย์ระหว่างเธอและเบนเท่านั้น แต่เด็กสาวก็ยังอดไม่ได้ที่จะขัดเขินปนหงุดหงิดเล็กๆ อยู่ดี เพราะถ้าเธอเป็น ‘ของ’ เบนจริงๆ เขาคงไม่หนีหน้าเธอเป็นเดือนๆ แบบนี้หรอก
เด็กสาวปล่อยให้ความขุ่นข้องลอยฟุ้งอยู่ชั่วครู่เท่านั้นก่อนจะปัดมันไปเบื้องหลังเพื่อทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ เธอยื่นมือออกไป แต่เพียงไม่ถึงเซนติเมตรก่อนที่ปลายนิ้วของเรย์และโพจะสัมผัสกัน ฝ่ามือหนาของนักบินหนุ่มก็ถูกใครบางคนแย่งไปกุมเสียก่อน
“ถ้าแบบนั้นเราคงไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวกันแล้วใช่ไหมผู้การดาเมรอน”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยดังขึ้นเหนือศีรษะ ไอร้อนจากร่างสูงใหญ่แนบอยู่เบื้องหลัง ไม่ต้องหันมองเรย์ก็รู้ได้ทันทีว่าคือใคร แต่มันคงเป็นความเคยชินไปแล้วที่ทำให้เธอจำต้องแหงนหน้าขึ้น
“เบน” เด็กสาวครางเรียกคนที่อยู่ๆ ก็ดันปรากฏตัวขึ้นมาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียง เพราะเบนชิงจับมือกับโพเสียก่อน มือบางที่ค้างอยู่กลางอากาศจึงต้องดึงกลับมาแนบลำตัวตามเดิม และดูเหมือนว่ามาสเตอร์ของเธอจะออกแรงมากเกินจำเป็นไปหน่อยเพราะตอนนี้นักบินหนุ่มเริ่มจะนิ่วหน้าเสียแล้ว
สีหน้าของเจไดหนุ่มไม่ได้เปลี่ยนไปก็จริง แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมากลับขุ่นมัวและหนักอึ้งอย่างชัดเจนจนบรรดาสตอร์มทรูปเปอร์รอบๆ ต่างยกถาดอาหารหนีกันอย่างไวว่อง ขนาดบีบีเอทยังกลิ้งถอยไปหลบอยู่ข้างหลังโพเลยด้วยซ้ำ แม้จะอยากตามเพื่อนร่วมงานไปมากแค่ไหนแต่ฟินน์ก็ไม่กล้าขยับตัว เขาได้แต่ยืนเม้มปากนิ่ง
เป็นเรย์ที่ต้องเอ่ยปรามแม้จะไม่รู้ว่ามาสเตอร์ของเธอกำลังหงุดหงิดอะไรอยู่ก็ตามที
“เบน”
ดวงตาสีน้ำตาลหลุบมองคนที่ยืนอยู่ในอ้อมแขนกลายๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมปล่อยมือ บรรยากาศกดดันยังไม่หายไปเสียทีเดียว
“คุณสายไปสี่สิบห้านาทีแล้วผู้การดาเมรอน และผมไม่คิดว่านั่นเป็นการเริ่มต้นทำงานวันแรกที่ดีเท่าไหร่นัก” เบนตำหนิ เรียบง่ายแต่ตรงไปตรงมา โพกำแบมือเร็วๆ อยู่สองสามครั้งเพื่อบรรเทาอาการปวด จ้องตาไม่คิดหลบเลี่ยง
“ผมหลงทางน่ะ ยังไม่ค่อยชินกับที่ทำงานใหม่ ทางเดินดำๆ เงาๆ พวกนี้มันดูเหมือนๆ กันไปหมด” แม้จะเป็นไปในเชิงอธิบายแต่ก็ผสมความกวนเล็กๆ ซึ่งน่าจะมาจากนิสัยส่วนตัวมากกว่าจงใจจะยั่วโมโหเจไดหนุ่ม เบนไม่ได้ตอบโต้อะไรก็จริงแต่การที่ดวงตาสีน้ำตาลได้หรี่แคบลงส่งผลให้สตอร์มทรูปเปอร์เพียงคนเดียวที่ยังเหลือในบริเวณนี้กลั้นหายใจหนักกว่าเก่า
เป็นเรย์อีกเช่นเคยที่กระตุกชายเสื้อคลุมตัวยาวของเขาเพื่อห้ามปรามอะไรก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น
เธอกวักมือ บอกให้เขาโน้มตัวลงมาก่อนจะป้องมือกระซิบข้างหูแค่ให้พอได้ยินกันสองคน ซึ่งท่าทางเหล่านั้นถูกจับสังเกตโดยลูกเรือคนใหม่อย่างผู้การดาเมรอนเป็นอย่างดี
“หน้าเครียดหมดแล้วเดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก” เธอหยอกเย้า ฉกฉวยโอกาส เรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหกเดือนเลยทีเดียวที่ได้เข้าใกล้เขามากขนาดนี้ ถ้าไม่นับตอนโดนดาบไม้ฟาดละก็นะ
ง่ายๆ เท่านั้นเองบรรยากาศกดดันที่มาสเตอร์โซโลแผ่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจก็หายไปในทันที ร่างสูงยืดตัวขึ้นตามเดิม และถ้ามองไม่ผิดเหมือนจะมีรอยยิ้มเล็กๆ แต่งแต้มมุมปากเสียด้วย แต่เพียงไม่นานก็หายไปและถูกแทนที่ด้วยท่าทีเคร่งขรึมตามเดิมเมื่อเขาหันมาพูดกับลูกจ้างคนใหม่ของเฟิร์สออเดอร์
“เชิญตามผมมาทางนี้ พันเอกฮักซ์และผู้กองฟาสม่ากำลังรอคุณอยู่”
เจไดหนุ่มหมุนตัว หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว โพขมุบขมิบปากเพื่อขอบคุณเรย์โดยไร้เสียงทีหนึ่งแม้จะไม่รู้ว่าเธอทำอะไรก็ตาม แต่เขามีความรู้สึกว่าเขาเพิ่งรอดจากโทสะของเจไดหนุ่มมาได้เพราะความช่วยเหลือของเด็กสาวล้วนๆ โพไม่ลืมที่จะหันไปร่ำลาฟินน์ด้วยการบอกว่าแล้วค่อยคุยกันใหม่นะ บีบีเอทที่กลิ้งตามเจ้านายไปไม่วายแอบชนขาสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มเบาๆ จนเจ้าตัวสะดุ้งจากภวังค์
ฟินน์ถอนหายใจเฮือก เขาสูดหายใจเข้าลึกออกยาวเพื่อสงบสติอารมณ์ เมื่อตั้งตัวได้แล้วก็ยิงคำถามใส่เพื่อนพาดาวันทันที
“โคตรจะน่ากลัวเลยให้ตายเถอะ มาสเตอร์เธอไปหงุดหงิดอะไรมา?”
เด็กสาวไหวไหล่
“รอนานเกินไปมั้งฉันว่า เขาไม่ชอบคนมาสายเท่าไหร่”
เรย์คาดเดา แม้จะเป็นความจริงเกี่ยวกับนิสัยของเบนแต่ก็นับว่าแปลกอยู่ดีที่เขาจะแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นชัดเจนถึงขนาดนี้ ซึ่งคำถามของฟินน์ก็นับว่าตรงประเด็นไม่น้อยเลยทีเดียว เบนไปหงุดหงิดอะไรมากันนะ?
ใช้เวลาหนึ่งวันก่อนที่ข่าวเรื่องการมาถึงของผู้การดาเมรอนจะแพร่ไปทั่วยานเดรทน็อท
เพราะภารกิจของเฟิร์สออเดอร์ที่ซับซ้อนและหลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ได้ผลักดันให้อาร์มิเทจตัดสินใจจัดตั้งกองกำลังสนับสนุนทางอากาศขึ้นมาอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที ยานเอ็กซ์วิงถูกประมูลซื้อ นักบินหลายร้อยคนได้รับการว่าจ้าง รวมถึงยอดนักบินแห่งสาธารณรัฐกาแลกติกใหม่ที่ถูกดึงตัวมาร่วมงาน
ซึ่งผู้การโพ ดาเมรอนคือคนคนนั้น
ด้วยเกียรติประวัติชั้นยอดและจดหมายแนะนำตัวจากวุฒิสมาชิกท่านหนึ่ง ผู้การดาเมรอนจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝูงบินแห่งเฟิร์สออเดอร์ตั้งแต่ยังไม่ทันจะแสดงฝีมือด้วยซ้ำ แม้จะมีความผิดติดตัวเล็กน้อยตรงที่มาสายตั้งแต่วันแรก ทว่าพันเอกฮักซ์ไม่ถือสา ซ้ำยังอนุญาตให้โพนำดรอยด์ส่วนตัวอย่างบีบีเอทขึ้นมาบนยานเดรทน็อทได้อีกด้วย
เจ้าหุ่นยนต์ตัวน้อยไม่ได้ถูกนำไปพ่นสีใหม่ก็จริง ทว่าเครื่องแบบนักบินของโพต้องเปลี่ยนใหม่หมด และแน่นอนว่าต้องออกมาในโทนสีดำและแดงตามความชอบของอาร์มิเทจเท่านั้น
แต่ฝีมือด้านการบินอันยอดเยี่ยมไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ข่าวของโพกระจายไปไวถึงเพียงนี้ ตามที่เรย์คาดการณ์ไว้ ใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรและท่าทีเป็นกันเองที่เข้าถึงง่ายนั่นต่างหากที่ทำเอาสาวๆ เกือบทั่วทั้งยานละเมอถึง มันเป็นสเน่ห์คนละแบบกับความเคร่งขรึมที่เจอไดหนุ่มแห่งเฟิร์สออเดอร์มี เพราะแบบนั้นกลุ่มแฟนคลับจึงแตกออกเป็นสองกลุ่มอย่างเงียบๆ
รวมทั้งเนื้อหาการพนันก็ด้วย
จากแต่เดิมที่เดากันว่าคนเป็นอาจารย์และลูกศิษย์จะได้ลงเอยกันเมื่อไหร่ ก็กลายเป็นว่าจะได้ลงเอยกับใครกันแน่เนื่องจากหลังผ่านไปสามอาทิตย์ ทุกคนก็เริ่มจะคุ้นตากับแก๊งทรีโอสุดประหลาดอันประกอบไปด้วยพาดาวันเรย์ สตอร์มทรูปเปอร์ FN-2187 และนักบินโพ ดาเมรอน โดยที่เรย์และเบนไม่ค่อยอยู่ด้วยกันเหมือนเคย
เพราะแบบนั้นข่าวลือแปลกๆ จึงเริ่มทยอยตามมาเป็นชุด
ตั้งแต่ฟินน์และโพกำลังแย่งกันจีบเรย์ ไปจนถึงที่จริงแล้วมาสเตอร์โซโลมีความสัมพันธ์ลับๆ อยู่กับพันเอกฮักซ์จึงไม่ได้สนใจพาดาวันของเขาเหมือนเคย บ้างก็ว่าศิษย์อาจารย์กำลังทะเลาะกันรุนแรงจนไม่อาจมองหน้ากันติด และบลา บลา บลา อีกมากมาย
ถูกตอกไข่ใส่สีเสียจนจัดจ้าน ซึ่งความเป็นจริงนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ร่ำลือกันมาเลยสักนิด
เบนกับอาร์มิเทจยังคงเกลียดขี้หน้ากันจนแทบจะบีบคออีกฝ่ายตายในทุกการประชุมได้เหมือนเคย แต่เพราะภารกิจรวบจับกลุ่มก่อการร้ายสุดอันตรายนามลิซซาเลี่ยนซึ่งซ่อนตัวอยู่บนดาวยาวินใกล้จะมาถึงแล้ว ทั้งคู่จึงจำใจตัวติดกันอย่างเลี่ยงไม่ได้เพื่อเตรียมความพร้อมในทุกรายละเอียดของภารกิจให้สมบูรณ์ที่สุด
ส่วนบทสนทนาระหว่างแก๊งทรีโอนั้น…ก็ไม่ได้มีอะไรที่ใกล้เคียงความโรแมนติกเลยสักนิด
“เหลือเชื่อ เจไดทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?” โพถามอย่างตื่นเต้นในสิ่งที่เรย์เพิ่งจะเล่าให้ฟัง เด็กสาวพยักหน้ายืนยันทั้งที่ยังเคี้ยวจนแก้มกลม ฟินน์ที่เพิ่งเดินมาถึงพร้อมถาดอาหารในมือถึงกับถอนหายใจเฮือกด้วยท่าทีระอาแม้จะไม่ได้ยินว่าเรย์และโพกำลังพูดถึงอะไรกันอยู่ก็ตามที
“ขอเตือนด้วยความหวังดี ห้ามเชื่ออะไรก็ตามที่แม่คนนี้เล่าให้ฟังเด็ดขาด เรื่องโม้ทั้งนั้น เชื่อฉันฉันเจอมาเยอะแล้ว โอ๊ย!!” สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มร้องลั่นเมื่อถูกเด็กสาวชกเข้าให้ที่ต้นแขนอย่างแรง เรย์ขมวดคิ้ว เถียงกลับด้วยเสียงอู้อี้เนื่องจากยังมีอาหารอยู่เต็มปาก
“แค่เพราะฉันยังทำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่ามาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ทำไม่ได้สักหน่อย”
“ไม่เอาน่ะ ส่งฟอร์ซไปสู้กับซิธลอร์ดทั้งที่ตัวเองอยู่อีกฝากของกาแลคซี่เนี่ยนะ ฟังยังไงก็โม้ชัดๆ” คนที่ไม่ศรัทธาในวิถีแห่งพลังเอ่ยพลางลูบต้นแขนของตนไปด้วย แต่กลับทำให้คนฟังซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างโพถึงกับเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้นขึ้นไปอีก
“เจไดทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ฟินน์เพิ่งจะพูดไปเป็นคนละเรื่องกับที่เรย์เล่าโดยสิ้นเชิง
“ได้สิ!” เรย์ร้องบอกเสียงใสพร้อมเอาคืนความไร้ศรัทธาของเพื่อนซี้ด้วยการจิ้มแฮชบราวน์ในจานอีกฝ่ายมาไว้ในจานตัวเองแทน และพอฟินน์จะตามมาเอาคืนเธอก็รีบโยนเข้าปากอย่างรวดเร็วซ้ำยังเคี้ยวโชว์ให้เจ็บใจเล่นอีกต่างหาก
“มาสเตอร์โซโลเลี้ยงเธอให้อดๆ อยากๆ หรือไงหา ทำไมถึงตะกละได้ขนาดนี้!!” ฟินน์โวยวายลั่นในขณะที่โพหัวเราะรวน มือหนาสีช็อคโกแลตเอื้อมมาแย่งพายในจานของเรย์ไปบ้างเป็นการเอาคืน เด็กสาวใช้ช้อนปัดป้อง แต่เพราะไม่คิดละความพยายามแก้แค้นง่ายๆ ส้อมของฟินน์จึงพุ่งเข้ามาปะทะด้วย ตอนนี้ทั้งคู่จึงเหมือนกำลังดวลเพื่อแย่งอาหารกันอยู่ยังไงยังงั้น
แน่นอนว่าศึกนี้จบลงด้วยการที่อาหารทุกอย่างย้ายไปอยู่ในกระเพาะของเรย์ตามเคย แม้จะเจ็บใจแค่ไหนฟินน์ก็ทำได้อย่างมากสุดแต่ต่อว่าเรย์ว่ายัยหลุมดำเหมือนเคยเท่านั้น สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มจำใจลุกไปเอาอาหารชุดใหม่มาอีกครั้ง เรย์ที่ยังมีพายแอปเปิ้ลอยู่เต็มปาก มิวายตะโกนฝากให้ฟินน์นำวาฟเฟิลบลูเบอรี่มาฝากด้วย เล่นเอาโพหัวเราะท้องคัดท้องแข็งเป็นรอบที่เท่าไรของวันแล้วไม่อาจทราบ
“ฉันละแปลกใจจริงๆ ที่เธอยังตัวแค่นี้อยู่ได้ทั้งที่กินเยอะขนาดนั้น” นักบินหนุ่มว่าพลางชี้นิ้วไปยังมุมปากขวาของตนเองเพื่อบอกเด็กสาวว่ามีเศษครีมจากพายเปื้อนอยู่
“ฉันก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน “เรย์พยายามใช้หลังมือเช็ดออกทว่าก็ยังเหลือติดอยู่นิดหน่อยอยู่ดี “แต่เบนไม่เคยให้ฉันอดนะ นายห้ามเชื่อที่ฟินพูดเด็ดขาด ฉันเป็นของฉันเองอย่างนี้ต่างหาก”
“ฮ่าๆ ฉันรู้”
โพพูดคำนี้บ่อยมากจนเหมือนเป็นประโยคติดปากไปเสียแล้ว
“แค่เห็นวิธีที่เขามองเธอก็รู้แล้วว่าเขาทะนุถนอมเธอขนาดไหน”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เรย์คงยืดอกรับแล้วพูดอย่างโอ๋ๆ ว่า ใช่แล้วที่เธอเป็นอย่างทุกวันนี้ได้เพราะมาสเตอร์ของเธอล้วนๆ ทว่าตั้งแต่ข้อตกลงในวันเกิดปีที่สิบห้าเริ่มต้นขึ้น เด็กสาวก็ไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้วว่าจะสามารถพูดแบบนั้นได้อยู่หรือไม่
“มันจะใช่แบบนั้นจริงๆ เหรอ” เรย์พึมพำ เป็นการพูดกับตนเองมากกว่าจะบอกเล่าให้คู่สนทนาได้เข้าใจ
แน่นอนว่าเบนยังคงพูดคุยกับเธอ เรย์ยังคงได้ร่ำเรียนกับเขา ทว่าเด็กสาวไม่รับรู้ถึงความพิเศษในโมงยามที่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว มันเหมือนเบนแค่ทำไปตามหน้าที่ให้ผ่านพ้นไปอีกวันเท่านั้น เขาปิดกั้นเธอจากความคิด ทุกวันนี้เธอแทบไม่สามารถรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเขาได้เลยด้วยซ้ำ
ไม่มีอีกแล้วสายสัมพันธ์แห่งพลังอันลึกซึ้งที่เชื่อมโยงเธอและเขาไว้ด้วยกัน และมันทำให้เรย์รู้สึกราวกับว่าเธอไม่ใช่พาดาวันของเขา แต่เป็นแค่นักเรียนธรรมดาคนหนึ่งอย่างที่ฟินน์เคยว่าไว้ไม่มีผิด
อาจเพราะแบบนั้น หลังๆ มานี้เด็กสาวจึงแทบจะตัวติดกับฟินน์ไม่โพอยู่ตลอดเวลา อาศัยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะจากการที่ได้อยู่ช่วยกันช่วยเติมเต็มช่องว่างในหัวใจ ความเหงาของเธอบรรเทาลงได้เพราะมิตรภาพที่มีรวมกันกับพวกเขา
ทว่าลึกลงไปเรย์รู้ดีว่าความรู้สึกโดดเดี่ยวนี้จะไม่มีวันหายไปหากไม่มีเบน
“อ๊ะ...”
ห้วงความคิดของเด็กสาวสะดุดลงเมื่อถูกปลายนิ้วหนาเกลี่ยครีมที่ยังติดอยู่ที่มุมปากออกให้ เป็นโพนั่นเอง เขายิ้มกว้างในขณะที่เอนตัวถอยกลับไปยังที่นั่งของตนเอง ประกายในดวงตาวิบวับขึ้นไปอีกเหมือนกำลังเห็นเรื่องสนุกยังไงยังงั้น และมันทำให้เรย์งงงันยิ่งนักว่าการช่วยดูแลไม่ให้เธอกินเลอะเทอะมันบันเทิงอย่างไร
“อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิ” นักบินหนุ่มว่าก่อนจะขยิบตาให้ “แล้วก็...ไว้ค่อยขอบคุณฉันทีหลังแล้วกัน”
“หา?”
เด็กสาวอุทานได้แค่นั้นก่อนจะต้องร้องเหวอเมื่อต้นแขนถูกฉุดโดยใครอีกคน ร่างบางเซไปปะทะอกกว้าง ไออุ่นที่คุ้นเคยแผ่ซ่าน กลิ่นอายที่คิดถึงโอบล้อม ส่งผลให้หัวใจเหมือนจะเต้นผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง
“เบน?”
เรย์เรียกชื่อมาสเตอร์ของเธออย่างประหลาดใจเนื่องจากประการแรก อีกฝ่ายไม่เคยย่างกรายเข้ามาในโรงอาหารของเหล่าทรูปเปอร์เช่นนี้มาก่อน ประการที่สองคือฝ่ามือร้อนผ่าวของเขากำลังกำรอบต้นแขนของเธออยู่ในขณะที่อีกมือวางสัมผัสบนสะโพก เรย์จึงเหมือนกำลังถูกโอบประคองโดยเบนอยู่ไม่มีผิด
ไหนว่ามีกฏห้ามใกล้ชิดเกินจำเป็นไง!! แล้วนี่มันอะไรกัน!!
“เธอมีเรียนช่วงบ่ายนะเรย์ อย่าบอกนะว่าลืมตารางอีกแล้ว” เบนว่า น้ำเสียงเข้มจัดเหมือนกำลังตำหนิเธอทว่าดวงตาสีน้ำตาลที่ทอประกายขุ่นมัวกลับจับจ้องไปที่โพอย่างไม่วางตา “ส่วนคุณ ผู้การดาเมรอน ตอนนี้คุณควรจะนั่งประชุมอยู่กับผู้กองฟาสม่าไม่ใช่หรือไง”
“บีบีไนท์อีมาแจ้งว่าเลื่อนเป็นบ่ายสองน่ะ ผมเห็นเวลาเหลือก็เลยมานั่งคุยกับเรย์เล่น” โพอธิบาย รอยยิ้มบนใบหน้าช่างดูยียวนอย่างไรชอบกล แม้แต่เรย์ก็สังเกตได้ “ขอโทษด้วยที่กักตัวพาดาวันของคุณไว้นานไปหน่อย แต่ที่จริงนี่ก็ยังไม่บ่ายโมงเลยด้วยซ้ำนะ”
เขายกมือซ้ายขึ้นมาสะบัดดูนาฬิกา ท้วงท่าประดิษประดอยอย่างจงใจจนหน้าหมั่นไส้
“อยากรู้จริงว่ามาสเตอร์โซโลผู้ตรงต่อเวลามีความจำเป็นอะไรให้ลูกศิษย์ตัวน้อยเข้าเรียนก่อนเวลาตั้งยี่สิบนาทีกัน?”
โอเค ตอนนี้เรย์แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าโพกำลังจงใจหาเรื่องเบนอยู่ แต่ทำไมกันละ? เขาถูกเบนตำหนิตั้งแต่ในวันแรกที่มาทำงานเรื่องมาสายก็จริง ทว่าเด็กสาวเคยแอบถามมาแล้วและโพบอกว่าไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังหัวเราะร่า เหมือนเห็นพฤติกรรมเครียดเคร่งของเบนเป็นอีกหนึ่งเรื่องสนุกด้วยซ้ำ
‘เป็นคนที่เหมือนจะซับซ้อนแต่ก็เข้าใจง่ายจนน่าเหลือเชื่อเลยแหละ’
โพตอบมาแบบนั้นตอนที่เรย์ถามว่าคิดยังไงกับเบนและมันสร้างความงุนงงให้เด็กสาวมาตลอด ซึ่งไม่ว่าจะเพียรถามเท่าไหร่ก็ไม่เคยมีคำอธิบายเพิ่มเติมตามมาเลยสักนิด พฤติกรรมในวันนี้ก็เหมือนกัน จงใจกวนประสาทเบนโดยใช้เธอเป็นเครื่องมือเนี่ยนะ? ไม่รู้โพคิดอะไรอยู่กันแน่??
“รู้แค่ว่ามันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณก็พอ” เบนตอบเสียงห้วน ริมฝีปากของเขาปิดสนิทแทบจะเป็นเส้นตรง มีเพียงหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นเท่านั้นที่พอจะบอกอารมณ์ในขณะนี้ได้ เขาย้ายตำแหน่งมือไปยังหลังของเรย์แทนแล้วออกแรงดันเบาๆ เพื่อให้เธอเดินไปกับเขา
คล้อยหลังศิษย์อาจารย์หายลับไปไกลแล้ว ฟินน์จึงได้โผล่ออกมาจากที่ซ่อนหลังเสาเพื่อกลับมานั่งที่
“นายต้องอายุไม่ยืนแน่เพื่อนถ้าขืนยังหาเรื่องมาสเตอร์โซโลอยู่แบบนี้” สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มส่ายหน้า น้ำเสียงติดระอาเพื่อต่อว่าความไม่รักตัวกลัวตายของนักบินหนุ่ม เขาอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินบทสนทนาทุกอย่างขณะเดียวกันก็ไกลพอจะเผ่นได้ทุกเมื่อถ้าสถานารณ์ตึงเครียดกลายเป็นแตกหักขึ้นมากะทันหัน
“ไม่ได้หาเรื่องสักหน่อย แค่แหย่เล่นหน่อยเดียวเอง”
“หน่อยเดียวของนายนี่คือเตรียมสั่งทำป้ายหลุมศพได้เลยนะ! ดีเท่าไหร่แล้วที่เรย์ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยไม่งั้นได้โดนพลังบีบคอแน่ๆ !” ฟินน์โวยวาย อีกนิดเดียวน่าจะเรียกว่าสติแตกได้เต็มปาก
“ฉันทำไปเพราะว่าเรย์อยู่ตรงนี้ต่างหาก ถ้าไม่อยู่ก็ไม่ทำหรอก”
ฟินน์ตีความประโยคนั้นไปว่าอย่างน้อยโพก็ยังฉลาดอยู่บ้าง เพราะการที่มีเรย์อยู่ด้วยย่อมหมายความว่าจะมีคนที่สามารถห้ามปรามโทสะของเบนและช่วยเหลือโพได้ทันเวลา ทั้งที่ความจริงแล้ว สิ่งที่โพจะสื่อก็คือถ้าเรย์ไม่อยู่ตรงนี้เขาก็ไม่มีอะไรไปยั่วโมโหเจไดหนุ่มน่ะสิ!!!
“ว่าแต่มาสเตอร์โซโลเป็นประเภทชอบทำร้ายร่างกายลูกน้องเหรอ?”
โพถาม ฟินน์นิ่งคิดไปนิดหนึ่งก่อนตอบเพื่อทบทวนความทรงจำ
“...ไม่อะ”
เบนอาจจะยังไม่เคยลงไม้ลงมือกับคนของเฟิร์สออเดอร์ให้เห็นก็จริงอยู่แต่อะไรๆ ก็ล้วนมีครั้งแรกได้ทั้งนั้น ที่ฟินน์คิดเช่นนั้นเพราะว่า...
“แต่เขาดูเป็นประเภทที่ทำได้ และจะทำแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านายไปยุ่งกับพาดาวันของเขา ถามจริงๆ เถอะนะโพ นายไปกวนโมโหมาสเตอร์โซโลเพื่ออะไรกันหา?”
“หมั่นไส้” หัวหน้าหน่วยสนับสนุนทางอากาศตอบหน้าตายทำเอาสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มถึงกับสะอึก ก่อนจะกลายเป็นเบ้หน้าเมื่อได้ยินประโยคที่ตามมา “แล้วก็เอ็นดูหน่อยๆ ด้วยละมั้ง”
“นั่นไม่น่าใช่คำที่เหมาะจะเอามาใช้กับคนอย่างมาสเตอร์โซโลได้เลยนะ”
โพยิ้มขำ ภาษากายสื่อชัดว่าคิดคนละอย่างกับฟินน์ เขาโน้มตัวข้ามโต๊ะเพื่อแย่งตักซอสบลูเบอรี่บนวาฟเฟิลเข้าปากไปคำหนึ่ง
“ฉันว่ามันเหมาะสุดๆ เลยด้วยซ้ำเมื่อดูจากปฏิกริยาตอบสนองของเขาเวลาที่ฉันกับนายอยู่ใกล้เรย์”
“ทำไมละ? พวกเราทำอะไรผิดงั้นเหรอ”
ฟินน์ทำหน้างงอีกแล้ว เห็นแบบนั้นโพเลยเป็นฝ่ายส่ายหน้าอย่างระอาบ้าง เพราะโตมาในโปรแกรมสตอร์มทรูปเปอร์ซึ่งวันๆ ทำแต่ฝึกยิงบลาสเตอร์กับเดินสวนสนามหรือเปล่านะ ฟินน์จึงได้ใสซื่อถึงขนาดอ่านสายตาและท่าทีที่ศิษย์อาจารย์มีให้กันไม่ออกได้ถึงเพียงนี้
แต่จะว่าไปก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะขนาดเจ้าของเรื่องอย่างเจไดหนุ่มและพาดาวันสาวยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าคิดกับอีกฝ่ายเกินเลยความสัมพันธ์ที่มีอยู่ไปขนาดไหนแล้ว โพอาจจะเพิ่งขึ้นมาบนยานเดรทน็อทได้แค่สามอาทิตย์และรู้จักกับเด็กสาวได้แค่ไม่นานนัก
แต่เขากล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าหลังจากนี้คงมีอะไรสนุกๆ ให้เขาทำอีกเพียบทีเดียวกว่าที่เบนและเรย์จะรู้หัวใจตนเอง
“เฮ้ อย่ามัวแต่ยิ้มสินายรู้อะไรก็ช่วยบอกให้ฟังบ้าง”
อย่างเช่นการแกล้งถอนหายใจอย่างระอาปนเอ็นดูใส่ฟินน์เป็นต้น
Chapter 10: Episode 10 Turning Point
Chapter Text
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เบนทำอะไรโดยไม่คิดขนาดนี้
“เบน!! เดี๋ยวก่อนสิ”
เรย์ทักท้วง พยายามขืนตัวออกห่าง และมันสร้างความไม่พอใจให้เขาเป็นอย่างมาก
มาก...เกือบจะเทียบเท่าตอนที่เห็นสตอร์มทรูปเปอร์คนนั้นได้รับรอยยิ้มกว้างจากเธอ ในขณะที่เขาทำได้เพียงพูดคุยอย่างห่างเหิน
มาก...เกือบจะเทียบเท่าตอนที่ผู้การดาเมรอนสัมผัสเธออย่างอาจหาญ ทั้งที่เขาจำทนยั้งตนเองแทบเป็นแทบตายมาตลอดหกเดือน
ความคิดเหล่านั้นสุมไฟในใจของเจไดหนุ่มให้ไหม้แรงกว่าเดิม เพราะแบบนั้นฝ่ามือหนาจึงย้ายจากแผ่นหลังบอบบางไปยังบั้นเอว ทั้งยังออกแรงดึงเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะทำให้เข้ามาอยู่ในเสื้อคลุมตัวเดียวกับเขาได้อยู่ร่อมร่อ ดวงตาสีเฮเซลนัทเบิกกว้างขึ้น เรย์ตัวแข็งทื่ออย่างคนทำอะไรไม่ถูก เบนอาศัยจังหวะนั้นก้าวเท้ายาวๆ โอบดึงให้เธอตามมาอย่างไร้ทางเลือก ผ่านไปสักพักหลังตั้งสติได้ เรย์ก็ขัดขืนเขาอีกครั้ง และคราวนี้มันมาพร้อมประโยคติติง
“เบนจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ” พาดาวันของเขาโวยวาย เป็นการย้ำเตือนกลายๆ ถึงกฏและข้อตกลงที่เขาสร้างขึ้นเองกับมือ กฏบ้าๆ ที่ผลักดันให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้งไม่ต่างจากเมื่อยังเยาว์วัย
ทว่าข้อแตกต่างคือมันเป็นความผิดของเขาเอง เขาเองที่สมควรถูกกล่าวโทษเนื่องจากรู้สึกมากเกินไปจนต้องพยายามหาทางกักเก็บโดยการถอยห่าง เขาเองที่ฟุ้งซ่านและขาดความยับยั้งชั่งใจจนต้องสร้างกฏที่ทำร้ายความรู้สึกของทั้งเขาและเธอขึ้นมา
และบัดนี้ทุกอารมณ์ที่เล็ดลอดจากในอกได้ทำให้เบนกลายเป็นคนที่งี่เง่ายิ่งกว่ากฏแห่งความเหมาะสมของเขาเสียอีก
“แต่สองคนนั้นทำได้งั้นสิ” เขาตอบ น้ำเสียงขุ่นมัวและชัดเจนด้วยวี่แววประชด
ร่างเล็กขมวดคิ้ว อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ตอนนั้นเองที่เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยลอยแว่วมา เสียงเกราะที่ขยับเสียดสีทำให้เดาได้ไม่ยากเลยว่าคงเป็นสตอร์มทรูปเปอร์ที่เพิ่งผลัดเวรและกำลังจะไปพักทานอาหารกลางวัน
และมันทำให้เขาได้สติว่ากำลังทำตัวงี่เง่าเพียงใด เบนปล่อยมือทันที ทำท่าจะก้าวถอยห่างเพื่อเว้นระยะ ความละลายใจและรู้สึกผิดวูบผ่าน
ทว่าในชั่วพริบตานั้นเรย์กลับตัดสินใจทำตรงข้าม เธอกระชากสาบเสื้อแล้วผลักร่างของเขาเข้าไปในห้องที่อยู่ใกล้ที่สุดแทน
ประตูปิดตัวลงทันพอดีก่อนที่เหล่าทหารแห่งเฟิร์สออเดอร์จะเดินมาถึง เรย์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เบนไม่ เขาไม่กล้าขยับตัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ด้วยซ้ำเนื่องจากท้วงท่าที่เป็นอยู่และความคับแคบของสถานที่
ตอนนี้ทั้งคู่กำลังซ่อนตัวอยู่ในห้องขนาดเล็กๆ ห้องหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด แต่ละด้านกว้างเพียงเมตรเดียวเท่านั้น ซ้ำยังอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาทำความสะอาดฉุนๆ
แม้จะเห็นได้เพียงรำไรเพราะไม่ได้เปิดไฟ แต่เจไดหนุ่มก็รับรู้ได้ว่าร่างกายของเขาและลูกศิษย์สาวอยู่ใกล้กันขนาดไหน เธอแทรกตัวอยู่ระหว่างขายาวๆ ของเขา มือข้างหนึ่งยังคงขยุ้มคอเสื้อตัวใน ในขณะที่อีกข้างเอื้อมมาปิดปากเขาไว้ ช่วงสะโพกและหน้าท้องเรื่อยมาจนถึงอกแนบสัมผัสจบแทบไม่มีช่องว่าง แม้จะสวมเสื้อผ้าเนื้อหนา แต่เจไดหนุ่มก็ยังรับรู้ได้ถึงความนุ่มนวลและไอร้อนจากร่างกายของเธออยู่ดี
ส่วนโค้งเว้าของเธอชัดเจนขึ้นมากทำเอาเบนกลืนน้ำลายเอื้อก เขาต้องกำมือแน่นเพื่อไม่ให้ตนเองเผลอไล้สัมผัสไปตามสัดส่วนเหล่านั้น ทว่าพอจะถอยหนีก็ดันชนเข้ากับชั้นวางของจนทำให้เกิดเสียงก้องแก้งเบาๆ ขึ้นมา
“ชู้ว” เธอปล่อยมือจากคอเสื้อเขาในที่สุดเพื่อแตะนิ้วชี้กับริมฝีปากของตนเอง “เดี๋ยวก็ถูกจับได้หรอก”
เกือบนาทีกว่าที่เสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าภายนอกจะหายไปจากโสตประสาท เรย์ปล่อยมือจากปากของเขาแล้วเลื่อนมาพักวางที่ไหล่หนาภายใต้เสื้อคลุมสีน้ำตาลแก่แทน เธอถอนหายใจพรืดอีกระลอก เป็นท่าทีที่เขาอ่านไม่ออกว่าเพราะกำลังโล่งอกที่ไม่ถูกจับได้หรือหนักใจที่มาติดอยู่กับเขากันแน่
แต่สำหรับเบน ตอนนี้เขากำลังหนักใจแน่นอน เพราะพาดาวันสาวได้ทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้นด้วยการพิงศีรษะลงมาที่อกของเขาพลางแนบซีกหน้าลงที่ตำแหน่งหัวใจซึ่งกำลังเต้นถี่รัว
จริงๆ ถ้าหน่วงเวลาไว้อีกสักนิดน่าจะเป็นการปลอดภัยมากกว่าที่จะพรวดพราดออกไปตอนนี้ ทว่าเบนไม่คิดว่าเขาจะอดทนได้นานนัก หกเดือนที่ห่างเหินทำให้เส้นความอดทนของเขาเบาบางลงทุกที ดูอย่างเหตุการณ์ในโรงอาหารก่อนหน้านี้สิ แค่เห็นผู้การดาเมรอนเอื้อมมือมาแตะพาดาวันของเขา แม้จะเพียงปลายนิ้วแต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้เบนสติหลุดแล้วคว้าตัวเรย์ออกมา
“สรุปว่ากฏห้ามเข้าใกล้ไม่ใช่แค่กับเบนแต่หมายถึงกับทุกคนเลยใช่ไหม”
เธอถาม ช่างก่ำกึ่งเหลือเกินว่ารู้ได้จากแอบอ่านใจเขาอีกแล้วหรือว่าเดาเรื่องราวเอาตามสถานการณ์กันแน่ แต่เบนคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เนื่องจากเขาปิดกั้นการเชื่อมโยงแห่งพลังระหว่างเขาและเธอมาสักพักแล้ว แม้ไม่รู้ว่าจะฝืนได้อีกนานแค่ไหนเพราะว่าพลังของเรย์ก็กล้าแข็งขึ้นทุกวัน แต่เบนคิดเสมอว่าจะต้องยืดการกระทำนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะควบคุมความคิดที่ไม่เหมาะไม่ควรของตนเองได้มากกว่านี้
“นอกจากจะห้ามฉันถูกตัวเบนแล้ว กับโพก็ห้ามด้วยเหรอ” เรย์ช้อนตาขึ้นมองสบกับเขา หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ “แล้วฟินน์ละ อ่อ แต่เรื่องนั้นไม่น่ามีปัญหานี่เนอะ ยังไงเขาก็ใส่เกราะเกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว งั้นถ้าเวลาฉันอุ้มคุณมิลลิเซนต์เล่นกับฮักซ์ละ นับด้วยหรือเปล่า ต้องยืนให้ห่างกี่ก้าวดี ฉันจะได้บอกทุกคนถูกว่ามาสเตอร์ของฉันไม่อยากให้เข้าใกล้เพราะมันไม่ ‘เหมาะสม’ ”
“เรย์อย่าประชด...”
พูดไปแล้วเบนก็อยากตบปากตนเองไม่น้อย เขาน่ะแหละที่ทำตัวขี้ประชดยิ่งกว่าเธอเสียอีก
“ฉันเปล่า” เด็กสาวแย้ง “ฉันแค่อยากเคลียร์ทุกอย่างให้แน่ใจจะได้ไม่โดนกระชากตัวจากโต๊ะอาหารอีก”
พอถึงตรงนี้คนเป็นลูกศิษย์ก็หันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างแสนงอน ความรู้สึกผิดกัดกินเบนยิ่งกว่าเดิม เจไดหนุ่มเหลือบมองข้อมือบอบบางที่วางอยู่บนไหล่ของเขา แสงสลัวเกินไปจนไม่สามารถแยกสีได้ แต่เบนเดาว่ามันคงช้ำเขียวไปแล้วแน่ๆ เนื่องจากโทสะทำให้เขาไม่ทันได้นึกถนอมและออมแรงไว้เลยสักนิด
“ฉันขอโทษนะยังเจ็บอยู่มั้ย” เจไดหนุ่มโน้มตัวไปกระซิบถาม มือหนาเอื้อมกุมรอบข้อมือเล็กไว้แบบหลวมๆ เขาได้กลิ่นหอมหวานเหมือนน้ำตาลไอซิ่งจากแก้มของเธอ เย้ายวนชวนกัดกิน
“ไม่หรอก” เธอหันหน้ามาตอบ น้ำเสียงอ่อนลงอย่างชัดเจน กลิ่นไอซิ่งอวลอยู่ในลมหายใจของเธอด้วยเช่นกัน มันทำให้เบนเผลอเลียริมฝีปาก “แต่ฉันไม่ชอบที่เบนทำแบบนั้น แล้วก็ไม่ชอบที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ด้วย”
นอกจากจะตำหนิท่าทีอันก้าวร้าวของเขาแล้ว เรย์ยังจงใจพูดถึงความห่างเหินระหว่างกันอีกด้วย ทั้งกฏและการกระทำที่ผลักไสให้พวกเขาทั้งคู่ต้องโดดเดี่ยวไม่ต่างจากตอนก่อนที่จะได้พานพบกัน เขาอยากบอกเธอเหลือเกินว่าเขาเองก็หว้าเหว่และเศร้าไม่ต่างกัน ทว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“ฉันเองก็ไม่ชอบที่เธอปล่อยให้เจ้านั่นทำแบบนั้นเหมือนกัน”
“ทำอะไร?” เธอถาม ขยับเอนตัวถอยหลังเพื่อเฝ้าสังเกตสีหน้าของเขา มือน้อยเลื่อนจากไหล่มาที่แผ่นอก เธอดูงุนงงไร้เดียงสา ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสร้างแรงกระเพื่อมไหวให้แก่หัวใจของเขามากมายเพียงใด มากจนไม่อาจยั้งใจได้อีกต่อไป
ช่างหัวมันเถอะไอ้เส้นกั้นบ้าบอที่เขาขีดขึ้น
ช่างหัวความเหมาะสมที่อาร์มิเทจย้ำวันละสามเวลา
ตอนนี้เขาแค่อยากจะทำตามหัวใจตนเองสักครั้งหลังจากต้องกล้ำกลืนฝืนทนมาถึงหกเดือน
เบนยกมือขึ้นมาประคองแก้มของเรย์ นิ้วโป้งปัดผ่านมุมปากอย่างเผลอไผลแต่ก็จงใจไปพร้อมกันอย่างน่าประหลาด ตำแหน่งเดียวกับที่มีครีมติดอยู่และโพช่วยเช็ดให้ ราวกับจะลบร่องรอยของนักบินหนุ่มให้หมดไป เขาตอบคำถามก่อนหน้านี้ด้วยน้ำเสียงเข้มลึก ไม่ใช่การใส่อารมณ์อันคุกรุ่น แต่เพราะกำลังยับยั้งตนเองไม่ให้เผลอทำมากไปกว่านี้
“สัมผัสเธอ แตะต้องตัวเธอ มัน...”
“ไม่เหมาะสม” เรย์ต่อคำให้ น้ำเสียงเข้มขึ้นเช่นกันอย่างอดไม่ได้ “จะพูดคำนี้ใช่ไหม”
“เปล่า จะบอกว่ามันทำให้ฉันทนไม่ได้” คำตอบของเขาทำให้เรย์นิ่งขึ้งไป ดวงตาสีเฮเซลนัทกะพริบพราวอยู่สองสามครั้งราวกับกำลังรวบรวมความคิด
“ฉัน...งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจเอามากๆ”
คำพูดของเรย์ทำให้มุมปากของเบนบิดโค้งเป็นรอยยิ้ม การกระทำของเธอทำให้ยิ้มเขากว้างยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเธอเอียงใบหน้าเล็กๆ เข้าหาฝ่ามือของเขาราวกับโหยหาในสัมผัสและไออุ่นระหว่างกันเช่นกัน เธอซุกไซ้ราวกับลูกแมวตัวน้อย หัวใจของเขาอ่อนยวบ ดังนั้นตอนที่เรย์เอื้อมมืออีกข้างมาหา เบนจึงยอมให้เธอกอบกุมและเกี่ยวนิ้วประสานแต่โดยดี
“แต่ฉัน...พอจะเดาเรื่องราวได้บางส่วน ถึงมันจะเหมือนการคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปหน่อยก็เถอะ แต่ฉันก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันต้องเป็นแบบนั้น”
ไม่หรอก เธอไม่ได้เข้าข้างตัวเองหรอก เพราะไม่ว่าจะเมื่อไหร่ความคิดและการกระทำของเขาก็ผูกโยงไว้กับเธอเสมออยู่ดี
“เราดีกันหรือยัง? ” เรย์ถาม จงใจใช้ถ้อยคำที่คุ้นเคยกันดีในความทรงจำ
“ขึ้นอยู่กับคำว่าดีของเธอหมายถึงอะไร”
“เรากลับไปเป็นแบบเดิมได้หรือยัง? ”
เบนนิ่งไปทันที เขาเม้มริมฝีปาก ท่าทีเช่นนั้นคงทำให้เรย์คาดเดาคำตอบได้ไม่ยาก
“งั้นเราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว”
เด็กสาวสะบัดมือที่กุมกันไว้ออก เธอหมุนตัว ทำท่าจะผละไปยังประตู ไออุ่นที่ลอยห่างไปทำให้หัวใจของเบนวูบโหวง กว่าจะรู้ตัวเขาก็รั้งต้นแขนของเรย์แล้วดึงร่างที่สูงเพียงอกเข้ามาในอ้อมกอด เธอทุบหลังเขาอยู่หลายทีเพื่อประท้วงความอุกอาจนี้ แต่แทนที่จะปล่อยเบนกลับรัดแน่นขึ้น ทั้งยังซุกใบหน้าลงกับลาดไหล่ของเด็กสาว
“ฉันขอโทษ” เจไดหนุ่มกล่าวย้ำ “แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงเหมือนกัน”
ดูเหมือนความไหวระริกในน้ำเสียงของเขาจะทำให้เรย์หยุดดิ้นรนได้ในที่สุด
“ก็ทำเหมือนเคยสิ” พาดาวันของเขาเสนออย่างกึ่งเอาแต่ใจก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาโอบรอบตัวของเขากลับ เธอเบียดตัวเข้าหา ฉกฉวยและซึมซับความใกล้ชิดนี้ไม่ต่างกัน “ไม่เห็นต้องไปคิดมากเลย อยากเจอก็เดินมาหา อยากจับมือก็แค่ยื่นมือมา อยากกอดก็อ้าแขนออก เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากด้วย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเหมือนที่แล้วๆ มาก็สิ้นเรื่อง”
“ไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอก ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามเวลาทั้งนั้นแหละ”
“มันใช่เวลามายกอ้างสัจธรรมของเจไดมั้ยเนี่ย! ”
คำค้านของเบนส่งผลให้เรย์ประทุษร้ายเขาโดยการทุบหลังดังอั้กอีกครั้ง เบนเอาคืนด้วยการกอดแน่นๆ จนคนตัวเล็กกว่าแทบหายใจไม่ออก อีกอึดใจถัดมาเสียงหัวเราะแผ่วจางก็ประสานดังขึ้นในห้องคับแคบ หกเดือนเป็นระยะเวลาอันแสนสั้นแต่กลับนำพามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงมากมายเหลือเกิน เรย์ตัวสูงขึ้นอีกแล้ว เสียงก็เปลี่ยนเป็นแหลมหวานมากขึ้นเช่นเดียวกับรูปร่างที่นุ่มนวล เหมือนดังดอกไม้ที่เริ่มผลิบานในฤดูร้อน สดใส งดงาม ยากที่จะละสายตา
เบนเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่ใช่ที่รูปร่างภายนอก แต่เป็นความไหวหวั่นข้างใน
เขาจำได้ว่าเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน หลายปีที่แล้วสมัยเรย์ยังเล็กตอนเธอแอบปีนเข้ามาในห้องนอนของเขา อาจไม่มากมายหรือไม่ชัดเจนเท่านี้ แต่เบนจำได้ดีว่าเขาบอกปัดความรู้สึกของตนเองด้วยคำพูดเช่นไร อีกไม่นานมันจะหายไป หากเรย์โตขึ้นจะวางตัวได้ดีกว่านี้ ความฟุ้งซ่านสับสนของเขาก็จะหายไปเอง
ทว่าเบนคิดผิด ผิดมหันต์เลยทีเดียว
ความรู้สึกข้างในไม่ยอมลดลง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรต้องเรียกมันว่าอะไร
“งั้นอย่างน้อยก็ให้พลังเชื่อมโยงเราไว้เหมือนเดิมได้มั้ย” เรย์คลายอ้อมกอด ช้อนตาขึ้นมองแล้วต่อรอง ทุกอย่างที่เป็นเธอทำให้หัวใจของเบนหวั่นไหว “ต่อให้ไม่ได้กอดหรือจับมือ แต่ถ้ายังรู้สึกถึงพลัง ฉันก็จะยังมีเบนอยู่เสมอ”
เบนเกือบจะพยักหน้ายินยอมอยู่แล้วตอนที่เรย์เอ่ยสำทับด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“นะคะ...มาสเตอร์”
คำๆ นั้นฉุดเขาขึ้นมาจากภวังค์อันอ่อนหวาน กระชากเขาขึ้นมาให้เผชิญหน้าความเป็นจริงของสถานะที่เป็นอยู่ มาสเตอร์และพาดาวัน อาจารย์กับลูกศิษย์ กำแพงสูงชันที่ก่อร่างมาจากหน้าที่ ฐานะและอายุ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนมันก็จะไม่มีวันหายไป
นี่เขาทำบ้าอะไรอยู่กัน การปล่อยให้หัวใจเป็นอิสระเหนือความคิดและหลักเหตุผลก็ไม่ต่างอะไรจากการยินยอมถล้ำเข้าสู่ด้านมืดเลยสักนิด ในชั่ววูบหนึ่งอาจเหมือนได้รับการเติมเต็ม เฉกเช่นความรู้สึกที่มีเรย์อยู่ในอ้อมกอดขณะนี้ แต่เบนรู้ดีว่าเมื่อก้าวออกจากห้องเล็กแคบแห่งนี้ เขาจะถูกทิ่มต่ำด้วยเหตุผลและความเหมาะสมที่เขาพยายามมองข้ามอยู่ดี
พอสักที เขาต้องหักห้ามใจตนเองให้ได้ เขาต้องทำให้มันหนักแน่นและถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็นเสียที
เจไดหนุ่มผงะถอย เขายืดตัวตรงเอื้อมมือไปเปิดประตูเสียเอง
“เบน...” เรย์ร้องเรียกอย่างงุนงงแต่ไม่อาจหยุดยั้งการตัดสินใจของเขาได้ แสงสว่างจากภายนอกสาดส่องเข้ามาในที่สุด ทว่าในใจของเขากลับมืดมิดยิ่งขึ้นไปอีก
“ไม่ว่ายังไงกฏก็ต้องเป็นกฏนะยังลิ่ง”
เขาเลือกใช้คำนั้นเพื่อตอกย้ำสถานะ ความอ่อนเยาว์ของเธอ ความเป็นผู้ใหญ่ของเขา เหยียดขยายช่องว่างระหว่างกันจนแทบจะกลายเป็นผากว้าง
“ฉันต้องขออภัยด้วยสำหรับการกระทำอันอุจอาจและไม่เหมาะสม ดูเหมือนต่อให้เป็นมาสเตอร์แต่ฉันเองก็ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ แต่ฉันรับรองกับเธอได้ว่าจะไม่มีทางเกิดเหตุการณ์ ‘เช่น’ นี้อีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน”
หากคำพูดเปลี่ยนเป็นคมมีดได้ บัดนี้มันคงกรีดเบนจนเป็นแผลเหวอะแหวะ
รวมทั้งเรย์ด้วย
ดวงตาสีเฮเซลนัทคู่นั้นวาวด้วยหยาดน้ำ ทว่าสีหน้าของเธอกราดเกรี้ยว ในชั่วขณะหนึ่งเบนสัมผัสได้ถึงด้านมืด ก่อร่างก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากเปลวไฟที่ไหวดับ มันถูกแทนที่ด้วยความผิดหวังที่ถูกเขาทอดทิ้งและผลักไสอีกครั้ง
“ทราบแล้วค่ะมาสเตอร์”
น้ำเสียงของเรย์ไม่มีแววประชด มันนิ่งเรียบและจริงจังจนเกือบเรียกได้ว่าห่างเหิน เหมือนช่องว่างที่เขาจงใจสร้างนั่นแหละ ร่างบางสาวเท้ายาวๆ ก้าวผ่านเขาไป เธอเหลียวมามองแวบหนึ่ง เม้มริมฝีปากสะกดกลั้นคำพูด แต่สุดท้ายก็เลือกจะเดินต่อไป
ทิ้งเบนไว้เพียงลำพังกับไออุ่นและกลิ่นกายของเธอที่จางลงทุกที
เรย์ไม่ได้เล่าให้ใครฟังทั้งนั้นว่าเธอทะเลาะกับเบน
แต่เจ้าบรรยากาศหนักหน่วงมึนตึงที่เธอและคนเป็นมาสเตอร์พกพาไปด้วยทุกที่ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษเวลาเผชิญหน้ากันคงทำให้ใครต่อใครสังเกตได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ชิดอย่างฟินน์และโพ
ขณะนี้ทั้งสามยืนคุยกันอยู่ในโรงเก็บยาน สตอร์มทรูปเปอร์หลายร้อยนายทยอยเดินสวนสนามกันเข้ามาพร้อมอาวุธยุทโทปกรณ์และเสบียงสำหรับภารกิจกวาดล้างผู้ก่อการร้ายบนดาวยาวินซึ่งกำลังจะเริ่มในไม่ช้า ฟินน์เองก็อยู่ในชุดเกราะสีขาวทั้งตัวเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่ได้สวมหมวก เขาเตรียมงานส่วนของตนเองเสร็จแล้วจึงแวะมาพูดคุยกับโพซึ่งสวมชุดนักบินสีดำ มีแถบข้างลำตัวสีแดงและเสื้อกั้กอีกชั้น บีบีเอ็ทกำลังเชื่อมต่อระบบเช็คยานเอ็กซ์วิงให้อยู่ไม่ห่าง
เรย์ตามมาทีหลัง เด็กสาวอยู่ในชุดเครื่องแบบพาดาวันสีขาวหม่น คลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำตาลแก่ตัวโคร่งอีกชั้นอย่างเต็มยศ เปียที่ข้างหูขวาถูกถัดแบบหลวมๆ และไม่เรียบร้อยเนื่องจากคนถักไม่ยอมถักให้เหมือนเคย
“มัฟฟินมั้ย? ”
โพเอ่ยทักทันทีที่เห็นเรย์พร้อมยื่นถุงกระดาษโชยกลิ่นวานิลลากับช็อคโกแลตมาให้ มองแวบเดียวก็รู้ว่าจงใจเตรียมมาให้เธอโดยเฉพาะเนื่องจากนักบินหนุ่มแห่งเฟิร์สออเดอร์ไม่ค่อยชอบของหวานหรือการกินจุกจิกเสียเท่าไร
“โพ...” เรย์เรียกอย่างอ่อนอกออ่อนใจทว่าก็รับขนมมาแต่โดยดี อีกฝ่ายทำแบบนี้มาสักพักแล้วตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่โรงอาหารตอนเบนมาลากตัวเธอออกไป
โพทำไปเพื่อชดเชยความผิด เนื่องจากเรย์คิดถูก เขาตั้งใจยั่วยุให้มาสเตอร์ของเธอโมโหจริงๆ เสียด้วย
“ฉันขอโทษจริงๆ เรย์ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ ฉันนึกว่ามันจะเปิดโอกาสให้เธอกับมาสเตอร์โซโลได้คืนดีกัน แต่ฉันคงคิดอะไรง่ายเกินไปหน่อยเธอกับเขาเลยทะเลาะกันหนักกว่าเดิม ขอโทษจริงๆ นะ”
เพื่อนนักบินสารภาพทันทีที่เห็นเธอเดินคอตกน้ำตาคลอกลับมา หลังจากนั้นโพก็ตามดูเลเธอไม่ห่าง ถือของให้บ้าง เอาขนมมาให้บ่อยๆ บางครั้งก็ให้เธอยืมบีบีเอ็ทมานอนเล่นเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ เรย์เคยพยายามพูดปลอบโพอยู่ครั้งหนึ่งว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา
“จริงๆ เราก็ดีกันได้อยู่นะ แบบ...สักห้านาทีได้ก่อนจะวกกลับไปเป็นแบบเดิมอีก แต่ไม่ใช่เพราะโพหรอกนะ คือยังไงดีละ ฉันว่าสุดท้ายแล้วระหว่างฉันกับเบนก็คงกลายเป็นแบบนี้เข้าสักวันอยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมากไปหรอก”
ซึ่งมันลงเอยด้วยการทำให้โพคิดมากและติดตามดูแลเธอยิ่งกว่าเดิมเสียอีก แรกๆ เรย์ก็อึดอัดนิดหน่อย แต่นานไปก็เริ่มชิน เพราะอย่างน้อยช่องว่างในใจเด็กสาวก็ได้รับการเติมเต็มอยู่บ้าง
เรย์ไม่แน่ใจว่าเธอทำอะไรผิดไปตรงไหนสถานการณ์ระหว่างเธอและเบนถึงได้แตกหักจนกลายเป็นแบบนั้นได้ คำขอร้องของเธอไม่ได้หนักหนาอะไรเลยสักนิด เธอไม่ได้งอแงบอกให้เบนยกเลิกกฏเรื่องระยะห่างอันเหมาะสมด้วยซ้ำ เธอแค่ขอให้เขาทลายกำแพงที่ปิดกั้นลงและปล่อยให้พลังยึดโยงทั้งคู่ไว้ด้วยกันอีกครั้งเท่านั้นเอง
คนอื่นไม่จำเป็นต้องรู้ เธอจะไม่มีวันบอกให้ใครรู้ เท่านี้ก็จะได้ทั้งภาพลักษณ์ภายนอกที่เหมาะสมและความอบอุ่นภายในอย่างที่เธอปรารถนา แต่มาสเตอร์ของเธอกลับตัดรอน นอกจากจะปฏิเสธข้อเสนอแล้วยังเรียกเธอด้วยน้ำเสียงแบบนั้นอีกต่างหาก
เพราะฉะนั้นเรย์จึงตัดสินใจโยนการกระทำนั้นใส่หน้าเบนกลับไปบ้าง
สุภาพแต่ห่างเหิน ทางการและเย็นชา
มันเหมือนสงครามประสาทเพื่อดูว่าความอดทนของใครจะหมดลงก่อนกัน
“ขอฉันกินบ้างได้มั้ย” ฟินน์เอ่ยพลางเอื้อมมือมาจะฉกถุงมัฟฟินไปเปิดดู ไม่ถึงต้องมือโพ บีบีเอ็ทก็จัดการห้ามให้โดยการกลิ้งเข้ามาชนหน้าแข้งฟินน์อย่างแรง เรียกได้ว่าถ้าไม่สวมเกราะอยู่ละก็อาจมีการกระดูกร้าวได้เลยด้วยซ้ำ ฟินน์ถึงกับตัวเซ ต้องปัดแขนไปมาในอากาศอยู่หลายทีกว่าจะทรงตัวได้
“โอ๊ย!! เลิกประทุษร้ายฉันสักทีเถอะ”
“ปิ้ว บี้บบี้บบี้ดดดด”
ประโยคทะเลาะกันแบบไร้สาระระหว่างหุ่นดรอยและสตอร์มทรูปเปอร์ทำให้เรย์หัวเราะได้ทุกครั้ง โพยิ้มมุมปาก แอบส่งนิ้วโป้งให้บีบีเอ็ทขณะมุบมิบปากไปด้วยว่าเยี่ยมมากคู่หู เจ้าดรอยสีส้มสดใสยื่นแขนกลที่จุดไฟได้ออกมาเลียนแบบท่าทางนั้นเช่นกัน
“ว่าแต่...” ฟินน์เกริ่น และเรย์ไม่ชอบความเกร็งใจหนึ่งส่วนผสมความอยากรู้อีกสามส่วนในน้ำเสียงของเขาเอาเสียเลย “เธอคุยกับมาสเตอร์โซโลบ้างหรือยัง? ”
นั่นไงว่าแล้วเชียว เรย์ยั้งตนเองไม่ให้กรอกตาในขณะที่ตอบกลับไป
“เราคุยกันทุกวันอยู่แล้วฟินน์”
“ไม่ใช่ ไม่เอาแบบนั้นสิ ไม่เอาแบบ ‘วันนี้เราจะมาเรียนเรื่อง...’ กับ ‘ทำใจให้นิ่งเพื่อเปิดรับพลัง...’ อะไรเทือกนั้น เขาทักทายเธอบ้างมั้ย ดูแลเธอหรือเปล่า หรือไม่ก็...โอ้ย ให้ตายเถอะ ฉันจะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน”
ขณะพูด ฟินน์ก็ปัดมือไปมาในอากาศอย่างออกท่าออกทางเหมือนเคย
“เพราะเธอไม่ยอมเปิดปากเล่าฉันเลยไม่รู้เลยสักนิดว่าเธอกับมาสเตอร์โซโลทะเลาะอะไรกัน แต่ที่แน่ๆ คือเขาเอาทั้งหมดนั้นมาลงที่พวกฉันเต็มๆ เธอรู้มั้ยว่าในหลักสูตรซ้อมรบมหาโหดกับเขาครั้งล่าสุดมีคนโดนห่ามเข้าห้องพยาบาลไปยี่สิบคน ยี่สิบคนเลยนะ!! ยังไม่นับว่าเขาแผ่บรรยากาศตึงๆ ออกมาทุกครั้งที่เดินตามฟาสม่าหรือฮักซ์เข้ามาเจอเธออยู่กับพวกฉันต่างหาก!! ”
“ว้าว ยินดีด้วยเพื่อน นายเพิ่งจะทำให้ประโยคแสดงความเป็นห่วงเรย์กลายเป็นการบ่นกระปอดกระแปดไปเสียได้” โพตบบ่าฟินน์หนักๆ อยู่สองสามครั้งเป็นการปลอบใจในความยากลำบากที่ต้องผชิญและเพื่อทำโทษกลายๆ
“ฉันรู้” ฟินน์แปะหน้าผากเข้ากับฝ่ามือที่พลาดหลุดปากออกไป “แต่ฉันห่วงเธอจริงๆ นะเรย์ เธอดูไม่ร่าเริงเอาซะเลยตั้งแต่ทะเลาะกับเขา”
“ฉันสบายดีฟินน์”
“แต่ฉันไม่สบาย” เจ้าตัวหลุดปากบ่นมาอีกจนได้ เรย์ไม่คิดโกรธ เธอหลุดหัวเราะให้กับท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเขาเสียด้วยซ้ำ “ไม่รู้ฉันกับพวกทรูปเปอร์คนอื่นๆ จนทนไม้ทนมือมาสเตอร์ของเธอได้อีกกี่น้ำ ขอละ รีบๆ คืนดีกันทีเถอะ อะไรๆ จะได้กลับไปเป็นเหมือนเดิมเสียที”
เหมือนเดิม...คำๆ นั้นกระแทกใจเด็กสาวเข้าอย่างจัง มันทำให้ประโยคของเบนดังก้อง ประโยคที่ว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิม ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปตามกาลเวลาทั้งนั้น นี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่เวลาทำให้เปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่านะ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเบนจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้วจริงๆ หรือ
เด็กสาวเหลือบมองขึ้นไปยังหอควบคุมการบินซึ่งอยู่สูงขึ้นไป รอบด้านกรุด้วยกระจกใสทำให้สามารถมองเห็นทุกคนที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจน
เบนยืนอยู่ตรงนั้น สองมือไพล่ขัดหลัง ดวงตาหลุบต่ำมองลงมาอย่างไม่เจาะจง มันเหมือนเขาแค่กำลังกวาดตาตรวจเช็คผู้คนและสถานที่ไปเรื่อย แต่เรย์รู้ดีว่าแท้จริงแล้วสายตาของเขาติดตรึงอยู่ที่เธอเท่านั้น เพราะต่อให้พยายามปิดกั้นเท่าไร ไม่ว่ายังไงเธอก็ยังรู้สึกถึงเขาอยู่ดี เหมือนที่เขาจะยังรู้สึกถึงเธอเสมอ
พาดาวันสาวแหงนหน้าขึ้น มองสบตากับคนเป็นมาสเตอร์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละกลับมาพูดคุยกับเพื่อนๆ ต่อพร้อมข่มกลั้นความรู้สึกปวดร้าวที่กำลังขยายตัวกัดกินหัวใจเธอไปด้วย
“อย่างที่กล่าวไป ขอให้ทุกท่านทำหน้าที่ส่วนที่ได้รับมอบหมายไปอย่างเคร่งครัดด้วย”
อาร์มิเทจซึ่งยืนอยู่ตรงหัวโต๊ะตัวยาวกลางห้องสรุปการประชุมให้ฟัง โต๊ะตัวยาวเกือบห้าเมตรกำลังฉายภาพโฮโลแกรมจำลองแหล่งกบดานของเหล่าลิซซาเลี่ยน มันเป็นปราสาทโบราณทรงเหลี่ยมสร้างจากหินและอิฐซึ่งล้อมรอบด้วยป่าไม้รกทึบ ด้านหลังพันเอกแห่งเฟิร์สออเดอร์คือผู้กองฟาสม่าในชุดเกราะสีเงินวาวซึ่งยังคงถืออาวุธครบมือเหมือนเคย
เหล่าเจ้าหน้าที่ยศสูงต่างขานรับอย่างแข็งขัน คงเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไร้ปฏิกริยาตอบสนอง ที่จริงแล้วต้องพูดว่าไม่สนใจจะฟังด้วยซ้ำมากกว่า
“มาสเตอร์โซโลมีอะไรจะเสริมมั้ย?”
เพราะนอกจากจะไม่ได้ยืนล้อมวงรอบโต๊ะรวมกันแล้ว เจไดหนุ่มยังยืนชิดติดริมหน้าต่าง ทอดสายตามองไปด้านนอกอย่างเหม่อลอยอีกต่างหาก
“มาสเตอร์โซโล”
อาร์มิเทจเรียกซ้ำแต่ก็ยังไร้ปฏิกริยาตอบสนอง
“โซโล”
น้ำเสียงเข้มขึ้นพร้อมความอดทนที่หมดลงทุกที
ด้วยความหมั่นไส้ผสมหงุดหงิดอาร์มิเทจจึงคว้าปากกามาจากอกเสื้อเจ้าหน้าที่อยู่ข้างกันแล้วปาออกไปอย่างแรงโดยหมายเล็งศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำหยักศก
ฟึบ
แต่เพราะมีพลังสถิตย์กับตัว เบนจึงรอดพ้นการโจมตีได้อย่างง่ายดายด้วยการเอียงคอหลบเพียงน้อยนิดพร้อมยกมือขึ้นมากำด้ามปากกากไว้อย่างแม่นยำ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองวัตถุโลหะในมือเล็กน้อยก่อนจะเหลียวกลับไปมองคู่หูที่ยืนทำหน้าทมึงทึงอยู่หน้าโต๊ะจำลองยุทธการณ์การรบ
“จะสนใจฉันได้หรือยังโซโล” พักเอกฮักซ์กล่าวตำหนิอย่างอ้อมค้อม แต่บรรยากาศตึงเครียดระหว่างสองคู่หูเป็นของจริงแน่แท้ไม่มีหลอก เพราะแบบนั้นเจ้าหน้าที่ระดับสูงจึงพากันลอบกลืนน้ำลายเอือกแล้วถอยเท้าหนีอย่างช้าๆ ปล่อยให้พันเอกผมแดงและเจไดผมดำยืนเผชิญหน้ากันเองพอ เพราะถึงจะได้ยินมาบ่อยครั้งว่าสองคู่หูมักไม่ค่อยลงรอยและมีปากเสียงกันตลอด แต่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของหลายๆ คนเลยทีเดียวที่ได้มายืนชิดติดขอบเวทีขนาดนี้
“ทบทวนกันมาเป็นร้อยรอบแล้ว ฉันจำได้ขึ้นใจหมดแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง” เบนเดินผละออกจากหน้าต่างได้ในที่สุด น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งทว่าท่าทีนั้นตรงข้าม เพราะไม่ทันขาดคำเขาปาก็ปากกากลับคืนไปให้อาร์มิเทจอย่างรวดเร็วจนผู้ชมโดยรอบไม่ทันส่งเสียงร้องแสดงความตกใจด้วยซ้ำ
หมับ!
ฟาสม่าเหมือนรอจังหวะอยู่แล้วจึงเป็นฝ่ายเอื้อมมือมาคว้าจับไว้ให้โดนที่อาร์มิเทจไม่ต้องขยับตัวแม้แต่น้อย ปลายแหลมอยู่ห่างจากดวงตาสีฟ้าสดเพียงครึ่งนิ้วเท่านั้น ทุกคนพากันกลืนน้ำลายเอื้อกแล้วถอยไปอีกคนละหลายก้าวด้วยกลัวลูกหลง เห็นแบบนั้นอาร์มิเทจจึงตัดสินใจสั่งให้ลูกน้องแยกย้ายกันไปทำงาน
“ตรวจเช็คความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายด้วย อีกสี่สิบนาทีเราจะเอายานออก”
เจ้าหน้าที่สลายตัวกันอย่างไวว่อง จึงกลายเป็นว่าทั้งหอบังคับการบินตอนนี้เหลือเพียงสามคนเท่านั้นคืออาร์มิเทจ เบนและฟาสม่า
เจไดหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งที่ปลายโต๊ะ ท่าทีเรียบเฉยราวกับว่าความพยายามฆ่าแกงกันเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องหยอกเล่นและไม่ควรคิดเอามาถือสา และเมื่อดูจากความรุนแรงในการถกเถียงกันแต่ละครั้งระหว่างเขาและคนผมแดง แค่ปาปากกาใส่กันก็นับว่าหยอกเล่นจริงๆ น่ะแหละ
อาร์มิเทจเป็นคนแรกที่เปิดปากทำลายความเงียบ และแน่นอนว่าต้องเป็นการตำหนิ
“จดจ่อกับงานหน่อยโซโล ฉันนึกว่าสมาธิคือคุณสมบัติหลักของการเป็นเจไดคือเสียอีก”
“แล้วฉันเหมือนคนไม่ทำงานตรงไหน” เบนแย้ง เล่นเอาพันเอกและผู้กองคู่ใจถึงกับหันมองหน้ากันเลยทีเดียว
“เอาแหละโซโลหมดเวลาทำตัวงี่เง่าแล้ว” อาร์มิเทจเดินมาหยุดยืนตรงหน้า เบนจึงจำใจต้องเท้าคางเงยหน้าขึ้นมอง “เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่เล่ามาเดี๋ยวนี้”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น” เจไดหนุ่มหลุบตาไปทางอื่น
“ไม่มีอะไรของนายคือการแผ่บรรยากาศมาคุจนพวกเจ้าหน้าที่ตัวสั่นกันเป็นแถบๆ มาเกือบสองอาทิตย์และซ้อมรบหนักมือจนพวกทรูปเปอร์โดนห่ามส่งหน่วยพยาบาลกันเป็นขโยงเนี่ยนะ” อาร์มิเทจเลิกคิ้วสูง เน้นย้ำบางคำอย่างจงใจประชดแดกดัน
เบนเถียงงุบงิบๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ แบบคนมีความผิดติดตัวและถูกจับได้
“ทีนายกับฟาสม่ายังไม่เป็นเป็นอะไรเลย”
“เพราะดิชั้นชินแล้วไงคะ” ร่างสูงในเกราะแวววาวตอบแทนให้ “เวลาพันเอกกับมาสเตอร์โซโลเถียงกันแรงๆ ทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกที ถึงจะแค่ครั้งละไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ทำให้ดิชั้นมีภูมิคุ้มกันพอตัว แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่ใช่ใช่มั้ยคะ เพราะลากยาวมาเป็นอาทิตย์ขนาดนี้มันไม่ปกติแล้ว”
“ไม่อยากเล่าก็ตามใจเดี๋ยวฉันเดาเอง” ดวงตาสีฟ้าสดหรี่มองคนที่ยังนั่งเท้าคางไขว่ห้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มต้นการคาดการณ์ “นายทำไลท์เซเบอร์หาย? ไม่สิมันก็ยังเหน็บอยู่ข้างเอวนี่น่า มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ปัดภารกิจมาให้? ไม่อีกน่ะแหละเพราะแบบนั้นฉันคงรู้ไปด้วยแล้ว หรือว่าพ่อแม่นายติดต่อมา โอ้...”
อาร์มิเทจอุทานก่อนจะหันไปทางประตู
“ผู้การดาเมรอนเองเหรอเข้ามาสิ ช่างมีน้ำใจจริงๆ ที่พาพาดาวันเรย์มาส่ง”
ในที่สุดเจไดหนุ่มก็แสดงปฏิกริยา เขาหันควับอย่างร้อนรน ซ้ำยังเผลอปลดปล่อยพลังออกมาวูบหนึ่งเล่นเอาข้าวของถึงกับลอยคว้างขึ้นมาเลยทีเดียว ทว่าตรงประตูกลับว่างเปล่า ทั้งห้องว่างเปล่ามีเพียงแค่พวกเขาสามคนเท่านั้น ตอนนั้นเองที่เบนรู้ตัวแล้วว่าโดนคู่หูหลอกเข้าให้
“อุ๊บ สงสัยจะดูผิด” คนผมแดงแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ทำเอาคนผมดำส่งสายตาที่ขุ่นไม่แพ้กันมาให้ เขาควบคุมให้วัตถุทั้งหมดกลับเข้าที่ก่อนจะลุกพรวด
“ยุ่งแต่เรื่องของตัวเองเถอะฮักซ์”
“เรื่องของลูกเรือในยานลำนี้มันก็เรื่องของฉันหมดน่ะแหละโซโล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันส่งผลต่อภารกิจ”
“มันจะไม่ส่งผลต่อภารกิจ ฉันแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันได้”
แล้วร่างสูงในชุดคลุมสีดำก็สาวเท้ายาวๆ หนีหายไปอย่างรวดเร็ว อาร์มิเทจมองตามไปด้วยสายตาเป็นกังวลไม่น้อย เพราะไม่ว่าจะดูยังไงอีกฝ่ายก็แยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานไม่ได้เลยสักนิด พูดให้ถูกต้องกว่านั้นคือเบนไม่สามารถแยกเรย์ออกจากเรื่องราวในชีวิตของเขาได้เลยมากกว่า
Chapter 11: Episode 11 The Weakness of My Enemy.
Chapter Text
อาร์มิเทจแน่ใจว่าตนเองวางแผนมารัดกุมสุดๆ แล้วแท้ๆ
“ยังหาไม่เจออีกเหรอ”
แต่ก็ยังเกิดความผิดพลาดขึ้นจนได้ ขณะนี้เฟิร์สออเดอร์ตั้งศูนย์บัญชาการขึ้นที่เนินเขาทางตอนใต้ของปราสาทซึ่งเป็นฐานกบดานของผู้ก่อการร้ายลิซซาเรี่ยน พวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนกิ้งก่า ความสูงเฉลี่ยพอๆ กับมนุษย์ ผิวหนังเป็นสีเขียวแก่หยาบหนาและยืนสองขา
คุณสมบัติพิเศษที่ทำให้พวกนี้เล็ดรอดการจับกุมมาได้ตลอดคือเปลี่ยนสีผิวให้พรางไปกับสิ่งแวดล้อมได้ และเพราะเป็นสัตว์เลือดเย็นที่อุณหภูมิร่างกายขึ้นกับสภาพอากาศรอบด้าน อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนจึงใช้กับพวกมันไม่ได้ผล แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเฟิร์สออเดอร์หรอกนะ เพราะอาร์มิเทจได้สั่งให้หน่วยวิจัยพัฒนาหมวกของสตอร์มทรูปเปอร์ให้มองจับสัญญาณชีพแทนแล้ว ทางเดียวที่จะทำให้หาไม่พบคือต้องตายแล้วเท่านั้น
ปัญหาที่แท้จริงคือว่าแม้จะวางแผนมาอย่างละเอียดเป็นเดือนๆ และโอบล้อมทุกทิศเพื่อดักทางไว้จนหมด ก็ยังมีตัวที่หนีรอดเงื้อมือเขาไปจนได้ ราวกับล่วงรู้แผนการณ์ของเฟิร์สออเดอร์ยังไงยังงั้น
แฮกเกอร์? หนอนบ่อนไส? คนทรยศ?
ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็น่าโมโหทั้งนั้น
“ยังขาดอีกเท่าไหร่? ” พันเอกฮักซ์ถามบุคลากรใต้บังคับบัญชาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบและกดต่ำ แต่ประกายคุกรุ่นในแววตาได้ทำให้เหมือนเสียงตะคอกไปแล้วเรียบร้อย
มิทากะห่อไหล่ทันทีในขณะที่เจสซึ่งยังพอเหลือความกล้าอยู่บ้างตัดสินใจรายงานต่อ
“อีกยี่สิบคนค่ะ หนึ่งในนั้นมีตัวหัวหน้ารวมอยู่ด้วย”
พันเอกแห่งเฟิร์สออเดอร์สูดหายใจเข้าลึกราวกับกำลังสงบอารมณ์ ท่าทีเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เจส พาวากลัวสักเท่าไร เพราะต่อให้หงุดหงิดขนาดไหนอาร์มิเทจก็ไม่ใช่ประเภทขว้างปาทำลายข้าวของอยู่แล้ว ร่างสูงในชุดคลุมเจไดที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นต่างหากที่น่ากลัวยิ่งกว่า เพราะพักหลังๆ มานี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เจไดหนุ่มผู้เงียบขรึมและใจเย็นจึงได้กลายเป็นอัศวินผู้กราดเกรี้ยวและหนักมือหนักเท้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาเสียเหลือเกิน
อันทีจริงก็พอจะรู้อยู่หรอกนะ แต่ใครจะกล้าเข้าไปทักละว่า เป็นไงบ้างทะเลาะอะไรกับพาดาวันเรย์มา ถึงจะเห็นกันอยู่ชัดๆ ก็ตามที
“เปลี่ยนไปใช้แผนหกกันเถอะ” เบนเอ่ย บรรยากาศหนักอึ้งยังคงห่อหุ้มรอบตัวเหมือนเคย “พวกเราไม่ชินสถานที่ ปล่อยไว้นานจะยิ่งยืดเยื้อและมีแต่คนเจ็บตัวมากขึ้น แค่นี้ก็ล่าช้ากว่ากำหนดการณ์และผิดแผนไปมากแล้ว”
ปกติแล้วเจสไม่ใช่พวกมโนแจ่ม แต่หญิงสาวแน่ใจว่าคำว่า ‘คน’ ในประโยคเมื่อครู่ไม่ได้หมายถึงเหล่าทรูปเปอร์หรือเจ้าหน้าที่เฟิร์สออเดอร์ต๊อกต๋อยหรอก แต่เป็นพาดาวันเรย์ที่กำลังอยู่แนวหน้าในการกวาดต้อนผู้ก่อการร้ายต่างหาก
“เราจะไม่ใช่แผนหก” พันเอกฮักซ์ตอบทันควัน “ใจคอจะไม่ให้ฉันใช้อีกสี่แผนที่คิดไว้เลยหรือไง”
“แผนนายมันจุกจิกและยุ่งยาก วิธีฉันเร็วกว่า”
“แหงสิ ทำไมจะไม่เร็วละ เล่นทำให้ทุกอย่างราบเป็นหน้ากลองเพื่อตัดปัญหาแบบนั้น”
พอถึงตรงนี้มิทากะก็ลอบกลืนน้ำลายเอื้อกในขณะที่เจสเลิกคิ้วสูง
“เราจะใช้แผนที่สามแทน” อาร์มิเทจสรุปอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้คู่หูเจไดได้โต้แย้งเขาหันไปสั่งการกับมิทากะ “บอกฟาสม่าว่าแผนสาม เส้นทางในปราสาทค่อนข้างคับแคบ ให้แบ่งคนเป็นกลุ่มสองถึงสามคนพอ ปูพรมกวาดต้อนทุกห้องและทุกชั้นพร้อมๆ กัน เราวางกำลังพลรอบป่าไว้หมดแล้ว ยังไงพวกมันก็ต้องอยู่ในปราสาทแน่นอน หาให้เจอ จับเป็นตัวหัวหน้ามาให้ฉันให้ได้ส่วนที่เหลือจะทำยังไงก็ได้ แล้วแต่สถานการณ์อำนวย”
“รับทราบครับ” มิทากะค้อมตัวทำความเคารพแล้วรีบเดินหนีบรรยากาศมาคุในศูนย์บัญชาการไปทันที เจสก็กำลังจะตามไปเช่นกันทว่าโดนคนยศสูงกว่าเรียกไว้เสียก่อน
“เจ้าหน้าที่พาวา”
“คะ? ”
“ฝากย้ำกับฟาสม่าด้วยว่าให้จับคู่พาดาวันเรย์กับ FN-2187 เท่านั้นและให้สำรวจแค่เส้นทางที่สิบสองของทิศตะวันตกก็พอ”
“แต่เส้นทางนั้นเคลียร์ไปหมดแล้วนี่คะ? ” เจสกล่าว เธอไม่ได้ตั้งใจจะแย้งคำสั่งแค่เผลอพลั้งปากไปเท่านั้น ทว่าอาร์มิเทจไม่ถือสา กลับกันมันดูจะทำให้เขาพอใจมากขึ้นด้วยซ้ำเนื่องจากมีคนชี้แจงเหตุผลให้แทน
“ก็ใช่น่ะสิ” พันเอกผมแดงตอบผู้ใต้บังคับบัญชาก่อนจะหันไปทางเจไดหนุ่มที่ยืนอยู่อีกฝากห้อง “พอใจหรือยัง? ”
เบนพนักหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นโดยไม่ได้ส่งเสียงอื่นใด แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้เจสเข้าใจได้ว่าคำสั่งแปลกๆ ที่ดูไม่สมเหตุสมผลของพันเอกฮักซ์คือสิ่งที่จะทำให้ภารกิจดำเนินต่อไปได้อย่างแท้จริง ป้องกันมาสเตอร์โซโลจากการใช้แผนทำลายล้าง กันพาดาวันเรย์ออกจากอันตราย โดยไม่ต้องลากตัวเด็กสาวกลับมาให้เป็นที่สงสัยว่าเหตุใดจึงไม่ได้ทำภารกิจต่อ
ฉลาดและลอบจัด น่าจะเป็นคำนิยามที่ครอบคลุมที่สุดแล้วสำหรับชายที่ชื่ออาร์มิเทจ ฮักซ์
“ฉันจะไปจัดการให้ตามนั้นค่ะ”
“ไม่ใช่ว่าทางเดินนี้ถูกเคลียร์ไปแล้วเหรอ”
เรย์ขมวดคิ้วพลางกระซิบถามฟินน์ที่เดินอยู่คู่กัน เด็กสาวกระชับกระบองแน่น ท่าทีระแวดระวังเตรียมพร้อมรับอันตรายตลอดเวลา ผิดกับสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มลิบลับ เพราะนอกจากจะถอดหมวกออกแล้วเขายังถือปืนบลาสเตอร์แบบสบายๆ เหมือนไม่ได้กะจะใช้งานแม้แต่น้อย
“ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าฮักซ์จะสั่งให้สำรวจเส้นทางเดิมไปทำไมในเมื่อไม่เหลืออะไรให้เก็บกวาดแล้ว ทำงานซ้ำซ้อนแบบนี้เปลืองพลังงานชะมัด”
“อ่า ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ฟินน์ตอบแบบปัดส่งเล่นเอาเรย์ถึงกับมองค้อนกลับไปให้เลยทีเดียว
“นายพูดน้อยผิดปกตินะ ทุกทีจะต้องบ่นฮักซ์ไม่ก็ฟาสม่ากลับมาจนฉันเป็นฝ่ายหูชาเองแล้วแท้ๆ” เรย์หยุดเดิน หันมองฟินน์อย่างสำรวจ “ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย”
อีกฝ่ายนิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังเค้นหาคำตอบให้ทั้งเขาและเธอก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ
“ฉันแค่อยากจบภารกิจไวๆ น่ะ ปราสาทหลังนี้มันน่าขนลุก”
“แบบนี้ค่อยสมเป็นนายหน่อย” เด็กสาวฉีกยิ้มกว้างออกเดินต่ออย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็สอดส่องหาความผิดปกติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไปด้วย ไม่ได้รับรู้เลยว่าสายตาขุ่นข้องและไม่เป็นมิตรของคนด้านหลังน่ะแหละที่ผิดปกติยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น
เพราะอีกฝ่ายรู้ถึงการมาเยือนของเฟิร์สออเดอร์แล้วจึงไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวกันอีกต่อไป
หุ่นยักษ์เอทีเอทีวอล์คเกอร์กว่าสิบตัวจึงพากันเดินไปทั่วผืนป่าให้ว่อนไปหมด โดยตัวที่ใหญ่ที่สุดซึ่งยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ทางทิศใต้นั้นแหละคือฐานบัญชาการที่แท้จริงของเฟิร์สออเดอร์ ก่อนหน้านี้มันย่อตัวเก็บขา ซุกซ่อนตัวอยู่ในดงไม้มาตลอด แต่เพราะอาร์มิเทจต้องการภาพมุมกว้างเผื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหันเขาจึงสั่งให้หุ่นเอทียืดตัวขึ้นเต็มความสูงที่แท้จริง
ห้องเครื่องภายในที่ควรจะดูกว้างขวางกลับเล็กแคบไปถนัดตาเมื่อถูกบรรจุด้วยเจ้าหน้าที่เกือบร้อยชีวิตที่นั่งประจำเครื่องมือสื่อสารเพื่อทำหน้าที่ติดต่อประสานงาน กลางห้องคือโต๊ะโฮโลแกรมจำลองยุทธศาสตร์ตัวเดิมจากยานเดรทน็อท ทว่าอาร์มิเทจไม่ได้สนใจ เขาเดินผ่านทุกอย่างไปเพื่อไปหยุดอยู่ข้างเบนที่กำลังยืนทอดสายตาออกไปด้านนอกผ่านหน้าต่างบานเล็ก
“ยังไม่เลิกขมวดคิ้วอีก ฉันอุตส่าห์ตามใจให้ขนาดนี้แล้วแท้ๆ”
“ข้อผิดพลาดเยอะขนาดนี้เราควรจะล้มเลิกภารกิจไปแล้วด้วยซ้ำไม่ใช่แค่ใช้แผนสำรอง” เบนโต้กลับโดยไม่ยอมหันมอง ทั้งยังไม่เลิกมุ่นคิ้วอีกด้วย
“แล้วปล่อยให้อาชญากรตัวเอ้หนีหายไปในส่วนลึกของกาแลคซี่ทั้งที่แค่เอื้อมมือไปก็จะจับมาได้เนี่ยนะ ไม่ละขอบคุณ ฉันยังอยากได้หน้าอยู่”
เพราะรู้ว่าจะต้องโดนจิกเรื่องที่อยากได้ยศนายพลจนตัวสั่นมาตลอดแน่ๆ อาร์มิเทจจึงชิงแซะตนเองก่อนที่เบนจะมีโอกาส เจไดหนุ่มที่โดนดักทางเลยเลือกจะนิ่งเงียบแทน เขายังคงมองฝ่าผืนป่าเขียวชะอุ่มไปยังปราสาทสีน้ำตาลเก่าแก่ต่อไป ทว่าความเงียบระหว่างกันคงอยู่ได้เพียงไม่นานนัก เพราะดูเหมือนวันนี้พันเอกผมแดงมีเรื่องอยากจี้ใจดำคนเป็นคู่หูมากเป็นพิเศษ
“ไม่ว่านายจะทำผิดอะไรไว้รีบๆ ไปขอโทษเธอได้แล้ว ยิ่งนานไปจะยิ่งยุ่งยาก”
อาร์มิเทจเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว ถ้าเทียบเป็นการยิงบลาสเตอร์ มันก็เข้ากลางเป้าพอดี
“เราไม่ได้ทะเลาะกัน” เบนแก้ตัว และแน่นอนว่านอกจากจะฟังไม่ขึ้นแล้วยังไม่มีทางทำให้ใครเชื่อได้อีกต่างหาก “อีกอย่างมันไม่ใช่ความผิดฉัน ความผิดนายต่างหาก”
“ฉัน? ฉันไปทำอะไรให้นายกันโซโล”
“เพราะฉันทำตามที่นายสั่งน่ะสิ” เบนหันกลับมามองคู่สนทนาในที่สุด ความขุ่นมัวเจืออยู่ในน้ำเสียงและแววตาของเขา “ฉันเว้นระยะห่าง ทำตัวให้เหมาะสมและถูกต้องอย่างที่นายเคยเตือนไว้ แต่เรย์ไม่เข้าใจ เธออยากให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมซึ่งมันเป็นไปไม่ได้”
อาร์มิเทจเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เขาใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อซึมซับคำพูดของเจไดหนุ่มและเรียบเรียงเรื่องราว อีกอึดใจถัดมานายทหารผู้มียศสูงสุดของเฟิร์สออเดอร์ก็หลุดขำพรืด
“นั่นน่ะนะสิ่งที่กัดกินนายมาตลอดและทำให้นายทำตัวเป็นเด็กอีโมที่เหวี่ยงใส่คนรอบข้างแบบไม่เลือกหน้า เพราะนายมีปัญหาในการยับยั้งตัวเองไม่ให้ทำตัวรุ่มร่ามกับลูกศิษย์ แต่เด็กนั่นไม่ให่ความร่วมมือด้วย เพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?!”
ฮักซ์คงไม่ใช่ฮักซ์ ถ้าไม่ได้แดกดันเขาทุกๆ สองสามประโยค
ร่างผอมพยายามกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น ไม่ทันที่เบนจะได้อ้าปากด่ากลับ อาร์มิเทจก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วสวนโครมกลับมาให้อีกประโยค ซึ่งมันทำให้เบนเกือบจะอ้าปากค้างด้วยความงุนงง
“ตลกแล้วโซโล ฉันไม่ได้สั่งให้นายห้ามเข้าใกล้เรย์สักหน่อย”
“แต่นายบอกว่า...”
“ฉันบอกว่า” อาร์มิเทจแทรก ทวนคำตนเองได้เป๊ะๆ ราวกับก็อปมาวางยังไงยังงั้น “ฉันไม่ต้องการให้ข่าวฉาวหรือเรื่องไม่งามเกิดขึ้นกับคนของเฟิร์สออเดอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ควรจะเคร่งครัดในกฏมากกว่าใครอย่างนาย ซึ่งที่ว่าไม่งามคือการที่คนเป็นอาจารย์ขึ้นคร่อมลูกศิษย์ที่อายุแค่สิบห้าในการซ้อมต่อสู้ไม่ก็ลากเธอเข้าไปอยู่ในห้องเก็บของแคบๆ กันสองต่อสองอย่างที่นายทำต่างหาก”
“นายเห็น? ”
“เปล่า กล้องวงจรปิดเห็น”
เบนหน้าแดงขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้น เห็นแบบนั้นอาร์มิเทจเลยแสยะยิ้มทอดเวลาให้อีกฝ่ายร้อนรนอีกสักหน่อยก่อนจะเฉลยความจริง
“สบายใจได้ฉันลบเทปไปหมดแล้ว แต่คราวหน้าคราวหลังมองซ้ายขวาหน่อยก็ดี”
เอ้า ไหงตบท้ายด้วยประโยคเชิญชวนให้ทำผิดอีกเสียอย่างงั้น
“แต่นายเพิ่งบอกไปว่า...”
“จะมีข่าวก็ต้องมีมูล นายก็ทำให้มันเนียนๆ อย่าให้คนเห็นสิโซโล เดี๋ยวก็ได้ติดคุกเพราะกฏหมายพรากผู้เยาว์ระหว่างดวงดาวกันหมดยานพอดี”
แปลกดีที่อาร์มิเทจพูดคล้ายเรย์ไม่มีผิด เบนแปะฝ่ามือเข้ากับหน้าผากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่จนแทบจะได้ยินกันทั่งศูนย์บัญชาการ
“นี่ฉันเป็นบ้าคิดมากไปอยู่คนเดียวเพื่ออะไรกันเนี่ย”
เพราะนอกจากจะไม่ห้ามอย่างที่เคยเข้าใจแล้ว อาร์มิเทจยังดูเหมือนจะสนับสนุน ‘พฤติกรรมรุ่มร่ามขาดความยับยั้งชั่งใจ’ ของเขาอีกต่างหาก
“แปลว่านายยังมีศีลธรรมอยู่ละมั้ง” คนผมแดงไหวไหล่พร้อมเบ้ปาก ประโยคเหมือนจะชมแต่ท่าทีคือกำลังด่าอย่างระอาอยู่ชัดๆ “แต่พูดก็พูดเถอะ นายเป็นเจไดที่เก่งที่สุดในรุ่นจริงๆ เหรอเนี่ย ทำไมกับเรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังคิดไม่ได้”
“ฮักซ์!! ”
“เออเอาเหอะ อย่างน้อยนายก็เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเพราะคำพูดฉันเสียทีนับว่ายังมีพัฒนาการอยู่บ้าง”
“ความรู้สึกอะไร? ” เบนย้อนถามทันควัน
“ก็ที่นายกับเรย์...” อาร์มิเทจเกือบจะหลุดปากเฉลยไปเสียแล้วแต่ยั้งตนเองได้ทัน ทั้งคู่จ้องตากันไปมาในความเงียบอยู่พักใหญ่ คนหนึ่งเต็มไปด้วยความรอคอยใคร่รู้ ในขณะที่อีกคนมุ่นคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
“....”
“...”
และในที่สุดอาร์มิเทจก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าเบน โซโลไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าคิดเกินเลยกับลูกศิษย์สาวไปมากกมายขนาดไหนแล้ว!!
“...ให้นายเถอะ นายสมควรถูกเรียกว่าเจไดที่โง่และซื่อบื้อที่สุดในกาแลคซี่มากกว่า”
“ฮักซ์!! ”
ในตอนนั้นที่เสียงปี้บๆ ของเครื่องมือสื่อสารดังขึ้น ทำหน้าที่เป็นเหมือนระฆังห้ามมวยระหว่างสองคู่หูได้ทันพอดี
“พันเอกครับมีการติดต่อมาจากผู้การดาเมรอน”
“ขึ้นหน้าจอหลักได้เลยเจ้าหน้าที่เทนนิสัน” อาร์มิเทจสั่ง อีกอึดใจถัดมาภาพใบหน้าคมคายที่เขียวครึ้มไปด้วยไรหนวดของโพ ดาเมรอนก็ปรากฏขึ้น
“เรามีปัญหาแล้ว”
เขากล่าวอย่างรวดเร็ว ฉากหลังเป็นต้นไม้และป่าทึบ ไม่ใช่ภาพในยานเอ็กซ์วิงค์หรือท้องฟ้าเกลื่อนเมฆอย่างที่ควรจะเป็น เห็นแบบนั้นอาร์มิเทจจึงขมวดคิ้วด้วยสีหน้ายุ่งยาก
“อย่าบอกนะว่าคุณปล่อยให้พวกที่ขึ้นยานหลบหนีรอดมือคุณไปได้น่ะผู้การดาเมรอน”
“อย่าดูถูกฝีมือกันสิครับหัวหน้า” โพย้อน “เราจับได้หมดต่างหาก ซึ่งหนึ่งในนั้นพยายามจะหนีอีกรอบตอนที่ยานถูกสอยร่วงลงพื้นก็เลยต้องใช้มาตราการรุนแรงนิดหนึ่ง....”
นักบินหนุ่มเบี่ยงตัว เผยให้เห็นภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกจับมัดอยู่เบื้องหลังโดยมีสตอร์มทรูปเปอร์สองนายยืนประคบข้างเพื่อควบคุมตัว เธอคนนั้นมีเส้นผมสีทองมัดเป็นมวยหลวมๆ สองก้อน ทั้งยังสวมชุดนักบินของเฟิร์สออเดอร์อีกต่างหาก หางคิ้วขวาของเธอแตกและมีเลือดไหลอาบ
เบนกับอาร์มิเทจหันมองหน้ากันเองด้วยความประหลาดใจทันที
“ดูเหมือนสายตาคุณจะมีปัญหานะผู้การดาเมรอน” เจไดหนุ่มค่อนแคะอย่างจงใจ “นั่นมันฝ่ายเราชัดๆ”
“เจ้าหน้าที่เคย์เดลคุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” อาร์มิเทจถามต่อเนื่องจากจำใบหน้าของลูกน้องได้ แต่กลายเป็นว่าเมื่อโพแพนกล้องไปทางขวามืออีกนิด ก็มีนักบินหญิงนามคอร์นิกซ์ เคย์เดลอีกคนยืนอยู่เสียอย่างนั้น ทั้งชุดและใบหน้าเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ที่ต่างคือเธอคนนี้เป็นอิสระ ไร้พันธนาการและไร้รอยขีดข่วน
ไม่รอให้เหล่าผู้บัญชาการได้เอ่ยปากถาม โพก็พยักเพยิกส่งสัญญาณให้สตอร์มทรูปเปอร์ หลังจากนั้นคอร์นิกซ์คนที่ถูกมัดอยู่ก็ถูกกระบองไฟฟ้าช็อตเข้าให้ เธอล้มลง การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้น ผิวเนื้อสีขาวนวลเปลี่ยนเป็นสีเขียวแก่หยาบหนา เช่นเดียวกับใบหน้ารูปร่าง ที่กลายไปเป็นชาวลิซซาเลี่ยน
เบนและอาร์มิเทจเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ
“ผมสอบปากคำนักโทษคนอื่นๆ แล้ว” โพรายงานต่อ “ดูเหมือนว่าพวกมันจะทำการทดลองลับๆ ตัดต่อยีนเพื่อเพิ่มความสามารถของตนเอง จากเดิมที่แค่เปลี่ยนสีผิวก็กลายเป็นสามารถเปลี่ยนร่างกายให้เหมือนใครก็ได้ แต่มีแค่ตัวหัวหน้ากับพวกระดับสูงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่มีความสามารถนี้”
“นี่สินะเหตุผลที่ทำให้พวกมันรอดพ้นการจับกุมไปได้” อาร์มิเทจพึมพำด้วยความพอใจ เขารู้ปัญหาแล้ว ต่อไปก็คือหาทางแก้ ทว่าเบนไม่คิดเช่นนั้น เจไดหนุ่มหันหลังให้หน้าจอสื่อสารแล้วโน้มตัวไปกระซิบกับอาร์มิเทจ
“ถอนกำลังพลเดี๋ยวนี้”
“อะไรของนายเนี่ยโซโล ก็บอกว่าไม่ไง”
“เราไม่รู้ว่ามีพวกมันปลอมตัวปะปนเข้ามามากแค่ไหนหรือถึงไหนแล้ว เผลอๆ นายเองก็อาจจะเป็นพวกมันก็ได้”
“จะให้ฉันไล่ชื่อพ่อแม่และบรรพบุรุษของนายเพื่อยืนยันตัวมั้ย และไม่ ฉันบอกแล้วไงว่ายังไงก็ต้องจับพวกมันให้ได้” อาร์มิเทจตอบอย่างประชด และแน่นอนว่ายังเป็นการกระซิบที่มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่ได้ยิน เขาเร่งความดังของเสียงในประโยคถัดมาเพื่อหันไปสั่งความกับเจ้าหน้าที่เทนนิสันและโพ
“เราจะเปลี่ยนไปใช้โหมดตรวจจับความร้อนเหมือนเดิม นี่เป็นประกาศจากฉัน สตอร์มทรูปเปอร์หรือเจ้าหน้าที่เฟิร์สออเดอร์คนไหนที่อุณหภูมิแก่นกลางต่ำกว่าสามสิบห้าองศาให้ยิงทิ้งได้ทันที ส่วนคุณผู้การดาเมรอน พาเจ้าตัวนั้นกลับมาเป็นๆ ด้วย ถ้ามันเป็นพวกระดับสูงของลิซซาเลี่ยนจริงเฟิร์สออเดอร์ก็มีเรื่องต้องสอบปากคำมันอีกเยอะ”
ไม่ทันที่โพจะขานรับคำสั่ง สัญญาณหน้าจอก็ถูกตัดและปรากฏภาพของฟาสม่าขึ้นมาแทนที่ ประโยคเอ่ยเกริ่นของเธอเหมือนกับโพไม่มีผิดเพี้ยน
“เรามีปัญหาแล้วค่ะท่าน”
“ขะ…ขอโทษครับท่าน ผู้กองใช้สัญญาณฉุกเฉินติดต่อเข้ามาภาพเลยบังคับตัดแล้วก็..” เจ้าหน้าที่เทนนิสันละล้าละลังอธิบาย อาร์มิเทจยกมือห้ามในขณะที่พยักหน้าอนุญาตให้ร่างสูงในชุดเกราะแวววาวเอ่ยธุระออกมาได้เลย
“FN-2187 ถูกพบหมดสติอยู่ใกล้ยานลำเลียง ชุดเกราะและปืนบลาสเตอร์ของเขาหายไป จากการสอบถามเขาอยู่ตรงนี้มาเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่ดิฉันมั่นใจว่าเมื่อครู่เพิ่งจะมอบหมายหน้าที่ให้เขากับพาดาวัน…”
“เรย์!!” เบนตะโกนแทรกเมื่อตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แผนการของอาร์มิเทจรั่วไหลเพราะมีหนอนบ่อนไส้ ซึ่งหนอนที่ว่าก็คือหนึ่งในลิซซาเลี่ยนที่ปลอมตัวเป็นฟินน์ และตอนนี้พาดาวันของเขาก็ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังอาชญากรตัวร้ายที่กาแลคซี่ต้องการตัวมากที่สุดโดยไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายนี้เลยแม้แต่น้อย
เบนพลุนพลันวิ่งออกจากห้องบัญชาการไปในทันที อาร์มิเทจร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เขาสบถอย่างหัวเสีย อีกนิดก็เกือบจะกระทืบเท้าอย่างหมดมาดเสียแล้ว
“ผู้กองฟาสม่า!!” อาร์มิเทจหันไปสั่งเสียงดุดัน “รีบพาหน่วยของเธอไปทางเดินที่สิบสองของทิศตะวันตกเพื่อทำภารกิจช่วยเหลือพาดาวันเรย์เดี๋ยวนี้ถ้ายังไม่อยากให้มาสเตอร์โซโลใช้แผนทำลายล้างที่หก!!”
พัชกิ้นไม่แน่ใจว่าควรเรียกสถานการณ์เช่นนี้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
มันเป็นถึงผู้บัญชาการของกลุ่มลิซซาเลียน อุตส่าห์สะสมอาวุธและกำลังพลได้มากพอจะเปิดศึกกับสหพันธรัฐอยู่แล้ว แต่กลายเป็นว่าโดนเฟิร์สออเดอร์บุกจู่โจมเสียก่อน รวดเร็วและแม่นยำ เรียกได้ว่ามันกับพรรคพวกแทบไม่มีโอกาสหยิบอาวุธขึ้นมาตอบโต้เลยด้วยซ้ำ
มันจำใจหนี หลังฟาดศีรษะสตอร์มทรูปเปอร์คนหนึ่งจนสลบ ก็ใช้ความสามารถที่เพิ่งได้มาปลอมตัวเข้าไปแทนที่ ไว้ถึงยานหลักของพวกเฟิร์สออเดอร์เมื่อไหร่มันจะแอบวางระเบิดทำลายทุกอย่างให้เหี้ยนแล้วค่อยขึ้นยานหลบหนี มันตั้งใจไว้เช่นนั้น
ทว่าอีกครั้งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่มันคิด
มันได้รับมอบหมายให้กลับเข้าไปในปราสาทอันเป็นฐานที่ตั้งอีกครั้งเพื่อทำภารกิจสำรวจ ดีจริง ทางเดินที่มันต้องไปอยู่ใกล้กับห้องลับที่เก็บอาวุธสำรองและซุกซ่อนกำลังพลเอาไว้เสียด้วย แค่ฆ่าเจ้าคู่หูที่ต้องไปด้วยเสียก็เป็นอิสระแล้ว
แต่ก็อีกน่ะแหละที่ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่มันต้องการ
“ฟินน์”
เด็กสาวคนหนึ่งเรียกก่อนจะเดินเข้ามากอดคอมัน ทิ้งโถมน้ำหนักลงมาจนมันแทบหน้าคว่ำ พัชกิ้นหันไปจะตวาด แต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเครื่องแบบของสีฝ่าย ผ้าฝ้ายสีขาวตุ่นๆ กับเสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำตาล แม้อีกมือจะถือกระบองยาวท้วมศีรษะ แต่ที่เหน็บตรงเอวคือไลท์เซเบอร์แน่แท้
…เจได…
ไม่สิ นังหนูนี่ยังถักเปียอยู่
…พาดาวัน…
เคยได้ยินมาเหมือนกันว่ากลุ่มเฟิร์สออเดอร์มีเจไดเป็นของตัวเองชื่อเบน โซโล แต่ไม่นึกเลยว่ายังมีเจไดฝึกหัดอีกคนหนึ่งด้วย กลายเป็นเรื่องยุ่งยากเสียแล้ว ต่อให้อยากฆ่าทิ้งแค่ไหนก็คงทำไม่ได้ง่ายๆ พัชกิ้นจึงจำใจรับคำสั่งแล้วเดินตามนังหนูพาดาวันที่ชื่อเรย์เข้าไปปราสาทอย่างสงบเงียบ
หลังทำตัวมีพิรุธจนพาดาวันสาวเกือบจับได้หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดมันก็เริ่มจับทางได้แล้วว่าเจ้าของรูปลักษณ์ที่มันยืมมาจะเป็นเพื่อนสนิทกับนังหนูนี่ ชื่อรหัส FN-2187 ชื่อเล่นฟินน์ แถมยังเป็นพวกพูดมากค่อนไปทางขี้โวยวายเสียด้วย ก็ดี แบบนี้แปลว่าถึงมันจะถามซอกแซกไปสักหน่อยก็คงไม่ทำให้ผิดสังเกตเท่าไร
“แล้ว…เจไดเบนอยู่ไหนเสียละทำไมไม่มาด้วยกันแต่กลับปล่อยให้ลูกศิษย์อย่างเธอมาคนเดียว”
คำถามของมันทำให้พาดาวันสาวเลิกคิ้วทันที
“ปกตินายกับโพจะเรียกเบนว่ามาสเตอร์โซโลนี่น่า”
พัชกิ้นสะดุ้ง พยายามกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว “แหม เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้สักหน่อย จะเรียกอะไรก็เหมือนๆ กันน่ะแหละ”
มันหัวเราะแห้งขณะออกเดินต่อ พาดาวันเรย์เดินตามมาอย่างเสียไม่ได้ เธอถอนหายใจเฮือก
“เบนไม่มาด้วยน่ะดีแล้ว แค่เขาเถียงกับฮักซ์อย่างเดียวก็แทบจะบ้าตายกันทั้งกอง ขืนมาทะเลาะกับฉันเพิ่มเพราะเรื่องภารกิจเดี๋ยวจะหนักใจกันเข้าไปใหญ่”
ฮักซ์ที่ว่านี่อย่าบอกนะว่าพันเอกฮักซ์ ผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยเฟิร์สออเดอร์
โอ้ ดีจริง นอกจากเจไดจะแตกคอกันเองอยู่แล้ว ผู้นำทั้งสองยังไม่ถูกกันอีกต่างหาก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรพัชกิ้นก็คิดว่ามันน่าจะเอาจุดนี้ไปใช้เล่นงานพวกเฟิร์สออเดอร์ในภายหลังได้ มันตัดสินใจหลอกถามเพิ่ม
“เรื่องอะไรละ? ฉันรู้ว่าฉันถามไปหลายรอบแล้วแต่ฉันว่าถ้าได้เล่าระบายมันอีกสักครั้งก็น่าจะดีไม่น้อยนะ”
เอาตรงๆ พัชกิ้นไม่รู้หรอกว่า FN-2187 เคยรับฟังหรือให้คำปรึกษานังหนูพาดาวันนี่ไปหรือยัง ถ้ายังก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะเปิดโอกาสให้มันได้ซอกแซกถาม แต่ถ้าเคยคุยไปแล้ว ก็พอจะถูไถได้อยู่ เพราะมันเลือกใช้แต่คำกลางๆ กว้างๆ ไม่ค่อยเจาะจงเท่าไร
“ก็...” นังหนูพาดาวันลากเสียง ดูลังเลที่จะพูด
พัชกิ้นเลยกระตุ้น ทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดีเดินเข้าไปกุมมืออีกฝ่าย
“เถอะน่า เธอก็รู้ว่าคุยกับฉันได้ทุกเรื่อง”
ไม่ถึงชั่วอึดใจพาดาวันสาวก็ถอนหายใจพรืด
“หลายอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ทั้งเรื่องฝึก…”
หรือว่าสองเจไดจะเผลอทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บจนเป็นเรื่องบาดหมางกัน
“ตำแหน่งหน้าที่….”
หรือจะเป็นเกมการเมือง มีการเลื่อยขาเก้าอี้ในเฟิร์สออเดอร์?
“เบนทำตัวงี่เง่ามาก เอาแต่ใจ หยาบคาย แล้วสิไม่ฟังฉันสักนิด”
นี่ชักจจะน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ
“อยู่ดีๆ ก็บอกว่าเราจะกอดหรือจับมือกันเหมือนเคยไม่ได้แล้ว”
“อะไรนะ?” พัชกิ้นอุทาน เผลอทำหน้าเหรอหราออกไปแบบห้ามไม่ทัน แต่พาดาวันเรย์ไม่ทันสังเกต เธอยังคงบ่นระบายความในใจต่อไปเรื่อยๆ เนื้อความหลักๆ เลยก็คือเรื่องที่คนเป็นมาสเตอร์ไม่ค่อยสนใจเธอเหมือนเคย ทำตัวเย็นชาอย่างโน้นห่างเหินอย่างนี้ และบลา บลา บลา อีกมากมาย
ซึ่งพัชกิ้นสามารถสรุปใจความได้อย่างรวบรัดว่า
เรื่องชู้สาวหรอกเรอะ!!
ให้ตายเถอะไร้ประโยชน์สิ้นดี ไอ้มันก็นึกว่าจะได้ข้อมูลที่มีค่าอย่างจุดอ่อนของเจได แผนการสร้างอาวุธใหม ไม่ก็ความไม่ลงรอยระหว่างสองผู้นำเสียอีก สุดท้ายดันได้มาแค่เรื่องที่นังหนูนี่แอบรักมาสเตอร์ของตัวเองเนี่ยนะ ไร้สาระ! ไม่ได้เรื่อง! ข้อมูลนี้ช่วยอะไรมันไม่ได้เลยสักนิด
“เรย์!!”
เสียงทุ้มต่ำตะโกนก้องพร้อมกับการที่ร่างสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบเจไดปรากฏตัวจากทางเดินด้านหลัง เหงื่อเกาะพราวตามใบหน้าบ่งบอกความเร่งรีบระหว่างทางที่มา
“ถอยไปให้ห่างเจ้านั่นเดี๋ยวนี้!”
เจ้าเจไดคนนั้นสั่งเสียงดังจนเกือบแป็นตวาด นี่แปลว่าความลับของเหล่าลิซซาเลี่ยนถูกเปิดโปงเสียแล้ว ดวงตาของเจไดหนุ่มวาวโรจน์และกราดเกรี้ยวจนเกือบทำให้พัชกิ้นสั่นสะท้านด้วยความกลัว แต่ทันใดนั้นมันก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายก็กำลังกลัวเช่นกัน
เพราะมันกำลังถือครองจุดอ่อนของเจไดหนุ่มไว้อยู่
ไลท์เซเบอร์ถูกชักออกมาแล้ว และศีรษะของมันคือเป้าหมาย
“เหวอ เรย์ช่วยด้วย!” พัชกิ้นแสร้งเรียกหาความช่วยเหลือขณะหลบไปอยู่หลังร่างบาง นังหนูพาดาวันเองก็เลือกจะปกป้องเพื่อนด้วยการตวัดกระบองในมือเข้าใส่คนเป็นมาสเตอร์เช่นกัน เธอตีเข้าไปที่ข้อมือดังเพี้ยะเพื่อเบียงลำแสงไลท์เซอร์ ก่อนจะตวัดปลายอีกข้างเข้าที่ลำตัวหนา
เจไดเบนเอนถอยอย่างว่องไวทำให้การโจมตีหลังพลาดไป แต่ก็กลายเป็นว่าต้องเว้นระยะห่างไปหลายก้าวเช่นกัน
พัชกิ้นที่เกาะหลังพาดาวันเรย์อยู่ตัดสินใจเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก
“ขะ…เขาจะฆ่าฉัน มาสเตอร์ของเธอตั้งใจจะฆ่าฉัน”
“แก!” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเจไดหนุ่มเหลือบมาพร้อมทำท่าขยุ้มมือในอากาศ ทันใดนั้นลำคอของพัชกิ้นก็ตีบตัน มันสำลักความว่างเปล่า หายใจไม่ออก
“ฟินน์!! ” นังหนูพาดาวันร้องอย่างตกอกตกใจ เธอหันขวับกลับไปทางคนเป็นมาสเตอร์ “เบนนั่นแหละที่ถอยไปให้ห่างฟินน์เดี๋ยวนี้!”
พาดาวันสาวขยับเกร็งมือซ้าย ใช้พลังพลักกระแทกเจ้าเจไดหนุ่มจนต้องคลายพลังที่บีบคอมันอยู่ พัชกิ้นหายใจเฮือก ฮุบเอาอากาศเข้าปอด มันโซซัดโซเซยืนขึ้นมาหลบหลังดาพาวันสาวเหมือนเดิม ตอนนี้ทั้งคู่กำลังยืนประจัญหน้ากันอยู่ บรรยากาศมาคุ เสียอย่างเดียวคือนังหนูนี่ไม่หยิบเอาเซเบอร์ที่เหน็บไว้ออกมาใช้เสียที แต่ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรข้อมูลไร้สาระที่มันได้มาก็เป็นประโยชน์มากกว่าที่คิดอยู่ดี
เพราะพัชกิ้นจะใช้โอกาสนี้แสวงหาความรุ่งโรจน์ให้ตนเองด้วยการสังหารเจไดศิษย์อาจารย์แห่งเฟิร์สออเดอร์ให้สิ้นชื่อไปในคราวเดียวกัน
Chapter 12: Episode 12 The Darkside
Chapter Text
เรย์กำกระบองในมือแน่น เธอต่อว่าเขาเสียงดัง
“เป็นบ้าอะไรของเบนกัน! ตอนแรกก็ห้ามเข้าใกล้โพ มาตอนนี้ยังจะทำร้ายฟินน์อีก”
ว่ากันตามตรงแค่เบนตวัดไลท์เซเบอร์ครั้งเดียวอาวุธในมือเธอก็ขาดเป็นสองท่อนแล้ว ทว่าเธอไม่อยากหยิบไลท์เซเบอร์ของเธอมาใช้ มันไม่ถูกต้อง นอกเหนือไปจากตอนฝึกซ้อมแล้วพวกเขาไม่ควรต้องมาปะทะกันเองแบบนี้สิ
ทว่าเบนทำให้เธอไม่มีทางเลือก เขาตั้งใจจะทำร้ายฟินน์จริงๆ
“เธอกำลังเข้าใจผิดแล้วเรย์” แสงสีเขียวและเสียงหึ่งๆ หายไปในทันทีเมื่อเบนปิดการทำงานของไลท์เซเบอร์ในมือ ทว่ากล้ามเนื้อของเขาเครียดขึ้ง เรย์สัมผัสได้ เบนพร้อมจะจู่โจมเข้ามาได้ทุกเมื่อ “นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเรา เจ้านั่นไม่ใช่เพื่อนของเธอ มัน...”
“เขาต้องการจะฆ่าฉัน! ” ฟินน์โพลงขัดคำพูดเบนขึ้นมาอย่างร้อนรน “ไม่เห็นเหรอว่าเขากำลังทำอะไรน่ะเรย์ เขาพรากเธอไปจากเพื่อนๆ เขาต้องการให้เธอโดดเดี่ยว เขาผลักไสเธอเพราะเขาไม่แคร์ว่าเธอรู้สึกยังไง”
ท่ามกลางความสับสนของการกระทำอันแปลกประหลาดระหว่างมาสเตอร์และเพื่อนสนิท คำพูดของฟินน์กวนตะกอนความรู้สึกเก่าๆ ในใจเรย์ให้ลอยคลุ้งขึ้นมาอีกครั้ง
ความเหงาและหว้าเหว่เมื่อสมัยยังอยู่ที่แจคคู ความรู้สึกไร้ค่าจากการตระหนักได้ว่าถูกทอดทิ้งผสมไปกับการรอคอยอันไม่สิ้นสุด ความแปลกแยกและไม่เป็นที่ต้องการเมื่อสมัยที่มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์นำเธอมาฝึกแรกๆ ความผิดหวังจากการได้ยินความคิดของเบน
ความคิดที่ว่าเขาไม่ต้องการเธอ
และสิ่งนั้นยังคงทิ่มแทงเรย์เสมอมา ทั้งในยามหลับและลืมตาตื่น เป็นเชื้อไฟให้กับความมืดในตัวตนของเธอ มันบรรเทาลงเป็นครั้งคราวยามเมื่อพลังเชื่อมต่อและเธอได้ยินความในใจที่แท้จริงของเขา
ส่วนตอนนี้ ถ้อยประโยคของฟินน์ยิ่งทำให้ความคิดเหล่านั้นเข้มข้นรุนแรงขึ้นไปอีก
“เขาแค่อยากได้ลูกศิษย์ที่ภักดีและทำตามสั่งได้เท่านั้น ซึ่งเธอทำไม่ได้ เธอเลยเป็นได้แค่คนไร้ค่าเท่านั้นเรย์...เธอไร้ค่าสำหรับเขา”
“หุบปากเดี๋ยวนี้เจ้ากิ้งก่า!! เรย์อย่าไปฟังมัน นั่นมันไม่ใช่เรื่องจริง ฉันแคร์เธอแค่ไหนเธอก็รู้”
“รู้สิ...” เด็กสาวกระซิบตอบ “รู้ว่าเบนไม่ต้องการฉันเลยสักนิด”
เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมหยดน้ำที่คลอหน่วงอยู่ภายในดวงตาซึ่งกลายเป็นสีทองและสีแดง
...ดวงตาของซิธ...
“เพราถ้าเบนแคร์ฉันจริงๆ เหมือนที่พูด เบนคงไม่ทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวแบบนี้หรอก”
เบนกำลังกลัว บางอย่างในคำพูดและตัวเธอทำให้เขากลัว เรย์รู้สึกแปลกเอามากๆ เธอไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะดื่มด่ำกับสีหน้าหวาดผวาของผู้คนได้มากเท่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมาจากมาสเตอร์ของเธอเอง ก่อนจะทันรู้ตัวเธอก็เอื้อมมือไปยังบั้นเอวเพื่อหยิบไลท์เซเบอร์เสียแล้ว ทว่าว่างเปล่า มันหายไป เมื่อเหลือบมองไปด้านหลังเรย์ก็พบว่าเพื่อนสตอร์มทรูปเปอร์กำลังถือครองอาวุธของเธอไว้อยู่
“ฟินน์นี่นาย...”
วูบ!!
คำถามขาดห้วงไปเมื่อแสงสีฟ้าของไลท์เซเบอร์สว่างวูบ และความแสบร้อนระเบิดตัวขึ้นใต้ผิวหนัง
“โอย!!”
ฟินน์แทงไลท์เซเบอร์เข้าใส่เรย์ แต่เพราะเบี่ยงหลบทัน มันจึงแฉลบต้นแขนขวาของเด็กสาวไปเท่านั้น เบนตะโกนเรียกอย่างตกใจ เขาวิ่งเข้ามาแต่ช้ากว่าฟินน์มากนัก มืออีกข้างของสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มกดยิงปืนบลาสเตอร์ออกไปสองนัดด้วยกัน
เป้าหมายคือเรย์และเบน
เบนขยับมือขวา เหยียดปลายนิ้วมาทางเรย์ ใช้พลังบงการให้แสงของบลาสเตอร์หยุดนิ่งกลางอากาศ ห่างจากใบหน้าของพาดาวันสาวไปไม่ถึงนิ้วเท่านั้น อีกนัดจึงโดนเข้าที่หน้าท้องด้านซ้ายของเขาเต็มๆ เบนกัดฟันคำรามแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่คลายพลัง เรย์หอบหายใจอย่างตื่นตระหนก ความร้อนลามเลียซีกหน้าของเธอจนเหงื่อหลั่งริน
เจไดหนุ่มสะบัดมือ ปัดกระสุนบลาสเตอร์ที่จ่อหน้าเรย์อยู่ไปกระทบผนังหินจนเป็นรูแทนก่อนจะทรุดลงด้วยความเจ็บปวด
“เบน!! ” เด็กสาวร้องเรียก วิ่งเข้าไปประคองเขา ดวงตาของเธอกลับมาเป็นสีน้ำตาลเฮเซลนัทตามเดิมแล้ว และมันถึงกับทำให้เบนถอยหายใจด้วยความโล่งเลยทีเดียวแม้ว่าจะมีปืนบลาสเตอร์เล็งมาทางพวกเขาอยู่ก็ตามที
“เธอน่าจะเชื่อฟังมาสเตอร์ให้มากกว่านี้นะนังหนู”
ทันใดนั้นใบหน้าของสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มก็เปลี่ยนไป ผิวหนังของเขากลายเป็นสีเขียว หยาบหนาและมีเกล็ด ม่านตาเป็นเส้นขีด จนในที่สุดก็กลายเป็นลิซซาเลี่ยนโดนสมบูรณ์
“ไม่จริง...”
สิ่งนี้อธิบายได้หมดเลยว่าทำไมตั้งแต่เข้ามาในปราสาทฟินน์ถึงพูดจาและทำตัวแปลกออกไป เพราะเขาไม่ใช่ฟินน์ตั้งแต่แรกนั้นเอง และเบน โอ้ ไม่นะ เบนแค่พยายามจะปกป้องเธอเท่านั้น เหมือนที่เป็นมาโดยตลอด แต่เธอกลับทำร้ายเขาและยังเป็นต้นเหตุให้เขาเจ็บตัวอีก
“ตอนแรกก็กะว่าเก็บพวกแกไปพร้อมๆ กันเลยจะได้สิ้นเรื่อง” ลิซซาเลี่ยนในชุดสตอร์มทรูปเอร์แสยะยิ้ม มันหย่อนไลท์เซเบอร์ของเรย์ไว้ในช่องเก็บปืนก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างตะปบไปยังกำแพง หินก้อนยุบตัวลงไป เสียงครืดคราดดังขึ้น ผนังด้านหนึ่งแยกตัวออกจากกันเผยให้เห็นห้องลับ...
...ที่มีทหารลิซซาเลี่ยนถืออาวุธครบมือซ่อนตัวอยู่เต็มไปหมด
พวกมันกรูกันออกมาล้อมเรย์และเบนไว้
“แต่ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะเอานังหนูพาดาวันนี่ไปด้วย ท่านผู้นำจะต้องปลื้มกับของขวัญชิ้นนี้มากแน่ๆ”
เบนกัดฟันกรอด เขาเปิดการทำงานของไลท์เซเบอร์อีกครั้ง แสงสีเขียวลุกวาบ มืออีกข้างเกี่ยวเอวเรย์แล้วดึงเธอเข้ามาจนชิด ร่างสูงพยายามลุกยืนตั้งท่าสู้ และนั้นยิ่งทำให้แผลเปิดกว้าง จนเลือดหย่อมหนึ่งหยดลงสู่พื้น
เรย์กำเสื้อคลุมของเบนแน่นด้วยความรู้สึกผิด
เพราะจากท่าทีแล้วเขาคงสู้จนตัวตายดีกว่ายอมให้เธอถูกจับไปแน่ๆ
เห็นแบบนั้นลิซซาเลี่ยนที่ดูน่าจะเป็นหัวหน้าในชุดสตอร์มทรูปเปอร์จึงถอนหายใจเฮือก
“อย่าขัดขืนดีกว่าน่า เดี๋ยวก็ศพไม่สวยหรอก ต่อให้เป็นเจไดแต่คิดเหรอว่าจะสู้กับศัตรเกือบร้อยพร้อมกันได้”
“ฉันขอโทษเบน นี่เป็นความผิดของฉันเอง เพราะงั้นอย่าเลยนะ มันไม่คุ้มกันหรอกถ้าเบนต้องตาย” เรย์กระซิบบอก น้ำตาเริ่มไหลลงมาตามแก้ม เบนเลื่อนแขนขึ้นมาวางพาดไหล่ของเรย์ พร้อมดึงเธอเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเมื่อครู่ ปากและจมูกของเขากดแนบอยู่ข้างขมับของเด็กสาว เขากระซิบเช่นกัน
“ไม่มีอะไรคุ้มค่าทั้งนั้นแหละถ้าฉันต้องเสียเธอไป ฉะนั้นเชื่อใจฉัน ฉันหาเธอเจอแล้วและจะไม่ยอมให้อะไรเกิดขึ้นกับเธอเด็ดขาด”
ประโยคเหล่านั้น ช่างฟังคล้ายกับถ้อยคำในอดีต ในวันที่เธอเกือบจมน้ำและพลังเชื่อมต่อทั้งคู่อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก
เรย์พยักหน้าทั้งน้ำตานอง เธอโอบแขนรอบตัวเบนกลับในขณะที่ไลท์เซเบอร์ของเจไดหนุ่มปิดการทำงานลงอีกครั้ง พวกลิซซาเลี่ยนนึกว่านี่คือสัญญาณแสดงการยอมแพ้และศิษย์อาจารย์กำลังร่ำลากันอยู่
ทว่าพวกมันคิดผิดมหันต์
เบนปล่อยมือจากไลท์เซเบอร์ ไม่ทันที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายเจไดจะร่วงถึงพื้น ผนัง เพดาน และพื้นก็เริ่มสั่นสะเทือน ฝุ่นร่วงกราวลงมา เหล่ากิ้งก่าโซเซทรงตัวไม่อยู่ บางตัวถึงกับทำอาวุธหลุดมือไปเลยก็มี
“แก!! ฝีมือแกใช่มั้ย!!” เจ้าตัวหัวหน้าหันปากกระบอกบลาสเตอร์มาทางเบน ทว่าแผ่นดินไหวที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ได้ทำให้หินที่ก่อร่างเป็นเพดานถล่มลงมาข้างตัวมัน มันร้องเหวอ ยิงบลาสเตอร์พลาดไปโดนผนังหิน ทุกอย่างจึงพังทลายลงมามากกว่าเดิม
เหล่าลิซซาเลี่ยนตะเกียดตะกายหนีตายหาทางออกกันวุ่นวาย ไม่มีตัวไหนสนใจทำตามคำสั่งจับกุมนักโทษอีกแล้ว ท่ามกลางความโกลาหล เบนกลับกระตุกยิ้มเย้ยหยันให้กับตัวหัวหน้าในชุดสตอร์มทรูปเปอร์
“ไม่รีบหนีเดี๋ยวก็ศพไม่สวยหรอก”
เพื่อซ้ำเติมถ้อยถากถางที่เพิ่งเปล่งออกไป เบนเขย่าปราสาททั้งหลังด้วยพลังที่รุนแรงกว่าเดิม พื้นพังยุบไปเป็นหลุม กิ้งก่าหลายตัวหายลับลงไปในนั้น ทำเอาตัวหัวหน้ากัดฟันกรอดด้วยความคับแค้นใจ
“แกเองก็ต้องตายอยู่ที่นี่เหมือนกันน่ะแหละ!! ”
“เดี๋ยวก็รู้”
หินก้อนใหญ่ร่วงลงมากันกลางระหว่างระหว่างลิซซาเลี่ยนและสองเจไดพอดี เบนหวังให้พวกนั้นตายไปให้หมด ช่างหัวฮักซ์กับความอยากเอาหน้าได้ยศนายพลของหมอนั่น เขาไม่สนอะไรอีกแล้วนอกจากคนในอ้อมกอดเท่านั้น
“ท่านค่ะ เราไปไม่ทัน มาสเตอร์โซโลใช้แผนทำลายล้างที่หกไปแล้ว”
นั่นคือคำรายงานของผู้กองฟาสม่าจากภาพที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอสื่อสารขนาดยักษ์ อาร์มิเทจหลุดสีหน้าตกใจออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะสงวนท่าทีกลับมาเยือกเย็นตามเดิม
“เสียหายแค่ไหน? ”
“ปราสาททั้งหลังพังลงมาหมดเลยค่ะ”
ยังบ้าพลังสมยี่ห้อเบน โซโลเหมือนเคย
อาร์มิเทจค่อนแคะอยู่ในใจ แต่ก็เอาเถอะจับพวกระดับสูงมาได้ตั้งหลายตัวแล้วเดี๋ยวค่อยไปเค้นคอสอบปากคำพวกนั้นเอาทีหลังแล้วกัน ถึงจะน่าเสียดายที่จับตัวหัวหน้าไม่ได้ก็ตามที
“มีอีกเรื่องที่ดิชั้นจำเป็นต้องรายงานให้ทราบค่ะ ดูเหมือนว่ามาสเตอร์โซโลจะใช้พลังทั้งที่ตัวเองและพาดาวันเรย์ยังอยู่ในปราสาทด้วย”
“อะไรนะ?! ” คราวนี้อาร์มิเทจไม่อาจเก็บท่าทีไว้ได้อีกต่อไป ยิ่งเมื่อหน้าจอถูกตัดสลับไปเป็นภาพของซากกองหินขนาดมหึมาที่เคยเป็นปราสาทมาก่อนพร้อมควันที่ลอยกรุ่น สีหน้าของพคนผมแดงก็ยิ่งซีดเซียวมากขึ้นไปอีกระดับ “ใช้เครื่องสแกนอุณหภูมิเพื่อค้นหา....”
“ลองแล้วค่ะ แต่กองหินมีความหนาเกินไปเครื่องมือจึงตรวจจับไม่ได้ ตอนนี้เลยต้องใช้กำลังทหารเร่งขุดค้นเพื่อทำภารกิจช่วยเหลือไปก่อน แต่ดูจากสภาพศพลิซซาเลี่ยนหลายๆ ตัวที่เราค้นพบดิชั้นเกรงว่า...”
“คนโง่แบบนั้นไม่ตายง่ายๆ หรอกผู้กองฟาสม่า” อาร์มิเทจจัดปกเสื้อตนเองใหม่พร้อมรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจที่ผุดขึ้นมามุมปาก สองมือไพล่หลังในขณะที่แผ่นหลังเหยียดตรง “ยิ่งเป็นคนโง่ที่มีพลังสถิตย์อยู่กับตัวและมีสิ่งสำคัญให้ปกป้องยิ่งตายยากเข้าไปใหญ่เลย เพราะฉะนั้นขุดต่อไป ขุดต่อไปจนกว่าจะลากคอเจ้าเจไดงี่เง่าคนนั้นกลับมาให้ฉันด่าให้ได้ เข้าใจมั้ย”
“รับทราบค่ะท่าน”
ทว่าผ่านไปกว่าชั่วโมงก็ยังไร้วี่แววของสองเจได
งานดำเนินไปค่อนข้างล่าช้าเพราะไม่อาจใช้เครื่องจักรหนักได้เต็มประสิทธิภาพ หลายพื้นที่เปราะบางและเป็นโพรงลึกเนื่องจากก้อนหินหลายต่อหลายก้อนค้ำยันกันเอง ต้องเสียเวลาคำนวณและขนก้อนหินออกด้วยมือ มิฉะนั้นทุกอย่างอาจจะพังถล่มลงมาได้ หุ่นดรอยด์จำนวนมากถูกเกณฑ์มาช่วย แต่อย่างที่บอก มันยังเป็นงานที่ช้ามากอยู่ดี
โพที่เพิ่งจัดการงานในส่วนของตนเองเสร็จแล้วถึงกับถกแขนเสื้อและเดินมาช่วยเหล่าสตอร์มทรูปเปอร์ทำงานทันที ทั้งที่ถ้าว่ากันด้วยยศตำแหน่งแล้วถึงเขาจะอยู่เฉยๆ ก็ไม่ผิดอะไรเลยสักนิด
“ฉันนึกว่านายจะอยู่บนฟ้าเสียอีก” นั่นคือคำแรกที่ฟินน์ผู้กำลังอุ้มหินก้อนโตไว้ด้วยสองมือเอ่ยปากทัก
โพเลิกคิ้ว สวนกลับไปทันควันเมื่อเห็นสภาพมอมแมมเปื้อนฝุ่นของอีกฝ่ายทั้งที่ยังมีผ้าพันแผลรอบศีรษะ แถมบริเวณขมับซ้ายยังมีเลือดซึมออกมาอีกต่างหาก
“ฉันก็นึกว่าจะนายอยู่ที่หน่วยพยาบาล”
“ใครจะไปทนอยู่เฉยๆ ได้ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เพื่อนรักต้องมาติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง และถ้าเธอเป็นอะไรมันก็เพราะฉัน เพราะฉันคนเดียวที่...”
“เฮ้ๆ มันไม่ใช่ความผิดของนายเพื่อน” โพรั้งไหล่ฟินน์ไว้ กึ่งบังคับให้หันมาพูดคุยกัน “มันไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้นโอเคมั้ย? ใครจะนึกกันละว่าเจ้าพวกนี้จะวิวัฒนาการตัวเองได้ก้าวกระโดดขนาดนั้น หรือถ้านายยังคิดมากอยู่ ตอนที่พวกเราเจอเรย์ นายค่อยไปถามเจ้าตัวเอาแล้วกันว่าโกรธนายมั้ย”
สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มยิ้มออกมาได้ในที่สุด ตามมาด้วยคำขอบคุณแผ่วๆ ก่อนจะกลับไปลงมือทำงานกันต่อ
อีกเกือบชั่วโมงถัดมาก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น
“เจอแล้ว!! ทางนี้!!”
ฟินน์และโพต่างเหวี่ยงก้อนหินในมือไปอย่างไม่สนทิศทางและออกวิ่งทันที แต่กว่าทั้งคู่จะไปถึงสตอร์มทรูปเปอร์คนอื่นก็ช่วยกันโกยเศษหินออกไปจนเป็นช่องกว้างเกือบหนึ่งฟุตแล้ว
“เรย์!! ” ฟินน์ตะโกนเรียก คว้าไฟฉายจากเพื่อนทรูปเปอร์มาอย่างร้อนรน “เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย!?”
ตรงนั้น ที่ก้นหลุมซึ่งลึกเพียงหนึ่งเมตร เรย์นั่งอยู่ตรงนั้น ประคองร่างของเบนซึ่งหมดสติและท้วมไปด้วยเลือดไว้ในอ้อมกอด เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะ ใช้พลังสร้างบาเรียบางใสเพื่อป้องกันไม่ให้หินทั้งหมดถล่มลงมาทับเธอและมาสเตอร์ แขนของเด็กสาวสั่นระริก สีหน้าก็ซีดเซียว บ่งบอกว่าใกล้ถึงขีดจำกัดของเธอแล้ว
แต่ถึงกระนั้นคนแรกที่เรย์เลือกจะห่วงก็ไม่ใช่ตนเองอยู่ดี
“เร็วๆ เข้า! เบนเสียเลือดไปมากแล้ว!”
ฟาสม่าปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมหุ่นดรอยด์สำหรับทำการรักษาอีกห้าตัวพอดี พวกมันช่วยกันประคองเจไดหนุ่มขึ้นมา ใบหน้าของเขาซีดไร้เลือดยิ่งกว่าเรย์หลายเท่า การปฐมพยาบาลเริ่มทันทีพร้อมกับนำส่งคนเจ็บไปยังยานหลัก เรย์ขึ้นมาหลังจากนั้นด้วยความช่วยเหลือของฟินน์และโพ
เด็กสาวหอบหายใจหนักหน่วง เหมือนกำลังฮุบเอาอากาศบริสุทธ์เข้าปอดไปชดเชยกับความอุดอู้หลายต่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ฟินน์ได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ทันใดนั้นเรย์ก็หันมองมาทางเขา
“เรย์...ฉัน...” ฟินน์อ้ำอึ้งด้วยความรู้สึกผิดที่ท้วมท้น แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น พาดาวันสาวก็ดึงตัวสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มเข้าไปกอดทันที
“ฉันขอโทษฟินน์ที่ดูไม่ออกว่านั่นไม่ใช่เพื่อนรักของฉัน ฉันขอโทษจริงๆ”
“มันกลับกันแล้วยัยบ้า” ฟินน์เอ็ดทั้งน้ำตาซึมพร้อมกอดกลับไปเช่นกัน “ฉันสิต้องขอโทษที่ไม่ได้อยู่ปกป้องเธอ”
“เอ่อ...ขอโทษเหมือนกันนะที่ขัดช่วงเวลาซึ้ง” โพกล่าวขณะที่กางแขนออก “แต่พอจะเหลือที่ให้ฉันบ้างมั้ย ฉันเองก็ดีใจที่เห็นเธอปลอดภัยเหมือนกันนะ”
เท่านั้นแหละ เรย์ก็ใช้เรี่ยวแรงที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดดึงโพเข้ามารวมวงด้วยทันที
ทั้งสามหัวเราะให้กันอย่างปลอดโปร่ง ท่ามกลางเหงื่อควันและความยินดี
เรย์หลับไปเกือบวันเต็มๆ
เธอตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหนึบของกล้ามเนื้อที่ยังตกค้าง แผลซึ่งถูกไลท์เซเบอร์ถากตรงต้นแขนขวาได้รับการรักษาจนหลงเหลือเป็นเส้นขีดสีขาวจางๆ เท่านั้น โพและบีบีเอ็ทเป็นคนแรกและหุ่นดรอยด์ตัวแรกที่เข้ามาเยี่ยมแรก และแน่นอนว่าต้องมาพร้อมมัฟฟินหอมกรุ่นถาดใหญ่
ฟินน์ตามมาหลังจากนั้นไม่นานนัก เรย์แอบแปลกใจไม่น้อยว่าเขาหาดอกเดซี่จากไหนมาเยี่ยมไข้เธอได้กัน เพราะยานเดรทน็อคที่กำลังลอยคว้างอยู่ในห้วงอวกาศดูไม่น่ามีพื้นที่ให้ปลูกอะไรขึ้นเลยสักนิด ทั้งสามคนและหนึ่งตัวพูดคุยสอบถามความเป็นไปกันอย่างละเอียด
เรย์แก้ความเข้าใจผิดให้เพื่อนๆ ว่าไม่ใช่เธอที่ช่วยชีวิตเบนไว้ ตรงข้ามด้วยซ้ำ
“เบนคือคนที่ยกก้อนหินค้างไว้ตลอดเวลา เขาเพิ่งมาสลบไปก่อนพวกนายจะมาแค่ไม่นานเท่านั้นเอง มันหนักมากๆ เลยนะ ฉันทำแค่สิบห้านาทีก็เกือบเป็นลมแล้ว ไม่รู้ว่าเขาทนทำแบบนั้นเป็นชั่วโมงๆ ได้ยังไงทั้งที่เลือดออกจนเกือบจะหมดตัวอยู่แล้ว”
โพและฟินน์เหลือบมองกันและกันอยู่แวบหนึ่งก่อนที่คนเป็นสตอร์มทรูปเปอร์จะเริ่มเอ่ยปากถาม
“นี่แปลว่าเธอคืนดีกับมาสเตอร์โซโลแล้วใช่มั้ย?”
ใจของเรย์หล่นวูบ ความรู้สึกผิดถาโถมกัดกินอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่เพราะเธอเป็นต้นเหตุให้เขาต้องบาดเจ็บปางตายเท่านั้น แต่เป็นเพราะในชั่วขณะนั้น แม้จะแค่แวบเดียวแต่เธอก็คิดจะเอื้อมไปหยิบไลท์เซเบอร์เพื่อใช้กับเบนจริงๆ เรย์รู้มาตลอดว่าทั้งเธอและเขาเป็นเจไดที่มีด้านมืดหลบซ่อนอยู่ในตัวตน ความเยาว์วัยและอ่อนเดียงสาเคยทำให้เธอเผลอปลดปล่อยมันมาแล้วครั้งหนึ่ง
ทว่าในคราวนี้ เมื่อเติบโตทั้งร่างกายและความคิด ก็ไม่เหลือข้อแก้ตัวใดๆ อีกแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอคิดจะฆ่ามาสเตอร์ของตนเอง
อย่าว่าแต่คืนดีเลย ถ้าเบนคิดจะปลดเธอออกจากการเป็นพาดาวันของเขาแล้วปล่อยเธอลงที่ดาวร้างๆ สักแห่งเธอก็ไม่โทษเขาสักนิด เพราะนั้นถือเป็นการปราณีมากแล้วเมื่อเทียบกับด้านมืดที่ตะกุยร้องหาทางออกมาจากข้างในตัวเธอ
“เรย์...เกิดอะไรขึ้น” โพถามต่อเมื่อเห็นท่าทีที่นิ่งไปของเด็กสาว
แต่ก่อนที่จะได้สารภาพบาปให้เพื่อนๆ ฟัง อาร์มิเทจก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน
ผิวที่แต่เดิมก็ขาวซีดอยู่แล้วดูซีดเซียวขึ้นอีกหลายระดับ รอยคล้ำใต้ตาก็เหมือนจะชัดขึ้นด้วยเช่นกัน ท่าทางคงอดหลับอดนอนมาไม่ใช่น้อย อาร์มิเทจโบกมือไล่ฟินน์และโพออกไปก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย เมื่อดูจากท่าทีเคร่งขรึมกับการที่ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมา เรย์ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้มาเยี่ยมไข้
แต่มาเพื่อสอบปากคำเธอ
“เบนยังไม่ฟื้นสินะ” ใบหน้าของเด็กสาวหมองลงทันที เพราะหากฟื้นแล้ว มีหรือที่อาร์มิเทจจะไม่เดินไปบีบคอคู่หูข้อหาทำภารกิจล่มแบบพังถล่มไม่มีชิ้นดีแทนที่จะมาอยู่กับเธอเช่นนี้
พันเอกผมแดงไม่ตอบ แต่ส่งหน้าจอสื่อสารมาให้แทน
มันกำลังแสดงภาพของลิซซาเลี่ยนตัวหนึ่งที่เรย์จำหน้าได้ขึ้นใจ
“พัชกิ้น เรดคลอว์ หัวหน้ากลุ่มกบฏปลดแอกดวงดาวของชาวลิซซาเลี่ยน จากสีหน้าของเธอฉันคงไม่ต้องถามต่อสินะว่าคนที่ปลอมเป็น FN-2187 ใช่มันหรือเปล่า เราค้นซากปราสาทและระบุตัวศพได้หมดแล้วรวมทั้งเก็บกู้วิทยาการมาได้บางส่วนด้วย ซึ่งในบรรดาศพเหล่านั้นไม่มีพัชกิ้น มันได้พูดอะไรบางมั้ยว่าจะหลบหนีไปไหนต่อหรือยังเหลือพันธมิตรที่ไหนอยู่บ้าง”
“มันพูดถึงท่านผู้นำ” เรย์โพลงออกไปทันควัน
อาร์มิเทจทวนของพูดของเด็กสาวพลางเลิกคิ้ว “ท่านผู้นำ? ”
ไม่ใช่ว่าพัชกิ้นน่ะแหละคือหัวหน้ากลุ่มกบฏอยู่แล้วหรอกเหรอ
“ตอนแรกมันพูดว่าจะฆ่าฉันกับเบนเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แล้วอยู่ๆ มันก็เปลี่ยนใจ” ...หลังจากเห็นด้านมืดของเธอ “มันบอกว่าจะเอาฉันไปด้วยในฐานะของขวัญให้ท่านผู้นำ”
แทนที่จะงงงวยเหมือนกับที่เรย์เป็น อาร์มิเทจกลับเหยียดยิ้มพลางพึมพำ
“น่าสนใจแฮะ”
“หา? ”
“แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ” พันเอกผมแดงเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ท่าทีเคร่งขรึมแบบที่ใช้สอบปากคำเมื่อครู่หายไปเร็วไม่แพ้กัน ภาพลักษณ์ของเจ้าตัวยิ่งดู ‘นิ่ม’ ขึ้นไปอีกระดับ เมื่อคุณมิลลิเซ็นต์วิ่งพรวดเข้ามาในห้องและกระโจนขึ้นตักเจ้านายของมันอย่างคุ้นเคย “เธอคืนดีกับเจ้าโซโลแล้วใช่มั้ย? ”
“ทำไมใครๆ ก็ถามแต่คำถามนี้กันนะ” เรย์กรอกตา พยายามเก็บงำความรู้ผิดที่ทิ่มแทงให้พ้นจากสายตาของอาร์มิเทจ
ต่างจากเพื่อนๆ ของเธอที่คงทำแค่ร้องเหวอหากได้รู้ความจริง คนเหี้ยมโหดและรอบคอบอย่างพันเอกฮักซ์ ดีไม่ดีอาจกำจัดเธอทิ้งก่อนที่เบนจะฟื้นขึ้นมาเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเฟิร์สออเดอร์ก็เป็นได้ ซึ่งการมีคุณมิลลิเซ็นต์บนตักก็ไม่ได้ช่วยลดความคิดในแง่ลบของเรย์ต่ออาร์มิเทจได้เลย
“ถ้าพวกเธอเป็นคู่ชายหญิงทั่วไปฉันคงไม่สอดจมูกเข้ามายุ่งหรอก แต่พอดีว่าพวกเธอดันเป็นเจไดชายหญิง และยังเป็นคนของเฟิร์สออเดอร์อีกต่างหาก แค่เรื่องระหองระแหงจิ้บจ้อยแค่นี้ก็ทำเอาเดือดร้อนไปทั้งยานแล้วยังไม่นับว่าทำให้ปฏิบัติการทั้งหมดล่มไม่เป็นท่าอีก”
อาร์มิเทจส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างใส่อารมณ์ เรย์ซึ่งมีชนักติดหลังอยู่จึงทำได้เพียงก้มหน้ารับความผิดสถานเดียว และพอเห็นว่ามนุษย์คนโปรดมีท่าทีไม่สดใสเหมือนเคย คุณมิลลิเซ็นต์จึงกระโดดพรวดเดียวจากตักของหนุ่มผมแดงเพื่อไปออดอ้อนเด็กสาวทันที เจ้าแมวสีส้มตัวอ้วนกลมถูไถศีรษะเข้ากับแก้มของเรย์ ทั้งยังส่งเสียงเหมียวๆ ตลอดเวลาอีกด้วย
อาร์มิเทจเกือบจะต่อว่าแมวของตนว่าทรยศไปแล้ว แต่ก็ดันนึกขึ้นมาได้ว่าพาดาวันสาวไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ปฏิบัติการที่วางแผนมานับเดือนต้องล่มไม่เป็นท่า เพราะยังมีเรื่องที่อยู่นอกเหนือการคำนวณอย่างการที่เหล่าลิซซาเลี่ยนมีคนหนุนหลังและช่วยสนับสนุนวิทยาการจนสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นใครก็ได้อยู่อีก
คนผมแดงกระแอมไอ เปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง
“แล้วก็...ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้วว่าทำไมพวกเธอถึงทะเลาะกัน ซึ่งจะขอสรุปๆ สั้นเลยแล้วกันนะว่าหมอนั่นมันโง่เกินเยียวยา”
นอกจากจะจงใจด่าคู่หูแบบออกเสียงแล้ว ดวงตาสีฟ้าสดยังตวัดมองทางเด็กสาวอย่างขุ่นมัวเป็นการแถมให้อีกต่างหาก
“ส่วนเธอเองก็ผิดพอกันที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ถ้าเธอมองโซโลเป็นผู้ชายสักนิดไม่ใช่แค่คนที่เลี้ยงเธอมา เธอก็คงจะระมัดระวังและพฤติตัวได้เหมาะสมมากกว่านี้แล้วแท้ๆ แต่ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเธอสองคนไม่ใช่อะไรที่จะปรับแก้กันได้ภายในเวลาชั่วข้ามคืน ดังนั้นฉันเสนอให้เธอระวังในการแสดงออกและสถานที่มากกว่านี้ ถ้าเป็นไปได้...”
“แต่ฉัน...” เรย์แย้งขึ้นมากลางประโยค ทั้งยังอุ้มขึ้นมิลลิเซ็นต์ขึ้นมากอดเพื่อบังใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีของตนเอง “มองเบนในฐานะผู้ชายมาตลอดเลยนะ”
อาร์มิเทจอ้าปากค้าง ใช้เวลาอีกเกือบนาทีในการประมวลผล ประกอบกับเสียงร้องเหมียวที่ดังขึ้นเหมือนจะเย้ยขำในท่าทางของเขา พันเอกแห่งเฟิร์สออเดอร์ก็ตั้งสติได้ เขาถามต่ออย่างสงสัย
“ผู้ชายแบบ...พ่อ พี่ อาจารย์ หรือผู้ชายแบบผู้ชาย? ”
“ฉัน...ตกหลุมรักเขาตั้งแต่เก้าขวบ” เรย์กลั้นใจสารภาพ ทั้งยังกอดคุณมิลลิเซ็นต์แน่นขึ้นไปอีกจนแทบจะฝั่งใบหน้าลงไปกับขนฟูๆ ได้อยู่ร่อมร่อ
“แล้วเจ้านั่นรู้...ไม่สิ” อาร์มิเทจตัดสินใจยกเลิกคำถามกลางคัน เขาพึมพำเสมือนเป็นการบ่นกับตนเอง “ต้องไม่รู้อยู่แล้ว ขนาดเรื่องของตัวเองยังไม่รู้เลย”
เรย์ยิ้มแหยๆ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าอาร์มิเทจกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ คุณมิลลิเซ็นต์เริ่มตะกุยประท้วงแล้วว่าเด็กสาวกอดมันแน่นเกินไป เธอจึงยอมวางแมวส้มลงบนเตียงข้างตัวตามเดิม
“นี่มันสถานการณ์บ้าอะไรกันเนี่ย นอกจากเธอจะเด็กเกินไปสำหรับเรื่องนี้แล้วโซโลก็ดันซื่อบื้อเกินไปอีก โอย” เจ้าของเรือนผมสีจิงเจอร์ลูบใบหน้าตนเองแรงๆ อยู่หลายทีก่อนจะได้มาอีกข้อสรุป “เราจะต้องติดคุกเพราะกฎหมายพรากผู้เยาว์ระหว่างดวงดาวกันหมดยานแน่ๆ”
“ไม่หรอกๆ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน” เรย์โบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวัน “เพราะฉันว่าจะไม่บอกเบนแหละ”
“หา? ”
“เขาต้องสติแตกมากแน่ๆ ถ้ารู้ว่าฉันคิดยังไงกับเขา แบบ...เขาเอ็นดูฉัน แล้วก็เลี้ยงฉันมาตลอด ถ้าไม่มองว่าฉันเป็นน้องสาวก็คงมองฉันเป็นลูกไปแล้วแหละ เพราะฉะนั้น ไม่บอกน่าจะเป็นการดีกว่า แล้วก็เรื่องไม่เหมาะสม ฉันจะพยายามทำตัวให้เรียบร้อยมากกว่านี้แล้วกัน ทุกคนจะได้ไม่ลำบากใจ”
ข้าแต่พลัง!!!
อาร์มิเทจกรีดร้องอยู่ในใจ
เขาสุดจะทนกับศิษย์อาจารย์คู่นี้แล้ว! อะไรมันจะซื่อบื้อเหมือนกันได้ขนาดนี้!!
Chapter 13: Episode 13 Ours Compassion
Chapter Text
พัชกิ้นยังไม่ตายแต่ก็บาดเจ็บหนักเต็มที
มันต้องสละทั้งหางและแขนซ้ายกว่าจะหลุดพ้นจากสุสานหินที่เคยเป็นปราสาทมาได้ ซึ่ง ต้องใช้เวลาอีกนานโขกว่าจะงอกคืนมาได้ครบ สูญเสียพวกพ้องและอาวุธไปจนหมดสิ้น เคียดแค้นเจ้าเจไดคนนั้นจนแทบคลั่งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหนีหัวซุกหัวซุน ความล้มเหลวนี้ไม่เพียงนำความอัปยศมาสู่มันเท่านั้น แต่ยังทำให้ท่านผู้นำสูงสุดกราดเกรี้ยวอีกด้วย
“เหตุใดจึงล้มเหลว” เสียงแหบแห้งเปล่งถาม ร่างนั้นเร้นกายซ่อนตัวอยู่ในเงามืดจนเห็นเป็นเพียงโครงร่างผอมหนังหุ้มกระดูกและดวงตาแวววาวเท่านั้น ทว่าความน่าหวั่นเกรงในบรรยากาศกลับอัดแน่น ไม่ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย
พัชกิ้นกลืนน้ำลายเอื้อก
“พวกมันจู่โจมเร็วมากจนเราไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วก็ยังมีเจไดกับพาดา...”
“หุบปาก!!” คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตวาด พัชกิ้นสั่นสะดุ้ง ห่อไหล่ด้วยความหวาดกลัว “ข้าต้องการเหตุผลไม่ใช่คำแก้ตัว มันควรจะเป็นงานง่ายๆ แม้แต่กับสัตว์ชั้นต่ำอย่างเจ้า แค่ซ่องสุ่มกำลังพลให้พร้อมจนกว่าข้าจะสั่ง เหตุใดจึงทำไม่ได้”
พัชกิ้นไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนั้น มันกับพรรคพวกคึกคะนองในอาวุธและสรรพยากรที่ได้มาเป็นอย่างยิ่งจนออกปล้นหลายต่อหลายครั้ง ส่งผลให้ทางสาธารณรัฐกาแลคติกใหม่ระแคะระคายถึงการมีอยู่จนต้องส่งหน่วยเฟิร์สออเดอร์มากวาดล้าง แต่มันรู้ว่าอะไรจะบรรเทาความโกรธาของท่านผู้นำสูงสุดได้
มันเอื้อมมือที่เหลือเพียงข้างเดียวไปยังซ่องเก็บปืนแล้วหยิบไลท์เซเบอร์ขึ้นมา
“สิ่งนี่เป็นของพาดาวันนามเรย์ที่อยู่กับหน่วยเฟิร์สออเดอร์”
อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายเจไดล่องลอยจากมือมันไปหาคนที่อยู่ในเงามืด เสียงหึ่งๆ เติมเต็มห้องกว้าง แสงสีฟ้าทาบทับใบหน้าเหี่ยวห่นและขาวซีดซึ่งซีกซ้ายมีบาดแผลฉกรรจ์อันน่าเกลียด ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์ ประหนึ่งสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องมองเหยื่ออันโอชา
“ข้าตั้งใจจะนำตัวหล่อนมาเป็นบรรณาการให้ท่านทว่าถูกเจไดที่เป็นมาสเตอร์ของหล่อนขัดขวางเสียก่อน”
“สกายวอลค์เกอร์...” ความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าท่านผู้นำสูงสุดเมื่อสัมผัสได้ถึงร่องรอยพลังอีกสายที่ยังตกค้างอยู่บนอาวุธ แต่หลังจากกลั่นกรองให้เหลือเพียงแค่พลังที่แท้จริงของพาดาวันสาว รอยยิ้มแห่งความพึงใจก็ปรากฏขึ้นแทนที่ เหมือนที่พัชกิ้นคาดไว้ไม่มีผิด
“ช่างเป็นตัวตนที่พิเศษยิ่งนัก ขนาดเติบโตและถูกหล่อหลอมมาท่ามกลางแสงสว่าง ความมืดมิดก็ยังหยั่งรากได้ล้ำลึกถึงเพียงนี้”
พัชกิ้นลอบยิ้มกับตนเอง มันเล็งเห็นโอกาสในการแก้แค้นและไม่รอช้าที่จะฉกฉวย “ข้าจะกวาดล้างเฟิร์สออเดอร์และนำตัวพาดาวันคนนั้นมามอบให้ท่านผู้นำให้ได้ ขอเพียงแค่อาวุธและกำลังพลสักนิด...”
“ไม่!” คนที่นั่งบนบัลลังก์ปฏิเสธทันควัน “ยังก่อน ยังมีเวลาในความมืดในใจนางได้งอกเงย ไว้ถึงตอนนั้นเจ้าจะใช้ทหารสักกี่พันหมื่นนายก็ย่อมได้ ขอแค่นำนางมาให้ข้าขัดเกลาต่อในฐานะลูกศิษย์ได้ก็พอ”
พัชกิ้นขบฟัน เจ็บใจไม่น้อยที่สุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามหวังอีกแล้ว ทว่าไม่เป็นไร มันรอได้ อย่างที่เขาว่ากัน การแก้แค้นเป็นอาหารที่ควรเสิร์ฟเมื่อเย็นแล้วเท่านั้น และไว้เวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่ ทั้งเจ้าเจไดหนุ่มและเจ้าพันเอกจองหอง ทั้งคู่จะต้องพินาศย่อยยับคามือมัน
“น้อมรับบัญชาท่านผู้นำสูงสุด”
เบนรู้แน่ว่าเขายังไม่ตายเพราะอาการร้าวระบมของกล้ามเนื้อทุกมัด
ต่อให้มีเลือดของสกายวอคล์เกอร์ไหลเวียนอยู่และได้ชื่อว่าเป็นเจไดที่ทรงพลังที่สุดคนหนึ่ง แต่การดึงปราสาททั้งหลังให้พังถล่มลงมาก่อนจะพยุงมันไว้นานนับชั่วโมงก็ยังเป็นอะไรที่เกินตัวเขาอยู่ดี เบนไม่แน่ใจว่าเขาสลบไปนานแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นบาดแผลทุกแห่งก็ยังคงปวดหนึบโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบริเวณท้องซึ่งโดนปืนบลาสเตอร์ยิง
ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะพบเข้ากับบุคคลที่คาดไม่ถึง
ไม่ใช่ทั้งเรย์ที่เขากำลังคิดเป็นห่วง ไม่ใช่ฮักซ์ที่น่าจะมานั่งตีหน้ายักษ์เตรียมด่าเขา ไม่ใช่แม้กระทั่งหุ่นดรอยด์ที่รักษาเขา แต่เป็น...
“ลุงลุค...” เบนเรียกด้วยความแปลกใจ น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง แต่กลับเรียกรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้ามาสเตอร์สกายวอลค์เกอร์ให้ปรากฏขึ้น ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นมานั่งอย่างค่อนข้างทุลักทุเลด้วยความช่วยเหลือของผู้เป็นลุง
“ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี สภาพดูไม่ได้เลยนะไอ้หลานชาย”
“ลุงเองก็แก่ไปเยอะเหมือนกัน” เบนยอกย้อน ทว่าลุคดูจะไม่ถือสา เขาลูบมือไปตามเส้นผมและหนวดเครา
“แค่ผมหงอกไม่กี่เส้นยังไม่แก่สักหน่อย”
เบนถึงกับหัวเราะ แต่อาการเจ็บแผลทำให้เขาต้องกลั้นมันไว้ ในช่วงสั้นๆ ก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มขาดช่วง มาสเตอร์สกายวอลค์เกอร์ก็ตัดสินใจเข้าประเด็น
“ต่อให้สู้กับศัตรูเป็นร้อยเธอก็ยังดูเจ็บหนักเกินไปอยู่ดี เกิดอะไรขึ้น?”
“ฮักซ์ตามลุงมาเพราะแบบนี้เหรอ? ให้มาสอบปากคำผมแทนเขา”
“เปล่า เรย์เป็นคนตามฉันมา”
“ทำไม?” สีหน้าของเจไดหนุ่มยังคงเรียบเฉย ทว่ากริยาที่เผลอกำผ้าห่มแน่นขึ้นบ่งบอกความกังวลที่เขาปกปิดอยู่ได้เป็นอย่างดี
“เธอก็รู้ดีอยู่แล้วว่าทำไม”
“ไม่ ผมไม่รู้! ลุงบอกผมสิ!” เบนเสียงดัง และแน่นอนว่ามันมีแต่จะทำให้อาการปวดแผลแย่ขึ้นไปอีกจนต้องงอตัว ข่มฟันกลั้นเสียงครางปวด มาสเตอร์สกายวอลค์เกอร์ถอนหายใจเฮือก เอนตัวกลับไปพิงเก้าอี้พลางบ่นงึมงำ
“ยังใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยนะ ฟังให้จบก่อนสิ ไม่ใช่ว่าฉันมากำจัดเรย์แค่เพราะเขาปล่อยให้ความมืดครอบงำเป็นครั้งคราว....”
“เธอกลายเป็นซิธ” เบนแทรกอย่างทนไม่ได้ น้ำเสียงของเขาขื่นขม ส่วนลุคได้แต่นิ่งเงียบกับความจริงที่เพิ่งรับรู้ “ในช่วงสั้นๆ ที่เธอปล่อยให้ความเกลียดเข้าครอบงำ เธอกลายเป็นซิธ ผมเห็นในตาของเธอ ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงอีกแล้วลุงลุค”
“มาสเตอร์โยดาเคยกล่าวไว้ว่าความกลัวต่างหากคือเส้นทางสู่ด้านมืดที่แท้จริง”
เจไดหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองและพบท่าทางสงบอย่างเหลือเชื่อจากมาสเตอร์สกายวอลค์เกอร์ และพลอยทำให้ความร้อรนของเขาเจือจางลงด้วย
“เพราะความกลัวนำไปสู่ความเกลียด และความเกลียดนำไปสู่ความทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่เธอควรทำนะเจ้าหลานชาย ไม่ใช้หาทางหยุดยั้งความมืดในตัวลูกศิษย์ แต่เป็นการหาว่าอะไรที่ทำให้เขายินยอมเปิดรับด้านมืดเข้ามาต่างหาก หาความกลัวของเรย์ให้เจอแล้วแก้ไขมันซะก่อนจะสายเกินไป ฉันมาเพื่อบอกแค่นี้แหละ”
มาสเตอร์สกายวอลค์เกอร์ลุกยืน เขาหยิบเสื้อคลุมสีน้ำตาลแก่ที่วางพาดอยู่ไม่ไกลนักขึ้นมาสวมท่ามกลางสายตางุนงงของเบนที่ปัญหาทุกอย่างดูจะคลี่คลายและได้ข้อสรุปมาง่ายดายเกินไป ไม่ทันได้เอ่ยปากแสดงความสงสัย คนเป็นลุงก็ชิงถามขึ้นมาในเชิงประชดประชันเสียก่อน
“อะไร? คิดว่าฉันมาเพื่อฆ่าเรย์ทิ้งก่อนเธอจะกลายเป็นซิธเต็มตัวหรือไง”
“ก็...ประมาณนั้นครับ” เบนอ้อมแอ้มยอมรับ “ตำราเจไดก็บอกให้ทำแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”
“แล้วเธอจะปล่อยให้ฉันทำแบบนั้นเหรอ?”
“ไม่ ผมไม่มีทางยอมเด็ดขาด” คำพูดที่หนักแน่นจนค่อนไปทางขึงขังของเขาทำให้รอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่มุมปากของมาสเตอร์สกายวอลค์เกอร์อีกครั้ง
“ก็ว่าแบบนั้นแหละ ดังนั้นฉันจะไม่เสี่ยงสร้างซิธคนที่สองขึ้นมา ทั้งที่คนแรกยังไม่ทันจะเป็นเด็ดขาด อ่อ อีกอย่าง...ฉันเรียนหลักสูตรเจไดแบบเร่งรัด ดังนั้นคงมีสองสามอย่างตกหล่นไปบางแหละนะ หายไวๆ เจ้าหลานชาย”
ประตูห้องที่เปิดออกโดยอัตโนมัติเผยให้เห็นอาร์ทูดีทูที่รออยู่ด้านนอก ดรอยด์รุ่นเก่าจากดาวนาบูส่งเสียงแหลมยาวมาให้แทนคำทักทายก่อนจะเดินตามเจ้านายของมันไป
ลุงลุคของเขามาไวไปไวมากจนเบนแทบตั้งตัวไม่ทัน แต่อย่างน้อยการปรากฏตัวครั้งนี้ก็ไม่น่าหนักใจเท่าที่เขาคาดไว้ สิ่งที่น่าหนักใจอย่างแท้จริงน่าจะเป็นลูกศิษย์ตัวดีของเขามากกว่า เพราะหลังจากนั้นไม่ว่าจะรอนานแค่ไหน เรย์ก็ไม่ยอมมาหาเขาเสียที
เรย์เลือกจะแจ้งข่าวของเบนให้มาสเตอร์สกายวอลค์เกอร์ทราบด้วยสองเหตุผล
หนึ่งคือเขาเป็นญาติที่เบนสนิทที่สุด เรย์ไม่รู้แม้แต่ชื่อของพ่อแม่เบนด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน เธอจึงแจ้งข่าวนี้ไม่ได้ และสองเพื่อสารภาพบาปที่เธอไม่อาจบอกเล่าให้คนรอบตัวรับรู้
ตำนานเจไดรับฟังความผิดของเธออย่างสงบ เรย์เตรียมใจรับการลงโทษมาแล้ว เสี้ยวหนึ่งในความคิดเธอเตรียมใจที่จะตายด้วยซ้ำ ทว่าทุกอย่างกลับผิดคาดไปหมด
“เบนจะเป็นคนบอกเธอเองว่าควรต้องทำอย่างไร”
มาสเตอร์สกายวอลค์เกอร์กล่าวหลังจากเข้าเยี่ยมหลานชาย และนั่นทำให้เรย์เกือบจะกรอกตาด้วยความหน่ายใจเลยทีเดียว เยี่ยม เธอเรียกลุคมาเพราะไม่อยากได้ยินคำพิพากษาจากปากเบน เธอทนรับสิ่งนั้นไม่ได้ แต่กลายเป็นว่าสูญเปล่า สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องไปถามเขาอยู่ดีว่าจะแค่ไล่เธอออก เนรเทศไปดาวรกร้างหรือว่าขังคุกตลอดชีวิตกันแน่
เรย์ไม่มีปัญหาถ้าคนอื่นมาสั่งให้เธอไปตายเพื่อปกป้องสมดุลย์ของจักรวาล เธอจะตะโกนใส่หน้าคนเหล่านั้นกลับด้วยซ้ำ ว่าพวกเขานั้นแหละที่สมควรไปตายเพราะเธอยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แต่ถ้าเป็นเบน...
แค่คิดว่าเขาจะมองมาที่เธออย่างผิดหวังและไม่ต้องการเธออีกต่อไป แค่นั้นเรย์ก็ทนไม่ได้แล้ว
ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงทุกคำพูดและทุกสายตาที่อาจทิ่มตำหัวใจเธอให้เป็นแผล เรย์จึงตัดสินใจหลบหน้าเบน
ซึ่งก็ไม่ได้ยากอะไรนักในเมื่อเขายังก้าวลงจากเตียงไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งหมดที่เธอต้องทำก็แค่แฮกดรอยด์ซึ่งรักษาเขาตอนพวกมันเปลี่ยนเวรพักเครื่องเพื่อดูว่าอาการของเขาดีขึ้นแค่ไหนแล้ว เรย์รู้ดีว่าจะทำแบบนี้ไปตลอดไม่ได้ แต่ว่า...ขออีกนิด แค่ยืดเวลาออกไปได้อีกสักนิดก็ยังดี
ค่ำนั้นพาดาวันสาวกลับมาห้องพักด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจไม่ต่างจากทุกวัน แต่ยังไม่ทันจะสั่งให้เปิดไฟ ทุกอย่างก็สว่างวาบขึ้นมาเสียก่อน
“เรย์...”
ด้วยฝีมือของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวที่มุมหนึ่งของห้อง ร่างสูงใหญ่ซึ่งมีผมสีดำหยักศก สวมกางเกงผ้าขายาวและเสื้อสีขาวอันเป็นเครื่องแบบเจไดที่ไม่ได้ผูกปมและไม่ได้กลัดกระดุมเลยสักเม็ด แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาดูโป๊เปลือยแต่อย่างใด เพราะลำตัวเกินครึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าพันแผล
“เบน! ”
เรย์ร้องเรียกอย่างตกใจ
เขามาอยู่ที่นี่ได้ไงกัน?
จากรายงานล่าสุดเขายังแทบเดินได้ไม่เกินสามก้าวด้วยซ้ำ
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เบนเกริ่น และแค่นั้นแหละ เรย์ก็สติแตกทันที
“ไว้วันหลังนะ ฉันต้องไปช่วยโพกับบีบีเอ็ทปรับปรุงระบบเอ็กซ์วิง...โอย!” เธอหันหลังกลับ ตั้งท่าหนีอย่างโจ้งแจ้ง แต่ดันชนเข้ากับประตูห้องอย่างจัง มันไม่ยอมเปิดออกเหมือนเช่นเคย เรย์กดแผงควบคุมย้ำๆ อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพอเหลือบไปเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็มีคำอธิบายเดียวเท่านั้นที่สมเหตุสมผล
“เบนแฮกระบบห้องนอนฉันเหรอ?!”
นั่นอธิบายได้ด้วยว่าทำไมเขาถึงมานั่งอยู่ในห้องของเธอได้
“เธอเองแฮกดรอยรักษาฉันเหมือนกันน่ะแหละ”
ดวงตาสีน้ำตาลเฮเซลนัทเบิกกว้างขึ้นทันที “ฉันไม่ได้...”
เรย์ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่ก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้เสียก่อนว่าบางทีนอกจากจะรู้ความลับของเธอแล้วเบนอาจยังแอบตลบหลังเธออีกด้วย เขาเอาข้อมูลปลอมมาใส่ให้เธออ่าน แกล้งทำเป็นนอนซมลุกไม่ขึ้นเพื่อให้เธอตายใจ ขี้โกง ขี้โกงสุดๆ เธออุตส่าห์เป็นห่วงแทบตาย แต่เขากลับมานั่งลอยหน้าอยู่ในห้องนอนของเธอเนี่ยนะ
“สรุปเราจะคุยกันได้หรือยัง” เบนเลิกคิ้วถามซ้ำ โทนเสียงของเขาค่อนข้างเรียบขรึม เหมือนตอนที่กำลังดุให้เธอกลับเข้าห้องเรียนได้แล้วตอนที่มัวแต่เล่นเพลินจนลืมเวลา
“ว่ามาสิ” เรย์กอดอก ยืนอยู่ที่เติมไม่ขยับไปไหน
“มานั่งก่อนเถอะ ท่าทางคงต้องคุยกันยาว” เบนเกลี่ยกล่อม ตบเบาะโซฟาข้างตัว เรย์ขมวดคิ้ว ทนดื้อดึงได้อยู่เกือบนาทีก็ต้องใจอ่อนให้กับสายตาของเขา แต่เพราะความรู้สึกผิดยังคงตกค้างอยู่ เด็กสาวจึงเดินไปนั่งที่ปลายเตียงแทน
ใกล้ขึ้น แต่ก็ยังห่างกันห้าถึงหกก้าวอยู่ดี
เบนไม่ได้ว่าอะไร มือขวาของเขาวางอยู่เหนือบาดแผลที่หน้าท้อง ความเจ็บคงยังหลงเหลืออยู่ ไม่มากก็น้อย
“รู้ตัวใช่มั้ยว่าปล่อยให้ด้านมืดเข้าครอบงำอีกแล้ว” เบนเข้าประเด็นเร็วมาก ไม่ให้โอกาสเรย์ได้ตั้งตัวเลยสักนิด เด็กสาวเม้มริมฝีปาก มือที่วางอยู่บนตักกุมกันแน่นด้วยความกังวล
“...ฉันรู้” เธอยอมรับด้วยเสียงแผ่วๆ
“รู้ด้วยใช่มั้ยว่าทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะเธอเชื่อคำพูดของศัตรูมากกว่าอาจารย์อย่างฉัน”
“...” เรย์อยากแย้งใจจะขาดว่านั่นคือศัตรูที่มีทั้งเสียงและรูปลักษณ์เหมือนกับเพื่อนสนิทของเธอต่างหาก ซ้ำยังเป็นศัตรูที่พ่นคำพูดออกมาเหมือนความในใจของเธอไม่มีผิด ความรู้สึกหวาดหวั่นซึ่งเขย่าทุกอย่างในโลกที่เธอเคยเชื่อมั่นไปจนถึงรากฐาน ทุกความกลัวที่เธออยากซุกซ่อนไว้ไม่ให้ใครได้รับรู้
โดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้
“เรย์”
เขาเอ่ยเรียก น้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา แต่กลับทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้ง
“ในฐานะมาสเตอร์ และในฐานะคนที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอดหลายปี ฉันอยากจะบอกว่า...”
ไม่ไหวแล้ว เธอทนฟังต่อไม่ได้อีกแล้ว เด็กสาวผุดลุก ต่อให้ประตูบ้านั่นถูกล็อคตายไว้ เธอก็จะใช้พลังพังมันออกไปให้ได้
“ฉันขอโทษ”
คำสั้นๆ สองคำนั้นทำให้เรย์ชะงัก ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อไม่กล้าหันกลับไปมองเขา เสียงเสื้อผ้าเสียดสีและเสียงฝีเท้าดังขึ้นบ่งบอกว่าเบนลุกยืนและเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาหาเธอเสียเอง
“ฉันผิดเองที่คิดว่าวิธีการโง่ๆ ของฉันจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ฉันผิด ที่จงใจกวาดเรื่องยุ่งยากไว้ใต้พรมแทนที่จะเผชิญกับมันเหมือนที่เธอทำ ฉันขอโทษที่ทิ้งเธอไว้เพียงลำพังกับความกลัวที่ไร้ทางออกนะเรย์ฉันขอโทษจริงๆ”
ยิ่งเบนพูดออกมามากเท่าไร น้ำตาของเรย์ก็ยิ่งไหลออกมามากเท่านั้น ความร้อนจากร่างกายของเขาโอบล้อม เบนอยู่ใกล้มากจนเรย์แทบจะได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นระส่ำดังมาจากเบื้องหลัง เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งมาเกลี่ยน้ำตาให้ และนั่นทำให้เด็กสาวได้สติ
“พอสักที! เลิกทำแบบนี้กับฉักสักทีเถอะ!! ”
เรย์สะบัดหนีทันที เบนคว้าต้นแขนเธอไว้เพียงหลวมๆ ถ้าดิ้นรนสักหน่อยก็คงหลุดพ้นได้ไม่อยาก ทว่าเรย์ไม่อยากทำให้เขาบาดเจ็บมากไปกว่านี้ เด็กสาวจึงร้องขอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ดึงฉันเข้ามาใกล้แล้วก็ผลักไสออกไป แบบนั้น...ไม่เอาอีกแล้ว ฉันทนรับมันไม่ไหวหรอกนะ”
เบนพูดเหมือนเธอกล้าหาญทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยสักนิด เธอทั้งขลาดเขลาและหวาดกลัวจนทำได้เพียงวิ่งหนีคำปฏิเสธของเขาเท่านั้น ตั้งแต่ในวันที่ได้พบกันเมื่อครั้งยังเยาว์วัยหรือแม้กระทั่งบัดนี้ เรย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด เธอไม่สามารถทำใจรับฟังคำพูดที่สื่อว่าไม่ต้องการเธอจากเขาได้
เบนยืนอึ้ง เขาทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรบางอย่างก่อนจะเงียบไปแล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบหน้าตนเองอย่างหนักใจแทน
สบโอกาส เรย์ผลักเขาออกด้วยแรงที่เรียกได้ว่าไม่เบานักอย่างลืมตัว เธอหันหลัง วิ่งหนีไปทางประตู ทว่า...
“โอ๊ย!! ”
เสียงของเขารั้งเธอไว้อีกครั้ง เรย์เหลียวมองและพบว่าเบนกำลังกุมแผลที่ท้องจนตัวงอ เขาทรุดตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง สีหน้าเจ็บปวดเสียจนหัวใจของเรย์หล่นวูบ
“เบน! ฉันขอโทษ โดนแผลเหรอ เจ็บหรือเปล่าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” ด้วยความตกใจ เรย์รัวคำถามเป็นชุดและวิ่งย้อนกลับไปหาเขาอีกครั้ง เด็กสาวพยายามประคองร่างสูงใหญ่ขึ้นมาทว่า...
หมับ!
คนเจ็บกลับคว้าข้อมือเธอแล้วออกแรงดึงจนล้มลงมาบนเตียงด้วยอีกคน ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรั้งเธอเข้าไปกอดแน่น ล็อคแขนรอบเอวบางเพื่อกักทางหนี
“จับได้แล้ว”
เสียงทุ้มนุ่มกระซิบอยู่ข้างหู และเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เรย์เห็นเพียงรอยยิ้มของเขาเท่านั้น ยิ้มนุ่มนวลและปลอดโปร่ง ราวกับคนที่ได้ของสำคัญซึ่งทำหล่นหายคืนมาอีกครั้ง ลักยิ้มที่ข้างแก้มของเขาบ่งบอกความยินดีนี้ได้ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น และมันเกือบจะทำให้เธอยิ้มตามเช่นที่เป็นมาตลอด
“เบนแกล้งทำเหรอ? !! ”
ก็แค่เกือบละนะ...
เรย์โวยวาย ความโกรธแล่นริ้วขึ้นมาแทนที่ทุกความเสียใจและความกังวล เธอยันมือเข้ากับแผงอกของเขาเพื่อขืนตัวออกห่าง แต่ก็ดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไรนัก ผิวเนื้อของเขาร้อนผ่าว จังหวะหัวใจที่เต้นกระหน่ำอยู่ใต้ฝ่ามือทำให้เรย์เริ่มทำตัวไม่ถูก
ยิ่งไปกว่านั้นการดิ้นรนของเธอยังทำให้ผ้าพันแผลตรงช่วงท้องของเขาร่นรุยจนเรียกได้ว่าตอนนี้เบนแทบเปลือยท่อนบนอยู่ร่อมร่อ แม้จะมีเสื้อคลุมอยู่อีกตัวแต่มันก็ไม่ได้ช่วยปิดบังลอนกล้ามเนื้อของเขาได้เลยสักนิด สิ่งเดียวที่พอจะทำให้เรย์ไม่หน้าแดงจนระเบิดไปเสียก่อน คือการค้นพบว่าตรงริมขอบของแผลที่ถูกปืนบลาสเตอร์ยิงเริ่มแห้งจนตกสะเก็ดไปแล้ว
สรุปคือที่นอนซม ทำเป็นลุกไม่ขึ้น ร้องโอดโอย มารยาทั้งนั้น!
เรย์ทุบไหล่เบนเพื่อระบายอารมณ์และเพื่อประท้วงให้ปล่อยตัวเธอเสียที แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่มีการออมแรงอีกต่อไป
“ไม่ต้องมาร้องเลย! ”
เด็กสาวเอ่ยดักคอ ทว่าเบนกลับหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจแล้วกอดเธอแน่นขึ้นไปอีก มือหนาข้างหนึ่งประคองอยู่หลังศีรษะของเธอ ในขณะที่อีกข้างลูบแผ่วๆ ไปตามหลังและลาดไหล่
“เรย์เองก็เหมือนกันน่ะแหละ”
“ฉันทำไม” เธอถามเสียงห้วน นี่มันสถานการณ์บ้าบออะไรกันเนี่ย ทำไมทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดขนาดนี้ เธอกลับห้องมาเจอเขาโดยไม่คาดคิด เขาทำท่าเหมือนจะคุยเรื่องไล่เธอออกจากการเป็นพาดาวัน แต่สุดท้ายดันมาลงเอ่ยที่เตียง...ไม่ใช่ เอาใหม่ สุดท้ายดันมานอนกอดกันแล้วเถียงกันเรื่องแปลกๆ ที่ไม่เข้ากับสถานการณ์เลยสักนิดเสียได้
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว”
ทันใดนั้นริมฝีปากหนาแต่เต็มอิ่มก็ประทับแนบลงมาที่หางตาของเรย์ เบนจูบไล่ตามรอยน้ำตา ผ่านแก้มและมุมปากอย่างอ้อยอิ่ง คราบหยาดน้ำหายลับไปตรงมุมกรามของเด็กสาว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังลากริมฝีปากผ่านต่อลงไปที่ซอกคอของเธออยู่ดี เรย์รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตในทุกที่ที่เบนสัมผัส
“อือ เบน...” เด็กสาวร้องห้าม แต่เสียงของเธอดูจะแผ่วจางและไร้ความหนักแน่นเกินไป ที่จริงแล้วมันเกือบเหมือนเสียงครางด้วยซ้ำ “หนะ...ไหนว่ามีเรื่องคุย”
“ก็คุยไปแล้ว” เขาตอบงึมงำชิดผิวเนื้อ “แต่เธอไม่ฟังฉัน”
“ฉันฟังอยู่ ฉันฟังแล้ว อ๊ะ”
เรย์อุทาน เมื่อเบนเพิ่มน้ำหนักของรอยจูบให้กลายเป็นการขบกัดที่ผิวเนื้ออ่อน เชื่อได้เลยว่าหลังจากนี้มันต้องเป็นรอยแน่ๆ
“เพราะฉะนั้นทำให้เห็นเลยน่าจะง่ายกว่า” มาสเตอร์ของเธอผละออกห่างไปครู่หนึ่งเพียงเพื่อจะส่งรอยยิ้มที่น่าหงุดหงิดไม่แพ้น้ำเสียงเย้ยหยันเยี่ยงผู้ชนะของเขามาให้
“ทะ...ทำอะไร? ” เรย์ถาม และไม่น่าเลย มันทำให้รอยยิ้มของเบนยิ่งกว้างขึ้นและเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของเธอมากขึ้นไปอีก เด็กสาวหลับตาลงด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ ลมหายใจของเขาเป่ารดริมฝีปากและแก้มของเธออย่างจงใจ ทว่าในท้ายที่สุดเขากลับประทับแนบจุมพิตที่หน้าผากของเธอแทน ส่งผ่านความอบอุ่นและเศษเสี้ยวของความรู้สึกอันท้วมท้นมาให้
วินาทีนั้น พลังเชื่อมพวกเขาเข้าด้วยกันอีกครั้ง
อย่างล้ำลึกและแน่นแฟ้นยิ่งกว่าที่เคย
ทุกอย่างที่เบนรู้สึกหลั่งไหลเข้ามาในตัวเรย์จนหมด และมันทำให้เด็กสาวหน้าแดงยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาตลอดทั้งชีวิต แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เธอรู้สึกเศร้า เพราะนอกเหนือไปจากนั้นเขายังเปิดเผยทุกความคิดและเรื่องราวในใจตลอดหลายเดือนที่เหินห่างกันให้เธอรับรู้อีกด้วย
ความเปลี่ยวเหงา ความสับสนจนเกือบเป็นความกราดเกรี้ยว
เบนทุกข์ทรมานอยู่เพียงลำพังกับการตัดสินใจที่ผิดพลาด
ไม่ต่างจากเรย์เลยสักนิด
“เข้าใจหรือยังว่ามันยากแค่ไหนในการควบคุมตัวเองไม่ให้เรียกร้องจากเธอมากไปกว่านี้” เขารำพันในขณะที่คลายอ้อมกอดเล็กน้อย เรย์พยักหน้า ทำไมจะไม่เข้าใจเล่าในเมื่อตอนนี้เธออยู่ในหัวของเขาแล้วนี่น่า เด็กสาวรู้ดีว่าหากต้องการให้บทสนทนาระหว่างกัน ‘ถึงเนื้อต้องตัว’ น้อยลงกว่านี้และ ‘ราบลื่นง่ายดาย’ กว่านี้ เธอควรจะนอนเฉยๆ และขยับปากพูดคุยกับมาสเตอร์ของเธอก็พอ
ทว่าสุดท้ายความเอาแต่ใจของเธอก็ชนะหลักเหตุและผล เรย์เอื้อมแขนออกไปเพื่อโอบกอดรอบกายหนา เบียดตนเองเข้าใกล้เขาเสียเองเพื่อเสาะหาไออุ่นอย่างที่เคยทำมาจนคุ้นชินในความหนาวเหน็บยามค่ำคืน
“แล้วเธอก็ยังจะมาทำแบบนี้อีก”
เจไดหนุ่มบ่นงึมงำเหมือนจะไม่ชอบใจ แต่การที่เขาไม่ขยับตัวหนี ไม่แกะมือเธอออก และลอบยิ้มโดยคิดว่าเธอจะไม่รู้ทำให้เรย์แน่ใจมากว่าเขาก็แค่บ่นเป็นพิธีไปงั้น
“มันยากสำหรับฉันที่ต้องห่างเบนเหมือนกันน่ะแหละ เบนไม่รู้หรอกว่าฉันคิดถึงเบนมากไหน” ที่จริงแล้วเรย์โหยหาทุกอย่างในตัวเขามากพอๆ กับความกระหายอยากในตัวเธอของเขาน่ะแหละ ทุกสัมผัส ทุกความแนบชิด อ้อมกอด รอยยิ้ม ถ้อยกระซิบ สายสัมพันธ์อันแสนพิเศษซึ่งทั้งจักรวาลมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจ
“รู้สิ เพราะตอนนี้ฉันอยู่ในหัวของเธอแล้วนะ” คำพูดของคนเป็นมาสเตอร์ทำให้หัวใจของเด็กสาวเหมือนจะหยุดเต้นไปหนึ่งถึงสองจังหวะด้วยกลัวว่าเขาจะรับรู้ความลับอันไม่สมควรของเธอ ความลับที่ว่าเธอตกหลุมรักมาสเตอร์ของตนเองในขณะที่เขายังคงมองเธอเป็นเพียงเด็กน้อยที่ต้องดูแลทนุถนอมเท่านั้น
แต่เมื่อประโยคต่อมาดังขึ้น มันก็ทำให้เธอทั้งโล่งอกและปวดร้าวไปพร้อมกันอย่างน่าประหลาด
“แต่ก็ยังน่าหงุดหงิดนิดหน่อยตรงที่ฉันยังไม่ได้ยินความคิดของเธออยู่ดี”
“แต่ฉันได้ยินที่เบนคิดนะ”
“นั่นแปลว่าพลังของเธอแข็งแกร่งกว่าฉัน และสักวันเธอจะก้าวข้ามฉันได้แน่นอน”
เธอรู้สึกได้ถึงภาคภูมิใจในน้ำเสียงของเขา เสมือนผู้ปกครองที่เห็นเด็กน้อยซึ่งเขาอุ้มชูมาได้ดิบได้ดี อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิดเลย เบนเอ็นดูเธอแบบสายสัมพันธ์ในครอบครัวเท่านั้นเอง
“เป็นอะไรไป?” เขาก้มหน้าลงมาถามเมื่อรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเธอ “ทำไมถึงเศร้าขึ้นมาอีกแล้ว”
“เปล่าสักหน่อย” เรย์แย้งพลางย่นจมูกใส่เขา “แค่อึดอัดเพราะมีบางคนนอนโป๊ไม่ยอมติดกระดุมเสื้อต่างหาก”
เบนกระตุกยิ้ม ไม่มากจนทำให้เห็นลักยิ้มเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ที่แน่ๆ มันทำให้เรย์รู้สึกอยากเอามือไปดึงแก้มเขาด้วยความหมั่นไส้ชะมัด
“ถึงจะอยากทำก็ทำไม่ได้อยู่ดีน่ะแหละ”
...เพราะมีคนกอดฉันไม่ยอมปล่อยสักที...
เบนคิดเสียงดัง จงใจให้เธอได้ยิน ซึ่งมันทำให้เรย์เลือกไม่ถูกเลยว่าจะทุบเขาอีกสักทีหรือว่ายกมือขึ้นปิดหน้าแดงๆ ของตนเองแทนดี ทว่าสุดท้ายเด็กสาวกลับเลือกที่จะกอดชายหนุ่มให้แน่นที่สุดเท่าที่แรงของเธอจะอำนวยแทนเป็นการเอาคืน
“เบาๆ หน่อย” เบนปรามขณะนิ่วหน้าแต่ก็ไม่ได้ผลักเธอออกแต่อย่างใด “ตรงกลางท้องฉันยังเป็นรูโหว่อยู่”
เรย์ขยับออกห่างเพียงเล็กน้อย ไล่ปลายนิ้วจากแผงอกหนา ต่ำลงไปยังขอบผ้าพันแผลที่หลุดรุ่ย เธอเผลอตัวลูบลอนกล้ามเนื้อของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแตะเข้าที่ริมขอบแผลซึ่งตกสะเก็ดไปแล้วที่เห็นในตอนแรก แต่ดูเหมือนว่าตรงกลางซึ่งโดนแสงจากบลาสเตอร์เข้าตรงๆ จะยังไม่ประสานกันดีนัก
เบนรวบมือข้างนั้นของเรย์ไว้เพื่อห้ามการกระทำ
“เจ็บเหรอ?” เด็กสาวถาม
“เปล่า” เขาตอบ มือหนาอีกข้างประคองใบหน้าของเธอไว้แล้วกดริมฝีปากลงมาที่หางคิ้ว เลื่อนไปยังเปลือกตา และแก้ม เนิบช้าและแผ่วเบา เลียนแบบสัมผัสจากปลายนิ้วของเธอ เบนครางฮือในลำคออย่างงุ่นง่านก่อนจะถอยสัมผัสทั้งหมดออกไป ความรู้สึกหงุดหงิดปนเสียดายของเขาส่งผ่านมาที่เธอด้วยเช่นกัน
เรย์ได้แต่สงสัยทว่าไม่กล้าถาม ทำไมเขาต้องทำเหมือนต้องใช้ความพยายามและพละกำลังทั้งหมดเพื่อสะกดกลั้นตนเองขนาดนั้น ทว่ามีคำถามหนึ่งที่ไม่ว่ายังไงเด็กสาวต้องถามให้ได้
“สรุปแล้วบทลงโทษของฉันละ?”
มาสเตอร์ของเธอเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เรย์จึงจำใจต้องอธิบายแบบละเอียดขึ้นทั้งที่ไม่อยากหวนนึกถึง
“เรื่องที่...ทำให้เบนต้องเจ็บตัว แล้วก็ที่ถูกความมืดเข้าครอบงำ...อีกแล้ว...”
“ก็กำลังลงโทษอยู่นี่ไง” เขาถอนหายใจด้วยท่าทีประมาณว่าเธอช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เรย์ขมวดคิ้ว ยังไม่ละความพยายามในการซักไซ้มาสเตอร์ของเธอ เพราะทั้งสัมผัส รอยยิ้ม การเชื่อมพลังและเปิดเผยความในใจ ทั้งหมดนั้นทำให้หัวใจของเรย์พองโตด้วยความสุข ยินดีและเต็มตื้นจากการได้ตระหนักรู้ว่าเธอเป็นที่ปรารถนาของเขามากเพียงใด
แม้จะเป็นในคนละแบบกับที่เธอต้องการก็ตามที
“ทำไมมันเหมือนฉันได้รางวัลมากกว่าเลย?”
“ก็ถูก...”
“อ้าว?”
“เพราะฉันกำลังลงโทษตัวเองอยู่”
“เอ๋?”
อุทานได้แค่นั้นเบนก็กดริมฝีปากมาที่แก้มของเรย์อีกครั้ง ผละจากและถอดถอนหายใจอย่างเสียดายอีกรอบ
ทั้งที่พลังเชื่อมโยงกันอยู่และเธออยู่ในหัวของเขาแท้ๆ แต่บางทีเรย์ก็ไม่เข้าใจมาสเตอร์ของเธอเอาเสียเลยจริงๆ
Chapter 14: Episode 14 Vacation Time
Notes:
(See the end of the chapter for notes.)
Chapter Text
“ภารกิจต่อไปเราจะไปกันที่ดาวสคาริฟ”
อาร์มิเทจกล่าวขึ้นในการประชุมครั้งถัดมา น้ำเสียงของเขาเรียบขรึมและเป็นการเป็นงานเหมือนเคย ทว่าทั้งเรย์ โพ และฟินน์ซึ่งนั่งสุมหัวกันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องกลับคิดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย
ทรายขาว น้ำใส ต้นมะพร้าว และแดดจ้า
นี่แปลได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น
“ทะเล! /พักร้อน! /ไปเที่ยว!” แก๊งค์ทรีโอประสานเสียงกันอย่างรื่นเริง คำว่าทะเลของเรย์ดังที่สุด ทุกคนในที่นั้นแทบจะเห็นประกายวิบวับด้วยความตื่นเต้นภายในดวงตาสีเฮเซลนัทของเด็กสาวได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งทุกคนที่ว่าก็มีแค่เบนผู้นั่งถัดไปจากเรย์ ฟาสม่าที่ยืนตัวตรงอยู่ด้านหลังอาร์มิเทจเหมือนเช่นเคย เจ้าหน้าที่เจสซิก้า พาวาและเจ้าหน้าที่มิทากะในฐานะเลขาจดรายละเอียดของการประชุม และเคย์เดลซึ่งติดตามหัวหน้าอย่างโพมาด้วยเท่านั้น
อ่อ แถมด้วยบีบีเอ็ทซึ่งกำลังกลิ้งไปหลบหลังโต๊ะกาแฟตัวเตี้ยเพราะตกใจในเสียงดังด้วยอีกหนึ่งตัว
มันเป็นองค์ประชุมที่ช่างเล็กและไม่เป็นทางการเอาเสียเลย เพราะนอกจากห้องที่ใช้จะเป็นห้องพักผ่อนส่วนกลางซึ่งมีแค่โซฟาตัวยาวกับทีวีจอยักษ์แล้วยังไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นได้รับเชิญมาสักคน เพราะแบบนั้นแก๊งค์ทรีโอเลยคิดไปว่านี่เป็นการชวนเที่ยวทางอ้อมจากคนปากหนักอย่างพันเอกฮักซ์เท่านั้น
อีกอย่างเจไดประจำเฟิร์สออเดอร์อย่างเบนยังไม่ฟื้นตัวดีร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรับภารกิจมาทำ
“นี่ไม่ใช่การพักผ่อน” ประโยคย้ำอย่างหนักแน่นจากนายทหารผู้มียศสูงสุดแห่งหน่วยเฟิร์สออเดอร์ไม่ต่างอะไรจากการเอาตะปูมาเจาะลูกโป่งแห่งความคาดหวังของแก๊งค์ทรีโอเลยสักนิด โดยเฉพาะเรย์ที่เหี่ยวฟีบจนแทบจะเหลือตัวนิดเดียว “มันเป็นภารกิจ และยังเป็นภารกิจที่เดิมพันสูงมากจนฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนอกจากคนในห้องนี้”
อาร์มิเทจพยักหน้าให้สัญญาณกับมิทากะ ทันใดนั้นจอทีวีด้านหลังก็ปรากฏภาพรายละเอียดของงาน
ภารกิจสตาร์ดัส
ความยากระดับ S ความสำคัญระดับ SS
ประทับตราลับสุดยอด
เบนนึกอยากลูบศีรษะพาดาวันของเขาเพื่อปลอบใจยิ่งนัก แต่ตระหนักดีว่ายังมีสายตาอีกหลายคู่จ้องมองมา เขาเลยเลือกจะหันไปทางคู่หูผมแดงแทน
“แล้วเจ้าภารกิจเดิมพันสูงที่ยากระดับเอสของนายจะสำเร็จได้ยังไงไม่ทราบในเมื่อฉันยังต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลรายวันอยู่เลย”
อาร์มิเทจเหยียดยิ้ม
“ได้สิ เพราะงานนี้ไม่ได้ต้องการทักษะหรือความสามารถของเจไดเบน แต่ต้องการตัวเบนจาร์มิน ออการ์น่า โซโลต่างหาก”
ในขณะที่พันเอกผมแดงงวนอยู่กับการเปลี่ยนหน้าจอไปภาพถัดไปโดยมีเจสซิก้าคอยช่วยเหลือ โพก็หันขวับมาทางเบนอย่างรวดเร็วด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ชื่อกลางคุณคือออร์กาน่า? อย่าบอกนะว่าคุณเป็นลูกของท่านวุฒิ...แค่กๆ”
ไม่ทันพูดจบประโยคโพก็เริ่มไอโขลกติดต่อกันเป็นชุดจนฟินน์ถึงกับต้องลูบหลังให้ มันดูเหมือนนักบินหนุ่มแค่สำลักอะไรบางอย่าง ติดอย่างเดียวคือเขาไม่ได้กำลังเคี้ยวหรือกลืนอะไรอยู่ทั้งสิ้น เห็นแบบนั้นเรย์เลยหันไปค้อนขวับใส่เบนทันทีข้อหาใช้พลังแกล้งเพื่อนรักของเธออย่างไร้เหตุผล
ที่จริงแล้วมันมีเหตุผลซ่อนอยู่เพียงแต่เขายังไม่พร้อมจะบอกเรย์เท่านั้น
เจไดหนุ่มเสมองไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พร้อมหยิบน้ำขึ้นมาจิบ แต่ทันทีที่ประโยคอธิบายของอาร์มิเทจเริ่มต้นขึ้น
“นี่คือการ์เลน เออโซ วิศวรอันดับหนึ่งของสาธารณรัฐกาแลคติกใหม่และยังเป็นผู้ว่าจ้างของเราอีกด้วย”
“พรืด!! ”
ก็เป็นทีของเบนที่ต้องสำลักจนเรย์ต้องมาช่วยลูบหลังบ้าง
ภาพบนหน้าจอคือชายวัยกลางคนซึ่งมีรูปหน้าคมคาย ผมสีน้ำตาลของเขาเริ่มเป็นสีดอกเลาเนื่องจากแซมด้วยผมงอก เบ้าตาลึกและและโหนกแก้มสูง ริมฝีปากบางเฉียบไม่ยกยิ้ม แต่โดยรวมกลับให้ความรู้สึกของความสง่างามและภูมิฐานมากกว่าดุดัน
“เขารับปากว่าจะช่วยออกแบบยานสุพรีมมาซี ยานบัญชาการลำใหม่ของเฟิร์สออเดอร์ให้ด้วยหนึ่งเงื่อนไขคือต้องทำงานที่เขาว่าจ้างมาให้สำเสร็จเท่านั้น ซึ่งภารกิจของเราคือเธอคนนี้ จินน์ เออโซ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของการ์เลน”
ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้งเป็นหญิงสาวผมสีบรูเน็ตและดวงตาสีเขียวเจิดจ้า ริมฝีปากสีสดเต็มอิ่ม เธออยู่ในชุดทะมัดทะแมงสีกากีที่เกือบเหมือนเครื่องแบบทหาร มันเป็นภาพแอบถ่ายจากย่านการค้าแห่งหนึ่งในใกล้วิหารไคเบอร์ จินน์กำลังเหลียวมองข้ามไหล่ตน คู่สนทนาของเธอเป็นผู้ชายตัวสูงที่ถ่ายติดมาแค่แนวกรามซึ่งครึ้มไปด้วยไรเคราเท่านั้น มือของชายคนนั้นแตะอยู่ที่ต้นแขนจินน์อย่างสนิทสนม
“อย่าบอกนะว่าเธอโดนลักพาตัว” โพหายจากการอาการสำลักแล้ว เหลือแค่เบนที่เดี๋ยวก็หน้าซีดเดี๋ยวก็เขี้ยวคล้ำแทน
“ไม่” อาร์มิเทจตอบ
“หรือว่าโดนปองร้าย” ฟินน์เดาบ้าง
“ไม่”
“คุณการ์เลนทำอะไรขัดผลประโยชน์กับนักการเมืองหรือเปล่าครับ” มิทากะพยายามมีส่วนรวม
“ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักคน”
“เรื่องผู้ชายเหรอคะท่าน? ” ฟาสม่าเดาบ้าง เล่นเอาทุกคนทำหน้าปุเลี่ยนเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่านี่จะเป็นภารกิจของเฟิร์สออเดอร์ไปได้ แต่เชื่อเถอะว่ามันเป็นไปแล้ว
“จินน์ เออโซใช้ชื่อปลอมว่าลีอานน่า ฮัลลิคจองห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนดาวสคาริฟไว้ การ์เลนเชื่อว่าจินน์ไปเพื่อนัดพบกับผู้ชายคนหนึ่งเพื่อตกลงในเรื่องที่เขาไม่เห็นชอบด้วย งานของเราคือขัดขวางการนัดพบครั้งนี้ทุกวิธีทางให้ได้”
ถึงแม้อาร์มิเทจจะใช้คำได้เป็นทางการและอ้อมค้อมขนาดไหน แต่สมองของเกือบทุกคนในที่นั้นก็สามารถประมวลออกมาให้เหลือได้แค่วลีเดียวเท่านั้นคือ
นี่มันปัญหาพ่อตาชังน้ำหน้าลูกเขยชัดๆ !!
แต่อย่างที่บอก...แค่เกือบ ไม่ใช่ทุกคน
“แล้วผู้ชายที่ว่านี่คือคนไม่ดีใช่ไหม?” เรย์แทรกถาม สีหน้าสงสัย
โพอ้าปากค้าง ในขณะที่ฟินน์อ้าปากบ่นเพื่อนรักทันควัน
“ถามจริงเรย์? นี่ขนาดฉันโดนโพด่าว่าซื่อบื้อไม่เว้นวันแล้วนะ”
“หา? ฉันทำอะไรผิด แค่ถามคำถามในที่ประชุมเองนะ หรือต้องให้ยกมือด้วย?”
“มาสเตอร์โซโลช่วยผมด้วย” ไม่รู้ฟินน์ไปเอาความกล้ามาจากไหน หรือเพราะจนปัญญาไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ ถึงได้มองข้ามไหล่เด็กสาวแล้วหันไปร้องขอกับร่างสูงที่ตัวเขาเองเคยปรามาสว่าน่ากลัวเสียได้ และเพราะแบบนั้นดวงตาสีเฮเซลนัทกลมโตจึงเบนเข็มไปทางคนข้างตัวแทน เรย์เอียงคอรอคอยคำอธิบาย
“เอ่อ...คือ...” เบนอึกอัก พยายามสรรหาคำที่พาดาวันของเขาน่าจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด แต่ก็ช้ากว่าอาร์มิเทจมากนัก
“เจ้าหมอนี่เป็นคนไม่ดีสุดๆ เลยแหละเรย์ ฉะนั้นจึงสำคัญมากที่ต้องปกป้องจินน์ให้ได้ เพื่อที่การ์เลน เออโซจะได้ยอมออกแบบยานซุพรีมมาซีให้กับพวกเรา”
ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ แต่อาร์มิเทจเพิ่งจะพ่นวัตถุประสงค์แอบแฝงอันชั่วร้ายของตนเองออกมาจนหมดเปลือก นี่เองสาเหตุที่ไม่ยอมเอาภารกิจนี้เข้าที่ประชุมใหญ่และเลือกใช้งานเฉพาะคนใกล้ตัว เพราะพวกผู้บัญชาการคนอื่นไม่มีทางเห็นชอบที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องหยุมหยิมภายในครอบครัวเช่นนี้เด็ดขาด และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็โบกมือลายานรบสุดล้ำสมัยซึ่งออกแบบโดยวิศวรมือทองไปได้เลย
เหล่าคนยศน้อยพยายามเก็บอาการไม่ให้เผลอกรอกตามองบนใส่ผู้บัญชาการ ในขณะที่คู่หูอย่างเบนถึงกับซบหน้าลงกับฝ่ามือด้วยความหน่ายใจเลยทีเดียว คงมีแค่เรย์ที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเหมือนเดิม
ท่ามกลางบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เคย์เดลตัดสินใจถามในสิ่งที่สำคัญที่สุด
“แล้วผู้ชายคนนี้ เราสืบรู้ชื่อกับหน้าหรือยังคะ?”
“ถามได้ดีมากเจ้าหน้าที่เคย์เดล” พันเอกฮักซ์ส่งสัญญาณมือให้เจสซิก้าเปลี่ยนภาพบนหน้าจออีกครั้ง จากรูปของหญิงสาวก็กลายเป็นชายหนุ่มซึ่งมีเส้นผมและดวงตาสีดำแทน หนวดเคราครึ้มเต็มใบหน้า เหนือริมฝีปากและใต้คางค่อนข้างเยอะกว่าบริเวณอื่น เขาสวมชุดสีกากีที่ดูคล้ายของจินน์ยิ่งนัก ต่างแค่มีเสื้อกันหนาวตัวนอกสีน้ำเงินแก่ซึ่งฮู้ดขลิบด้วยเฟอร์สีน้ำตาลเทาเพิ่มมา
“เชิญพบกับอีกหนึ่งเป้าหมายของเรา...”
เบนแทบจะสำลักน้ำอีกรอบเมื่อเห็นภาพของ ‘ว่าที่ลูกเขยที่พ่อตาชั่งน้ำหน้า’ เต็มตา ในขณะที่เรย์ยืนขึ้นแล้วร้องเสียงดังอย่างยินดี
“แคสเซียน!! ”
“รู้จักด้วยเหรอ? ” อาร์มิเทจถาม สีหน้างุนงงไม่ต่างจากสมาชิกคนอื่นในห้องประชุมอันไม่เป็นทางการแห่งนี้
“ไม่ใช่แค่รู้จักนะ เราโตมาด้วยกันเลยแหละ” เรย์อธิบายด้วยรอยยิ้ม “เขาจบจากคัมพารัสรุ่นเดียวกับเบนด้วย”
ขากรรไกรของพันเอกผมแดงทิ้งตัวลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงโวยวายที่ดังลั่นออกไปถึงทางเดินด้านนอก
“หมอนี่เป็นเจไดงั้นเรอะ!!! ”
การประชุมจบลงเร็วกว่าที่คาดเพราะอาร์มิเทจลากเบนออกมาแทบจะในทันที
ตอนนี้ทั้งคู่อยู่กันในห้องพักส่วนตัวของคนผมแดง กว้างขว้างและตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีดำเรียบๆ จนค่อนไปทางดุดันเหมือนของเจไดหนุ่มไม่มีผิด ต่างไปแค่มีคอนโดแมวตั้งอยู่มุมห้อง และรอบๆ เกลื่อนกลาดไปด้วยของเล่นแมว เบนนั่งไขว้ห้าง มือเท้าคางอย่างแสนหน่ายขณะเฝ้ามองคู่หูผมแดงทะเลาะกับภาพโฮโลแกรมขนาดครึ่งตัวของการ์เลน เออโซ
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราตกลงกันไว้” อาร์มิเทจยังยืนตรงมือไพล่หลังเหมือนเดิม ทว่าทั้งสีหน้าและน้ำเสียงใกล้ระเบิดเต็มที
การ์เลนเลิกคิ้ว ตอบกลับอย่างใจเย็น “ไม่ใช่ตรงไหนกันพันเอกฮักซ์ ผมแค่ขอร้องให้คุณกันแคสเซียน เอนดอร์ออกห่างจากลูกสาวผมจนกว่าผมจะแน่ใจในความสัมพันธ์และพฤติกรรมของชายคนนี้ได้เท่านั้น”
“แต่บังเอิญแคสเซียน เอนดอร์ที่คุณว่าดันกลายเป็นมาสเตอร์เอนดอร์ที่เป็นเพื่อนสนิทกับมาสเตอร์โซโลตรงนี้ด้วยนี่สิ” อาร์มิเทจเบี่ยงตัว เผยให้เห็นเจไดหนุ่มที่นั่งหน้าหงิกอยู่เบื้องหลัง
“สวัสดีเบนจาร์มิน สบายดีใช่มั้ย” การ์เลนทักทายอย่างสนิทสนม เบนปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมผงกศีรษะกลับไป เลือกจะตอบเรียบๆ ว่าก็ดีครับ แทนที่จะพูดไปตามตรงว่าเขาเพิ่งจะถูกยิงมาและสมควรได้รับวันพักร้อนยาวสักสองสามเดือนไม่ใช่โดนลากไปลากมาเพราะคู่หูอยากได้ยานลำใหม่
“แล้วเลอากับฮานละเป็นไงบ้าง” การ์เลนถามต่อ ไหล่ของเบนเกร็งขึ้นเล็กน้อย
“ผมไม่ได้เจอพ่อกับแม่มาหลายปีแล้ว คงจะตอบข้อนั้นให้ไม่ได้”
“โอ้” การ์เลนอุทาน ทว่าสีหน้าไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ “แล้วเมื่อไหร่จะเปลี่ยนใจเรื่องจินน์กัน”
“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมเป็นเจไดแล้ว”
“ลุคไม่ได้ห้ามเรื่องมีครอบครัวสักหน่อยเท่าที่ฉันจำได้”
“แต่ก็ไม่ได้บังคับเหมือนกัน” เจไดหนุ่มโต้กลับ น้ำเสียงติดจะไม่พอใจเล็กๆ เนื่องจากสัมผัสได้ถึงความคาดหวังที่เกือบจะเป็นการคาดคั้นจากการ์เลน อึดใจถัดมาเขาก็จะหมุนเก้าอี้ไปทางคู่หูแทน “นี่เป็นเหตุผลที่นายยอมรับงานใช่มั้ย นายรู้ได้ไงว่าฉันกับจินน์เราเคย...”
“หมั้นกัน” อาร์มิเทจต่อคำนั้นที่เบนไม่กล้าพูดให้ “ฉันรู้เรื่องนายทุกเรื่องแหละโซโล ไม่งั้นฉันจะใช้งานนายได้ยังไง”
นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เบนสำลักจนหน้าดำหน้าแดงตอนที่ได้ยินนามสกุลเออโซ
การ์เลนกับแม่ของเขา เจ้าหญิงเลอา ออร์กาน่า โซโล ซึ่งตอนนี้น่าจะต้องเรียกว่าท่านวุฒิสมาชิกออร์กาน่ามากกว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน สมัยยังเล็กก่อนพลังจะตื่นขึ้นมาเต็มที่ เบนกับจินน์เคยเล่นด้วยกันบ่อยๆ
บรรดาพ่อแม่จับพวกเขาหมั้นกันแบบปากเปล่า ไม่มีสัญญา ไม่มีของแทนใจใดๆ ทั้งสิ้น
ดังนั้นตอนที่เบนอายุสิบสอง โตพอจะรู้ความ และได้รับคำแนะนำจากลุคให้ไปอยู่ด้วยกันที่โรงเรียนเจได เขาเลยขอถอนหมั้น โดนมีจินน์ยืนสนับสนุนอยู่ไม่ห่าง สรุปคือเบนและจินน์เคยหมั้นกันและถอนหมั้นไปแล้วโดยที่ไม่มีใครอื่นนอกจากสมาชิกในครอบครัวรับรู้
อ่อ...และอาร์มิเทจด้วยอีกคน
“ขอละฉันเพิ่งคืนดีกับเรย์เองนะ อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นได้มั้ย” เบนถอนหายใจพลาง บีบนวดขมับไปพลาง เขามีลางสังหรณ์ว่าภารกิจนี้น่าจะทำให้อายุขัยของเขาสั้นลงอีกสักสิบปีได้
“โอ้ เธอหมั้นกับคนอื่นแล้วเหรอเนี่ย” การ์เลนโพล่งกล่าวอย่างกึ่งประหลาดใจ
“ไม่ใช่ครับ เรย์เป็นพาดาวันของผม” เบนละล้าละลังแก้ความเข้าใจผิด ก่อนจะตระหนักได้ว่าบางทีถ้าปล่อยให้การ์เลนคิดเช่นนั้นต่อไปอาจจะเป็นการดีกว่า เพราะเขาจะได้ไม่ต้องเค้นสมองหาทางหลีกเลี่ยง ‘ข้อเสนอ’ ของวิศวกรมือทอง แต่ก็อีกน่ะแหละ เรย์เพิ่งสิบห้าย่างสิบหก เขายังไม่อยากถูกโยนเข้าคุกตะรางหลังความจริงเปิดเผยว่าเอาลูกศิษย์มาแอบอ้างเป็นคนรักหรอกนะ
แล้วอยู่ๆ เบนก็หน้าแดงให้กับความคิดนั้นเสียเอง
และยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีกเมื่อการ์เลนตั้งคำถามขึ้นมา
“ถ้างั้นแล้วทำไมต้องกังวลด้วยละว่าลูกศิษย์จะคิดยังไงเรื่องที่เธอมีคู่หมั้น”
นั่นสิทำไมกันนะ แต่ไม่ว่าจะขบคิดเท่าไรเจไดหนุ่มก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ เพราะแบบนั้นเขาเลยตัดสินใจโยนคำถามกลับไปให้ผู้ว่าจ้างแทน
“แล้วแคสเซียนไม่ดีตรงไหนกันครับ? พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี ผมรู้จักเขาดี เขาเป็นคนดีมากคนหนึ่ง”
“แล้วยังเป็นเจไดอีกด้วย” อาร์มิเทจเสริม “งานยากระดับนี้เราอาจต้องคุยเรื่องค่าตอบแทนกันใหม่นะคุณเออโซ”
เบนอยากจะใช้พลังบีบคออาร์มิเทจยิ่งนักข้อหาโลภไม่ถูกเวล่ำเวลา
“เกราะป้องกันยานแบบใหม่จากไคเบอร์คริสตัลเพิ่มประสิทธิภาพจากเดิมร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ปืนใหญ่เมก้าคลาสรุ่นล่าสุดสองพันห้าร้อยกระบอกติดตั้งอัตโนมัติ และวิทยาการระบบไฮเปอร์สเปชเทรคกิ้งที่ผมพัฒนาขึ้นเองเป็นพิเศษและยังไม่เคยเผยแพร่ที่ไหน ทั้งหมดนี้ฟังดูคุ้มค่าพอมั้ยพันเอกฮักซ์”
รวมทั้งอยากจะปาเครื่องโฮโลแกรมให้ละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วย การ์เลนจะได้ไม่สามารถยื่นข้อเสนองามๆ เช่นนี้ได้ ซึ่งดูจากอาการตาเป็นประกายของอาร์มิเทจ คงยอมตกลงตั้งแต่คำว่าร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วด้วยซ้ำ
ที่จริงแล้วเพราะความพูดมากของเคทู เบนจึงเคยได้ยินชื่อของจินน์มาหลายต่อหลายครั้ง ประโยคแซะแซวแบบแผ่วเผินที่ไม่ได้ลงรายละเอียดแต่กลับทำให้แคสเซียนต้องโวยวายกลบเกลื่อนความเขินอายได้ทุกครั้งไป แม้จะเอะใจแต่เบนกลับคิดง่ายๆ ว่าน่าจะแค่บังเอิญชื่อเหมือนจึงไม่ได้สนใจซักไซ้ต่อ ไม่นึกเลยว่ามันจะสร้างปัญหาตามมาได้หนักหน่วงถึงเพียงนี้
แคสเซียน...นายไปทำอะไรเข้าเนี่ย การ์เลนถึงได้ชังน้ำหน้าขนาดต้องจ้างเฟิร์สออเดอร์มาช่วยขัดขวาง
“อ่อ อีกอย่าง” วิศวรมือหนึ่งกล่าวทิ้งท้าย ดวงตาคมกริบหันมาทางเจไดหนุ่ม “อย่าได้คิดเตือนเพื่อนเป็นเด็ดขาดเชียวเบนจามิน”
อาร์มิเทจวางมือบนไหล่ของเขาตามมาติดๆ
“ไม่งั้นเรย์ได้รู้เรื่องของนายกับจินน์แน่”
ถามจริงเถอะนะแคสเซียน นี่นายไปก่อวีรกรรมอะไรไว้กันแน่วะ!!??
###########
Notes:
เครียดกันมาหลายตอนแล้ว เปลี่ยนโทนมาเป็นคอเมดี้บ้าง 555 สงสารมาสเตอร์เหมือนกันนะคะ โดนคู่หูทารุณกรรมใช้งานเยี่ยงทาสแล้วยังเอาพาดาวันของเขามาเป็นตัวประกันอีก //ซับน้ามตา// แต่ตอนต่อไปเขาจะโดนยิ่งกว่านี้อีกค่ะ 555 //ได้เวลาพิฮักซ์เอาคืน
Chapter 15: Episode 15 Sea, Sand and Octopus (?)
Chapter Text
สคาริฟคือดวงดาวขนาดเล็กอันห่างไกลในเซ็คเตอร์เอบรีออน
กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของผิวดาวปกคลุมด้วยน้ำทะเลสีครามงดงาม เกาะภูเขาไฟขนาดเล็กทอดตัวกระจัดกระจายอยู่ทั่วดาว หาดทรายขาวละเอียดและฤดูร้อนยาวนานกินเวลาตลอดปี ด้วยสาเหตุเหล่านั้นสคาริฟจึงเป็นดวงดาวที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนนอนอาบแดดยิ่งนัก
และถึงแม้จะมีภารกิจสำคัญระดับ SS รออยู่ แต่เพราะสมาชิกทีมมินิเฟิร์สออเดอร์อย่างไม่เป็นทางการมาถึงสคาริฟล่วงหน้าก่อนเป้าหมายอย่างจินน์ เออโซถึงสองวัน ทุกคนจึงทำตัวกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเต็มที่...ทุกคนไม่เว้นกระทั่งอาร์มิเทจ
ขณะนี้พันเอกผมแดงกำลังนอนอาบแดดอยู่บนเตียงผ้าใบริมหาด เครื่องดื่มโมฮิโต้ปักร่มคันเล็กในมือขวา แว่นกันแดดอันโตปิดบังใบหน้า และคุณมิลลิเซ็นต์นอนขดอยู่บนหน้าท้องอย่างเกียจคร้านไม่แพ้กัน เชื่อได้เลยว่าหลังจากนี้หากอาร์มิเทจได้ผิวแทน มันจะต้องเป็นเฉดแทนที่มีรอยด่างตรงกลางลำตัวแน่นอน
ส่วนฟาสม่าก็ยังคงวนเวียนไม่ห่างจากผู้บังคับบัญชาเหมือนเคย ร่างสูงเกินบุรุษของผู้กองสาวกำลังนั่งก่อปราสาททรายอยู่ เธอสวมชุดว่ายน้ำวันพีชสีเหลืองสดใสที่ดูเหมาะกับเส้นผมสีทองสั้นเป็นอย่างยิ่ง นี่ถือเป็นครั้งแรกสำหรับใครหลายๆ คนที่ได้เห็นใบหน้าใต้หน้ากากของฟาสม่า เจ้าตัวจึงโดนระดมถ่ายรูปไปหลายต่อหลายครั้งกว่าทุกอย่างจะกลับมาสงบสุขได้
ทางด้านโพและเคย์เดลก็กำลังจับคู่แทคทีมเล่นวอลเล่ย์บอลแข่งกับเจสซิก้าและมิทากะอย่างเมามันโดยมีบีบีเอ็ททำหน้าที่เป็นกรรมการนับแต้มให้ มันเป็นเหมือนเกมแห่งศักดิ์ศรีในการแก้มือระหว่างหน่วยบินและเจ้าหน้าที่สะพานเดินเรือ เพราะครั้งล่าสุดที่เฟิร์สออเดอร์จัดกีฬากระชับมิตรภายในยาน เหล่านักบินดันพ่ายแพ้ให้เจ้าหน้าที่นั่งโต๊ะในเกมเบสบอลรอบชิงนะเลิศไปอย่างฉิวเฉียดเสียได้
ส่วนฟินน์...
“เหวอ!!”
“วู้ฮู้!! ”
ก็กำลังหัดเล่นโต้คลื่นกับเรย์อยู่ คลื่นที่โถมเข้ามาในหาดแห่งนี้ไม่ค่อยสูงมากนักจึงค่อนข้างเหมาะสำหรับมือใหม่ ในขณะที่เรย์ลองผิดลองถูกอยู่สามสี่ครั้งก็สามารถลื่นไถลไปกับเกลียวคลื่นได้อย่างคล่องแคล่ว ฟินน์กลับล้มหน้าคว่ำสำลักน้ำทะเลจนปากคอแห้งไปหมด
“โอเค พอกันที ฉันมั่นใจแล้วว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อยืนบนกระดานเซิร์ฟแน่นอน” สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มครวญบ่นเหมือนเคย ก่อนจะกระฟัดกระเฟียดลากอุปกรณ์โต้คลื่นกลับเข้าฝั่ง
“ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งถอดใจสิฟินน์ อยู่เล่นด้วยกันก่อน” เรย์พยายามรั้งเพื่อนสนิทไว้ แต่แน่นอนว่าไม่เป็นผล ฟินน์ขึ้นฝั่งไปแล้ว เขาแกะสายรัดข้อเท้าออก ปักกระดานโต้คลื่นไว้กับหาดแล้วเท้าสะเอวมองพาดาวันสาวที่บิดลำตัวเล็กน้อยบังคับให้กระดานโต้คลื่นเคลื่อนเข้ามาจอดที่หาดอย่างสวยงามผิดกับเขาลิบลับ
“นี่เธอหลอกฉันหรือเปล่าเนี่ยว่าเป็นครั้งแรกที่ได้โต้คลื่น จริงๆ แล้วแจคคูไม่ใช่ดาวทะเลทรายใช่มั้ยสารภาพมาซะ”
“ไม่มีอะไรเป็นทะเลทรายไปมากกว่าแจคคูอีกแล้วแหละฟินน์” เด็กสาวตอบกลับพร้อมรอยยิ้มกว้าง แกะสายรัดและปักกระดานไว้บนหาดเหมือนที่เพื่อนสตอร์มทรูปเปอร์ทำ “แต่ถ้าถามฉัน เวลาไถลตัวไปตามเนินทรายกับเล่นโต้คลื่นมันก็คล้ายกันอยู่นะ อาจเพราะแบบนั้นละมั้งฉันเลยเป็นเร็ว”
“ไม่อ่ะ” ฟินน์แย้ง “ฉันว่าเป็นเพราะฟอร์ซมากกว่า เจไดอย่างพวกเธอนี้ขี้โกงชะมัด”
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย” เรย์แย้งกลับเสียงขุ่น ทั้งยังกอดอกแสดงความไม่พอใจผ่านภาษากายอีกต่อ ด้วยท่าทางเช่นนั้นผสมกับส่วนโค้งเว้าแบบสาวแรกรุ่นในชุดบิกินี่สีน้ำเงินลายดวงดาวสีขาว สายตาของนักท่องเที่ยวชายหลายคนจึงเหล่มาทางเรย์เต็มๆ
ที่จริงแล้วต้องบอกว่าเจ้าพวกนั้นจ้องเพื่อนรักเขาตาเป็นมันตั้งแต่อยู่บนกระดานโต้คลื่นแล้วด้วยซ้ำ แต่เพิ่งจะมีโอกาสได้จ้องเต็มๆ ตอนที่กลับเข้าฝั่งมาแล้ว
ฟินน์พยายามเอี้ยวตัวไปบัง ‘วิว’ ไว้ แต่ก็ดูจะไม่ได้ผลเท่าไร แถมชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มนั้นยังกระดกเครื่องดื่มเข้าปากรวดเดียวหมดราวกับกำลังรวบรวมความกล้าก่อนจะเดินตรงมาทางพวกเขาอีกด้วย
สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มคำนวณในใจอย่างเร็วจี๋ ควรทำอย่างไรดีระหว่างบอกเจ้าหนุ่มนั้นไปอย่างขึงขังว่าเพื่อนเขามีคนจองแล้วหรือแสร้งทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเสียเอง อะไรจะได้ผลมากกว่ากัน
แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือผ้าขนหนูผืนยาวก็ทิ้งตัวลงมาคลุมไหล่บางเสียก่อน โดยฝีมือ ‘เจ้าของ’ ตัวจริง และให้ตายเถอะ ไม่ใช่แค่บังเนินอกของเด็กสาวได้เท่านั้นนะ มันห่มคลุมมิดลงมาจนเกือบถึงหัวเข่าของเรย์ด้วยซ้ำ
“เบน” เรย์หันไปเรียกคนที่ยืนซ้อนอยู่เบื้องหลังด้วยน้ำเสียงสดใส เจไดหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำสีดำที่มีตราของเฟิร์สออเดอร์พิมพ์ลายที่ขาข้างขวา ท่อนบนเป็นเสื้อแขนสั้นคอปกสีน้ำเงินเฉดเดียวกับของพาดาวันสาว ลายเส้นสีขาวพิมพ์แทรกเป็นระยะๆ แม้จะไม่ใช่รูปดวงดาว ทว่าดูเผินๆ มันก็ยังเหมือนพวกเขาแต่งตัวมาเข้าคู่กันอยู่ดี
เสื้อที่ไม่ได้ติดกระดุมเผยให้เห็นว่าท้องด้านล่างซ้ายของเขายังมีผ้าพันแผลขนาดประมาณฝ่ามือแปะอยู่ เพราะยังไม่หายดีนัก เบนจึงไม่ได้เล่นน้ำอาบแดดเหมือนกับทุกคน เขาแค่เดินไปเดินมา สำรวจรอบโรงแรมเพื่อเตรียมทำภารกิจ เรียกได้ว่าคนที่ไม่อยากทำงานที่สุด เป็นคนเดียวที่ทำงานอยู่ก็ว่าได้
เรย์ไม่ได้เอะใจเลยว่าเพราะเหตุใดฝ่ามือใหญ่ของคนเป็นมาสเตอร์จึงยังวางอยู่บนบ่าทั้งสองข้างของเธอและเหตุใดดวงตาสีน้ำตาลของเขาจึงได้ดูโกรธขึ้งผิดบรรยากาศรอบตัวได้ขนาดนี้
ทว่าฟินน์รู้ มันเห็นได้ชัดเลยว่ามาสเตอร์โซโลกำลังอยู่ในอาการ ‘หวง’ อย่างออกนอกหน้า และขนาดเขาไม่ใช่คนที่ได้รับสายตาคู่นั้นไปตรงๆ ยังหนาวได้ถึงขนาดนี้ ไม่อยากจะนึกเลยว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นจะต้องเผ่นกลับไปไวขนาดไหน
“มัวแต่เล่น จะเลยมื้อกลางวันแล้วนะ” เจไดหนุ่มปรับโทนเสียงให้นุ่มนวลขึ้นขณะก้มบอกลูกศิษย์สาว เขาย้ายตำแหน่งมือไปยังกลางหลัง ออกแรงผลักเล็กน้อยเพื่อให้เธอออกเดิน เรย์คว้าข้อมือหนาอีกข้างขึ้นมาดูนาฬิกาก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจ
“ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย? ถึงว่าหิวจัง ตามมาเร็วเข้าฟินน์”
“ห๊ะ อ่า ได้ๆ”
ระหว่างทางไปร้านอาหาร ฟินน์สังเกตเห็นว่าเบนยังแอบส่งสายตาอาฆาตให้ผู้ชายกลุ่มนั้นไปอีกระลอก เผลอๆ ยังเผื่อแผ่ไปยังทุกคนที่บังอาจมามองพาดาวันของเขาอีกด้วย
“ขนาดนั้นแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ? ”
จากน้ำเสียงและท่าทางของโพแล้ว มันดูเหมือนประโยคอุทานมากกว่าประโยคคำถามเสียอีก ในมือของนักบินหนุ่มคือเฟรนฟรายซ์ซึ่งจิ้มซอสมาแล้ว และตอนนี้น้ำจิ้มสไปซี่ชีสสูตรพิเศษของทางร้านก็กำลังหยดลงโต๊ะบาร์ตัวยาว เพราะเจ้าตัวมัวแต่ตกตะลึงกับความซื่อบื้อของเรย์ที่ฟินน์เพิ่งจะแฉให้ฟัง
“ไม่รู้เลยสักนิด” ฟินน์ตอบทั้งที่เบอร์เกอร์ยังเต็มปาก ฟังยากไปสักหน่อยแต่โพก็สามารถจับประเด็นได้อย่างครบถ้วน “ยัยนั่นคิดว่า ‘เบนกลัวฉันเป็นหวัดน่ะ เขาทำงี้ประจำแหละ’ แต่นายน่าจะได้เห็นท่าทางของมาสเตอร์โซโลตอนรู้ว่าผู้ชายกลุ่มนั้นแอบมองหน้าอกเรย์”
ฟินน์หยิบน้ำอัดลมขึ้นมาดื่มอีกอึก ในใจนึกไปถึงตอนที่โพเผลอตัวเล่าให้ฟังถึงความสงสัยในความสัมพันธ์ที่ดูจะมากกว่าแค่ศิษย์อาจารย์ระหว่างสองเจได ตอนแรกฟินน์ไม่เชื่อ เขาหัวเราะให้กับความคิดนั้นด้วยซ้ำ
‘มาสเตอร์โซโลเลี้ยงเรย์มานะ’ นั่นคือข้อโต้แย้งของเขา
นักบินหนุ่มหัวเราะกลับ ‘ยิ่งง่ายที่จะตกหลุมรักเข้าไปใหญ่เลย’
หลังจากขบคิดและเฝ้าดูอีกสักพัก สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มก็เริ่มจับสังเกตถึงอะไรบางอย่างในตัวเบนจาร์มิน ออการ์น่า โซโลผู้น่ากลัวคนนั้นได้
เรย์เป็นข้อยกเว้นทุกอย่างของเบน เป็นคนเดียวที่ได้รับรอยยิ้ม ความเอาใจใส่และความอ่อนโยน เป็นคนเดียวที่ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นอ่อนแสงลงและสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าอันเคร่งขรึมดุดันขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แล้วยังสายตาที่เขาใช้มองเรย์อีก เหมือนว่าเธอคือดวงดาว พระจันทร์และพระอาทิตย์สำหรับเขาเลยก็ว่าได้
ชัดเจนเกินจะบิดเบือน มากล้นเกินจะปิดบัง
ในตอนนั้นเองฟินน์ตระหนักได้ว่าทฤษฏีของโพถูกต้อง และไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ แต่ผู้ชายคนนั้นก็ตกหลุมรักเด็กน้อยที่เขาอุ้มชูมาตลอดหลายปีเข้าให้แล้ว
“สีหน้าของมาสเตอร์โซโลนี่แบบ ขืนจ้องต่ออีกวินาทีเดียวฉันควักลูกตาพวกแกแน่ เขาทำแม้กระทั่งโอบเรย์ด้วย! และไม่ใช่โอบแบบธรรมดานะ ทั้งตำแหน่งมือทั้งระยะห่าง ยังไงดีละ...มันเหมือนเขากำลังบอกว่า...”
“คนนี้ของฉันห้ามยุ่ง” โพต่อประโยคให้
“นั่นเลย! ” ฟินน์ร้องบอก “และทั้งหมดที่เพื่อนเราคิดคือ ‘มาสเตอร์แค่ดูแลฉันเฉยๆ ’ โอย ฉันละสงสารมาสเตอร์โซโลชะมัดที่ดันมาตกหลุมรักเพื่อนซื่อบื้อของพวกเราข้างเดียวแบบนี้”
โพเลิกคิ้วสูง ท่าทางไม่เห็นด้วยเสียทีเดียว ฟินน์พูดถูกเรื่องที่ว่าเจไดหนุ่มค่อนข้างน่าสงสารตรงที่เพื่อนของพวกเขาเป็นคนซื่อบื้อซึ่งไม่ได้เข้าใจเลยว่าตนนั้นได้รับความรักและความใส่ใจมากมายเพียงใด แต่ประโยคที่ว่ารักข้างเดียวนั้น...
นักบินหนุ่มเหลียวมองข้ามไหล่ไปยังที่โต๊ะริมระเบียงซึ่งเจ้าของหัวข้อสนทนาทั้งสองนั่งทานอาหารด้วยกันอยู่ เบนอิ่มแล้ว เขาเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลายขณะหยิบขวดเบียร์ผลไม้ขึ้นจิบ แม้แผลที่ถูกบลาสเตอร์ยิงจะยังไม่หายดีนัก ทว่าผ้าพันแผลที่ขนาดเล็กลงมากทำให้ไม่สามารถปิดบังลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องและแผงอกแน่นๆ ได้อีกต่อไป
เจไดหนุ่มอาจจะไม่ได้มีเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่ทุกอย่างที่เป็นก็ผสมกันอย่างลงตัวกลายเสน่ห์บางอย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้ง่ายๆ ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับรูปร่างสูงใหญ่และหุ่นล้ำๆ แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะถูกหมายตา
ซึ่งโพสังเกตเห็นว่าผู้หญิงบางคนในร้านอาหารเริ่มซุบซิบและหันมองไปทางเบนแล้วด้วย
และเรย์เองก็สังเกตเช่นกัน
ในที่สุดเด็กสาวก็วางเบอร์ริโต้ลง เช็ดมือเข้ากับผ้าขนหนูที่วางคลุมขาอย่างง่ายๆ แล้วเอื้อมมือไปติดกระดุมให้เสื้อให้มาสเตอร์ของเธอ
“ลมแรงแบบนี้เดี๋ยวผ้าพันแผลก็ชื้นกันพอดี”
ทว่าแทนที่จะติดแค่สองสามเม็ดล่างเพื่อป้องกันแผลอย่างที่กล่าวอ้าง เรย์กลับไล่ติดมันทุกเม็ดยกเว้นกระดุมคอเม็ดบนสุดเท่านั้น! หน้ำซ้ำเบนยังให้ความรวมมืออย่างดีด้วยการเอนตัวมาข้างหน้าอีกด้วย เขายิ้มให้กับความใส่ใจของลูกศิษย์ คล้ายกันยิ่งนักที่เจ้าตัวไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังติดกระดุมเสร็จ เรย์ได้หันไปมองปรามใส่สาวๆ โต๊ะข้างๆ ข้อหามาจ้องแปดแพคของมาสเตอร์ของเธออีกด้วย
“ถ้าบอกว่าซื่อบื้อพอกันน่าจะถูกต้องกว่านะ”
โพพึมพำก่อนจะหันไปจัดการกับอาหารตรงหน้าต่อ
หลังจากเถลไถลกันมาจนเต็มอิ่มก็ได้เวลาทำงานเสียที
จินน์เดินทางมาถึงโรงแรมแล้วตั้งแต่เช้าตรู่และกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง ฟาสม่าสืบทราบจากพนักงานโรงแรมมาว่าแขกอีกคนจะมาถึงราวบ่ายโมง
“แผนคืออย่างนี้” อาร์มิเทจกล่าวเกริ่น คุณมิลลิเซ็นต์ยังคงนั่งอยู่บนตักเหมือนเคย เขาจึงดูเหมือนเจ้าพ่อมาเฟียในหนังสมัยก่อนไปโดยปริยาย ต่างแค่สวมแว่นกันแดดกับเสื้อลายสัปปะรดเท่านั้น
“โซโลจะดึงความสนใจของจินน์ เออโซไว้ในขณะที่เรย์ไปรับแคสเซียน เอนดอร์ที่ท่าจอดยานแทน ถ่วงเวลายืนคุยกันในตำแหน่งตามที่ไว้แสดงบนหน้าจอนี้ ส่วน FN – 2187 และเจ้าหน้าที่เคย์เดลจะซุ่มอยู่บนหลังคา ใครได้มุมดีกว่าก็จัดการยิงยาสลบใส่แคสเซียนเสีย หลังจากนั้นฟาสม่ากับฉันจะทำการจับกุมแล้วพาเขาไปยังยานขนส่งที่ผู้การดาเมรอนติดเครื่องรออยู่แล้ว เจ้าหน้าที่พาวาและเจ้าหน้าที่มิทากะจะทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับทางโรงแรมและเคลียร์ความเข้าใจผิดที่อาจตามมาได้หลังจากนั้น”
อาร์มิเทจพยักหน้า ดูพอใจกับแผนการที่ใช้เวลาคิดเพียงชั่วข้ามคืนยิ่งนักซึ่งค่อนข้างผิดวิสัยของเขาไปมาก แต่จะโทษอะไรได้ในเมื่อหาดทรายของสคาริฟสวยงามชวนไขว้เขว้เสียขนาดนี้
“ถ้าหากมีอะไรผิดพลาด แคสเซียนไหวตัวทันหรือทำท่าจะหนี ให้พลซุ่มยิงทำลายเครื่องยนต์ของยานเสีย และที่สำคัญที่สุด จำไว้ให้ดีว่าเราต้องทำให้จินน์เข้าใจว่าแคสเซียนเบี้ยวนัดเสียเองเท่านั้นไม่ใช่ถูกพวกเราลักพาตัว ดังนั้นห้ามแผนนี้รั่วไหลหรือทำตัวมีพิรุธกันเด็ดขาด เอาแหละ มีใครสงสัยอะไรมั้ย? ”
เรย์ยกมือทันที ทว่าอาร์มิเทจดักคอขึ้นเสียก่อน
“เธอจะถามว่าทำไมฉันถึงให้โซโลไปคุยกับจินน์ใช่มั้ย”
“ก็ใช่ แต่รู้ได้ไงอะ? ”
อาร์มิเทจส่งเสียงจุ๊ๆ ออกมาอย่างวางมาด “เธอน่ะอ่านง่ายจะตายพาดาวันเรย์”
ง่ายพอกันทั้งศิษย์และอาจารย์น่ะแหละ เพราะซื่อบื้อพอกัน
“และคำตอบของฉันคือ...”
“เพราะถ้าฉันไปเจอแคสเซียน หมอนั่นคงกระโดดฉันแน่ๆ และแบบนั้นจะทำให้หามุมยิงลำบาก ใช่มั้ย”
เพราะเกรงว่าอาร์มิเทจอาจจะปากโป้ง เผลอเล่าความสัมพันธ์แบบคู่หมั้นแต่ในนามระหว่างเบนกับจินน์ออกไป เขาจึงชิงอธิบายเสียก่อน ทั้งยังหันไปถลึงตาใส่คนผมแดงว่าจงช่วยยืนยันมาเสียดีๆ อีกด้วย
“อ่า....นั้นแหละตามนั้นเลย”
เรย์พยักหน้า ดูเหมือนจะคล้อยตาม แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังจัดการทบทวนรายละเอียดในส่วนงานของตนเอง เธอกลับอดไม่ได้ที่จะกระตุกชายเสื้อของเบนไว้เพื่อถามอีกเรื่องคาใจซึ่งไม่สามารถพูดต่อหน้าคนอื่น เหมือนเช่นเคยที่ร่างสูงโน้มตัวลงมา เอียงศรีษะเฝ้ารอ ทว่าวันนี้ค่อนข้างแปลกตรงที่ร่างกายของเขาดูจะแนบใกล้เข้ามากว่าที่เคย
“คือว่า...” เรย์อึกอัก ไม่ใช่เพราะระยะห่างที่เหลือน้อยเต็มที แต่เป็นเพราะเนื้อหาของคำถามต่างหาก เด็กสาวกลั้นหายใจแล้วเอ่ยออกไปรวดเดียว “จินน์เป็นผู้หญิงที่...สวยเนอะ...”
เบนเหลือบหลับไปมองหน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ซึ่งยังคงฉายภาพของเป้าหมายไว้อยู่
“ก็สวยแหละ” ตาโต ปากอิ่ม เครื่องหน้านุ่มนวล เหมือนดอกกุหลาบงามซึ่งสามารถชื่นชมหรือตกหลุมรักได้ไม่ยาก ทว่าความงามเป็นเรื่องที่ขึ้นกับสายตาคนมอง และถ้าถามเขา ดอกเดซี่เล็กๆ สีขาวบริสุทธิ์วัยแรกแย้มในอ้อมแขนของเขาต่างหากที่เรียกว่างดงามอย่างแท้จริง
แต่เพราะมันคือความในใจที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ย เรย์จึงยังคงกังวลกับความคิดของตนเองต่อไป
“คือว่า...ให้โพไปถ่วงเวลาจินน์แทนไม่ได้เหรอ” เธอพึมพำเสนอ เบนเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“งั้นใครจะเป็นคนขับยานกัน”
“เบนก็ขับเป็น เคย์เดลก็ได้ ถ้าสลับๆ กันละก็...”
“ฉันแค่ต้องถ่วงเวลาเขาให้ได้สามสิบนาทีเท่านั้น” เจไดหนุ่มเอ่ยแทรก “เป็นงานที่อันตรายน้อยที่สุดและง่ายที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกน่าเรย์”
“แต่ว่าฮักซ์จงใจส่งเบนไป” พาดาวันสาวงอแง “ให้เจ้าหน้าที่ชายไปคุยกับเป้าหมายที่เป็นผู้หญิง มันคือการให้ไปหว่านสเน่ห์ชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอ”
เบนกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น ไม่ใช่ในเชิงเยาะเย้ยแต่เหมือนกำลังเอ็นดูอยู่มากกว่า เขาแนบกำปั้นกับริมฝีปาก ดวงตาวาวระยับขณะจ้องมองเธอ เรย์พองแก้มด้วยความไม่พอใจที่ถูกหัวเราะใส่
“ฉันพูดอะไรผิด ก็ตามทฤษฏีมันเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่น่า”
“ไม่ได้ผิดหรอก” เบนพยักหน้า ถึงแม้ที่จริงแล้วอาร์มิเทจจะจงใจส่งเขาไปเพื่อใช้ความเป็นเพื่อนเก่าระหว่างกันในการหาหัวข้อสนทนาก็ตามที
“แต่ว่าจินน์คงไม่หลงสเน่ห์ฉันแน่ๆ”
เพราะเจ้าตัวมีแคสเซียนอยู่แล้ว
“และฉันเองก็คงไม่หลงสเน่ห์เขาด้วย”
“ทำไมละ”
เพราะว่าฉันมีเธอไง...แต่อีกเช่นเคยที่เขาไม่ได้เอ่ยความในใจเหล่านั้นออกไป
เบนทำแค่ยิ้มบางเบา เอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมให้พาดาวันของเขา ลืมไปเสียสนิทว่าในห้องนี้ยังมีสมาชิกมินิเฟิร์สออเดอร์ทั้งทีมนั่งอยู่ ซึ่งทุกคนต่างก็เหลือบมองและอมยิ้มให้กันอย่างรู้ทันทว่าไม่พูดอะไร คงมีเพียงอาร์มิเทจเท่านั้นที่กรอกตามองบนอย่างหน่ายใจ
“เอาเป็นว่าไม่ว่าเธอจะกังวลอะไรอยู่มันจะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
“...เข้าใจก็ได้”
ภารกิจเริ่มขึ้นแล้ว และเบนคือคนที่ต้องเปิดฉากก่อนใครเพื่อน
เวลาเที่ยงครึ่ง สถานที่คือห้องอาหารทางทิศใต้ซึ่งกรุกระจกบางใสรอบด้านเผยให้เห็นทิวทัศน์ทะลสีครามและเกลียวคลื่นที่ถาโถมเข้าฝั่ง เป้าหมายของเขา จินน์ เออโซนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังในชุดกระโปรงตัวยาวสีเขียวอ่อน พนักงานเพิ่งจะเดินมาเก็บจานเปล่าและนำกาแฟมาเสิร์ฟ
ไม่ต้องเล่นเล่ห์ ไม่ต้องสร้างสถานการณ์
ทั้งหมดที่เบนทำคือเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามจินน์หน้าตาเฉย
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมา และทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร รอยยิ้มสว่างไสวก็จุดขึ้นที่มุมปาก ยินดีที่ได้เจอเพื่อนเก่าแต่ในขณะเดียวกันก็ระอาและหน่ายใจ
“พ่อฉันส่งมาสินะ” และนั่นคือประโยคแรกที่จินน์เอ่ยทักทายเบน ไม่ใช่ สบายดีมั้ยเป็นไงบ้าง อย่างที่ควรจะเป็น ทว่าเจไดหนุ่มไม่ถือสา ที่จริงแล้วเขาดูไม่อนาทรร้อนใจด้วยซ้ำที่แผนถูกเปิดโปงอย่างง่ายดายทั้งที่อาร์มิเทจอุตส่าห์ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องทำให้มันดูเหมือนเป็นแค่เรื่องบังเอิญให้ได้
“งานนี้จ่ายด้วยอะไรละ” จินน์ถาม เอื้อมมือไปเติมน้ำตาลและนมในกาแฟไปด้วย พนักงานนำกาแฟมาเสิร์ฟให้เบนอีกแก้วเพราะนึกว่าพวกเขามาด้วยกัน
“ยานลำใหม่ของเฟิร์สออเดอร์” เบนตอบตามตรงทำเอาหญิงสาวเบ้ปาก
“ก็สมกับเป็นพ่อดี”
“ฉันกล่อมคู่หูให้ยกเลิกภารกิจได้นะถ้าเธอให้ได้มากกว่า”
“แล้วภารกิจของเธอจะสำเร็จได้ยังไงไม่ทราบในเมื่อฉันรู้ตัวแล้วว่าเธออยู่นี่ บอกไว้ก่อนนะถึงฉันจะไม่ใช่เจได แต่ลากฉันกลับไปก็ไม่ง่ายอยู่ดี” จินน์ยกกาแฟในแก้วกระเบื้องเคลือบอย่างดีขึ้นจิบ รอยยิ้มเลื่อนหลุดไปจากใบหน้าของเบนทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เพราะดูเหมือนทั้งการ์เลนและอาร์มิเทจกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปจากความเป็นจริงมากทีเดียว
“หมายความว่าไงพาเธอกลับไป? ”
“อ้าว พ่อไม่ได้ส่งเฟิร์สออเดอร์มาเพราะแบบนี้หรอกเหรอ? ฉันลาออกจากหน่วยงานของสาธารณรัฐแล้วทำงานรับจ้างอิสระมาหกเดือนแล้ว แน่นอนว่ามันทำเอาพ่อฉุนขาดมาก แต่ฉันก็บอกไปหลายทีแล้วนะว่าไม่ได้อยากทำงานกับเขา เขาชอบทำเหมือนฉันยังเป็นเด็กทุกทีเลย เราทะเลาะกันยกใหญ่เพราะเขาพยายามใช้เส้นยัดฉันกลับเข้าไปใหม่ เราไม่พูดกันมาหกเดือนแล้ว แล้วยัง...”
“เดี๋ยวๆ” เบนเบรคกลางประโยค “การ์เลนให้ข้อมูลมาว่าเธอมาที่นี่เพื่อนัดเจอแคสเซียน”
“ฉันจะนัดเจอเขาไปทำไมกันในเมื่อเราอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว”
จินน์ตอบเรียบ เสมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าเบนกลับสำลักกาแฟดำล้วนไม่ใส่น้ำตาลของเขาในทันที โอเค ดูเหมือนว่าความกังวลของการ์เลนจะเสียเปล่าและไม่ทันการเอามากๆ
“ไม่ใช่ ‘ด้วยกัน’ แบบนั้น” จินน์วางแก้วกาแฟลงพลางเอ่ยแก้ความความเข้าใจผิด “ก็เหมือนที่เธออยู่กับเฟิร์สออเดอร์น่ะแหละ แคสเซียนกับโบรดี้ตั้งทีมของตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน ‘โร้ควัน’ มีพวกเขา เคทู แล้วก็ผู้พิทักษ์แห่งวิลล์อีกสองคน เราทำงานด้วยกันมาสักพักแล้ว ส่วนมากรับงานมาจากทางการก็จริง แต่ก็มีงานแนวๆ ทหารรับจ้างบ้างเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ทำให้พ่อไม่พอใจเหมือนเดิม”
“เธอไม่ได้กำลังเดทอยู่กับแคสเซียนหรอกเหรอ? ”
“ดะ...เดท! เราไม่ได้ คือยังไม่ ฉัน...” จินน์ละล้าละลังปฏิเสธ แต่เมื่อตระหนักได้ว่ากำลังส่อความมีพิรุธออกไปให้คู่สนทนาเห็นขนาดไหน หญิงสาวก็กระแอมไอ ปรับท่าทีให้กลับมาเยือกเย็นตามเดิมก่อนจะย้ำปฏิเสธ “ไม่ เราเป็นแค่เพื่อนรวมงานกันเท่านั้น”
เบนขมวดคิ้ว ดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอธิบายเรื่องราวฝั่งตัวเองต่อ
“การ์เลนเข้าใจว่าเธอนัดแคสเซียนมาที่นี่เพื่อเดทกัน และเขาไม่ชอบใจเรื่องนั้นเอามากๆ จนถึงขั้นจ้างเฟิร์สออเดอร์มาขัดขวางด้วยซ้ำ”
“เปล่าสักหน่อย โร้ควันมีนัดกับผู้ว่าจ้างที่นี่ต่างหาก ฉันเดินทางมาล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมสถานที่เฉยๆ”
เบนถึงกับบีบนวดขมับเลยทีเดียวที่เรื่องทุกอย่างเลยเถิดไปได้ไกลขนาดนี้ ซึ่งคงโทษอะไรไม่ได้นอกจากความหวงลูกสาวแบบเกินพอดีของการ์เลนล้วนๆ และอาร์มิเทจต้องอารมณ์เสียมากแน่ๆ เมื่อได้รู้ว่าเฟิร์สออเดอร์จะไม่ได้ยานสุพรีมมาซีอย่างที่หวัง เพราะเจ้าภารกิจนี้ไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรก เป็นแค่ความเข้าใจผิดอันวุ่นวายเฉยๆ
“สรุปว่าพวกเธอไม่ได้คบกัน? ”
“ยัง...ไม่ได้คบกัน” จินน์เอ่ยคำแรกเสียงเบามากจนแม้แต่เบนก็ไม่ได้ยิน เพราะแบบนั้นเขาเลยปล่อยผ่านประเด็นนี้ไปอย่างง่ายแล้วเอ่ยคำถามใหม่ขึ้นมาแทน
“แล้วผู้ว่าจ้างรายนี้ต้องการให้โร้ควันทำอะไรให้กันละ”
“ซอร์ กอร์เรร่าไหว้วานมาน่ะ แคสเซียนเห็นเป็นงานง่ายๆ แถมเงินดีก็เลยรับทำ ไม่ใช่เจไดทุกคนจะได้งบอู้ฟู่ไว้ผลาญเล่นแบบพวกเฟิร์สออเดอร์หรอกนะ” จินน์แซวอย่างไม่จริงจังนัก “แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ง่ายเลยสักนิด ตัวโบกัลเล็ตจับยากสุดๆ มันไม่ได้กินคนก็จริงแต่ก็คอยจ้องแต่จะเอาหนวดมาดูดหน้าเราอยู่นั้นแหละ แล้วก็...”
“เดี๋ยวๆ ๆ” เบนเบรคจินน์เป็นครั้งที่สองแล้ว “ยานของแคสเซียนมีตัวโบกัลเล็ตมาด้วย?”
หญิงสาวพยักหน้ายืนยัน เบนสบถหยาบก่อนจะฉุดแขนจินน์ให้ตามมาด้วยทันที หญิงสาวร้องประท้วง ทว่าเจไดหนุ่มบอกปัดอย่างขอไปทีว่าให้รีบมาด้วยกันก่อนเถอะ
เพราะถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของอาร์มิเทจ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้น่าจะเป็นการที่มาสเตอร์เอนดอร์ลงไปนอนกองกับพื้นเนื่องจากกระสุนยาสลบ
แต่ถ้าหากผิดพลาด มีอะไรบางอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดอย่างเช่นการที่แคสเซียนไม่ได้มาคนเดียว แต่เดินลงจากยานมาพร้อมคู่หูนักบินและผู้พิทักษ์วิหารไคเบอร์อีกสองคนซึ่งมักพกอาวุธครบมือเสมอ ฟินน์จะต้องยิงเครื่องยนต์ของยานเพื่อป้องกันการหลบหนี และดีไม่ดีอาจจะเป็นการปล่อยให้ตัวโบกัลเล็ตออกมาเผ่นผ่านอีกด้วย
ซึ่งเจไดหนุ่มมีลางสังหรณ์ว่า....
“ว๊ากกกกก”
“หลบเร็ว! ”
“อย่าเพิ่งยิง! ”
“อดทนไว้ ฟินน์”
“ช่วยด้วยยยย”
ประโยคเหล่านั้นผสมปนเปมากับความโกลาหล ณ ท่าจอดยานใกล้หาด เนื่องจากตัวโบกัลเล็ตได้หลุดออกมาจากส่วนท้ายของเครื่องยนต์ที่ถูกระเบิดเป็นรูโหว่อย่างที่เบนนึกกลัวจริงๆ
มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายปลาหมึก ทว่าส่วนลำตัวค่อนกลมและปกคลุมไปด้วยเมือกเหนียวหนืด แม้จะมีแค่สี่ระยางค์ แต่ความที่หนวดเหล่านั้นยาวกว่าลำตัวเกือบสิบเท่าและเต็มไปด้วยตัวดูดขนาดใหญ่พอๆ กับหน้าคน แค่ขยับนิดเดียวก็ทำให้อกสั่นขวัญแขวนกันไปทั่วแล้ว
ซึ่งผู้โชคร้ายรายแรกก็คืออาร์มิเทจ พันเอกผมแดงกำลังร้องเสียงหลงเนื่องจากโดนหนวดข้างหนึ่งจับยึดไว้โดยตัวดูดเคลื่อนเข้ามาจนเกือบแปะหน้าอยู่ร่อมร่อ
ฟินน์เองก็สภาพแย่ไม่ต่างกันเพราะถูกโบกัลเล็ตนั่งทับอยู่ เรย์และโพพยายามดึงตัวเพื่อนออกมา แต่กลับทำให้สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มร้องโอดโอยหนักกว่าเก่า ฟาสม่าเล็งประทับปืนเตรียมช่วยผู้บัญชาการแต่โดนขัดขวางโดยโบรดี้ที่ไม่อยากให้สินค้าเสียหาย
ทางด้านสองผู้พิทักษ์แห่งวิลล์ที่เบนจำได้ว่าชื่อชีรุตกับเบลซก็กำลังช่วยกันไล่ต้อนโบกัลเล็ตกลับเข้ากรง หุ่นดรอยด์เคทูยืนนิ่งอยู่ข้างเคย์เดล เหมือนกำลังชั่งใจกันอยู่ว่าจะแทรกตัวเข้าไปช่วยสะสางความวุ่นวายเหล่านี้ยังไงดี
ส่วนแคสเซียน...
“เฟิร์สออเดอร์อย่างพวกนายคิดบ้าอะไรอยู่กันหา!! ถึงได้ไล่ระเบิดยานชาวบ้านจนทำให้เอเลี่ยนหลุดออกมาเผ่นผ่านแบบนี้!?? ”
...ได้วิ่งปราดเข้ามาเขย่าคอเสื้อเบนด้วยความคับแค้นทันทีที่เห็นหน้า
ลางสังหรณ์ของเขาไม่เคยพลาดเลยจริงๆ ภารกิจนี้ทำให้เขาอายุสั้นขึ้นอีกสิบปีจริงๆ ด้วย
Chapter 16: Episode 16 Drink Up
Notes:
(See the end of the chapter for notes.)
Chapter Text
ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าทุกอย่างจะสงบลงได้
ตัวโบกัลเล็ตกลับเข้ากรงไปแล้ว ทันเวลาก่อนซอร์ เกอร์เรร่ามารับไปพอดี ทุกคนปลอดภัยไม่มีใครตาย ยกเว้นฟินน์ที่คงปวดหลังไปอีกหลายวันและอาร์มิเทจที่มีรอยกลมแดงอยู่บนใบหน้าเนื่องจากโดนหนวดของเอเลี่ยนปลาหมึกเข้าไปเต็มๆ แต่นอกนั้นก็โอเคกันดี
“หนูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อจะทำแบบนี้!! ”
อ่อ ยกเว้นจินน์อีกคนที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนถึงขั้นโทรไปต่อว่าการ์เลนทั้งที่ไม่ได้คุยกันมานานเกือบหกเดือนแล้ว หญิงสาวเท้าเอว นิ้วชี้ใส่ภาพโฮโลแกรมขนาดครึ่งตัวของวิศกรมือทองอย่างเอาเรื่อง ไม่สนแม้ว่าทั้งห้องพักจะเต็มไปด้วยทีมเฟิร์สออเดอร์และโร้ควันที่นั่งกระจายกันไปตามมุมต่างๆ เพื่อทำแผลให้กันอยู่
“พ่อทำให้เพื่อนรวมทีมหนูตกอยู่ในอันตราย เผลอๆ ผู้บริสุทธิ์อาจโดนลูกหลงไปแล้วด้วยซ้ำ แค่เพราะพ่อเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหนูกับแคสเซียนเนี่ยนะ!!?? แล้วถามจริง ทำไมต้องเฟิร์สออเดอร์ด้วย หรือว่าพ่อยังหวังให้หนูกับเบนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนอยู่อีก”
คนถูกพาดพิงสะดุ้งโหย่ง รีบย้ายตัวเองจากการนั่งข้างคู่หูผมแดงไปยังพาดาวันของเขาทันที
เบนเอื้อมมือไปหมายจะปิดหูเรย์ไว้ แต่ก็ช้ากว่าการ์เลนไปมากนัก
“ใช่ พ่อยังหวังให้ลูกกลับไปหมั้นกับเบนจาร์มิน มากกว่าคบกับแคสเซียน เอนดอร์”
ความจริงที่แตกโผล๊ะออกมาถึงสองเรื่องด้วยกันทำให้ทั้งห้องนิ่งเงียบ ทีมมินิเฟิร์สออเดอร์หันขวับมาทางเบนทันที ในขณะที่ทีมโร้ควันจ้องเขม็งไปยังแคสเซียนที่ไถลตัวไปกับโซฟาเพื่อซ่อนตัวจากสายตาของการ์เลนและสมาชิก
เบนเคยหมั้นกับจินน์แต่ถอนหมั้นกันไปแล้วเรียบร้อย ส่วนจินน์ตอนนี้ก็กำลังแอบคบกับแคสเซียนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเบนอีกทีอยู่ มันฟังดูเหมือนพล็อตละครน้ำเน่าสักเรื่องทว่าเบนไม่มีเวลาจะสนใจแก้ตัวหรืออธิบายเรื่องราวอย่างละเอียดให้ใครฟังทั้งนั้น ทั้งหมดที่เขาแคร์คือเรย์
ดวงตาสีเฮเซลนัทของเธอเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ทว่าท่าทางโดยรวมก็ยังดูนิ่งเกินไปอยู่ดี เบนคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงโวยวายหรือกริยาแตกตื่น ทว่าทั้งหมดที่เรย์ทำคือนั่งนิ่งและพึมพำว่ามิน่าละฮักซ์ถึงส่งเบนไป
“เรย์ฟังฉันก่อน...” เจไดหนุ่มพยายามอธิบาย ทว่าเป็นอีกครั้งที่ถูกขัดขวางทางอ้อมโดยการ์เลน
“แต่ถึงแม้จะไม่สำเร็จ พ่อก็บรรลุวัตถุประสงค์ของการว่าจ้างเฟิร์สออเดอร์แล้ว ในที่สุดลูกก็ยอมติดต่อกลับมาเสียที”
สีหน้าของการ์เลนอ่อนโยน แบบที่สามารถบอกได้ทันทีว่านี่คือคนเป็นพ่อที่กำลังคิดถึงลูกสาวตัวน้อยอย่างสุดหัวใจ เรย์เอี้ยวตัวจากการบดบังของเบน เฝ้ามองบทสนทนาอย่างสนอกสนใจทั้งยังมองเมินความพยายามจะอธิบายของเขาอีกด้วย
“พ่อไม่ชอบเลยที่เราทะเลาะและไม่คุยกันแบบนี้ ซึ่งพ่อขอโทษด้วยที่เข้าไปจู้จี้เกี่ยวกับงานและชีวิตของลูก หวังว่าลูกจะยกโทษให้ และให้โอกาสเราได้ปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง เพราะฉะนั้นกลับบ้านเถอะนะสตาร์ดัส”
“หนู...” จินน์อ้ำอึ้ง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหกเดือนที่พวกเขาเปิดอกคุยกันจริงๆ
ทว่ายังไม่ทันจะได้เอื้อนเอ่ย อาร์มิเทจก็แทรกตัวเข้ามาตรงกลางระหว่างสองพ่อลูกเสียก่อน อาการกอดอกและสีหน้าทมึงทึงของเขาคงจะดูน่ากลัวอยู่หรอกถ้าไม่ใช่เพราะรอยแดงจ้ำรูปวงกลมรอบกรอบหน้า
“สรุปว่าคุณไม่ได้จ้างเฟิร์สออเดอร์ให้มาขัดขวางเดทระหว่างลูกสาวคุณกับมาสเตอร์เอนดอร์จริงๆ แต่เพื่อยั่วยุให้เธอโกรธจนต้องยอมติดต่อกลับไปหาคุณอีกครั้ง ผมเข้าใจถูกใช่มั้ยคุณเออโซ”
“นั่นฟังเป็นอะไรที่ดูเจ้าเล่ห์และร้ายกาจมาก” การ์เลนแย้งอย่างไม่จริงนักนัก “ผมไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้นหรอกนะพันเอกฮักซ์ ผมแค่คิดว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าสตาร์ดัสของผมได้เจอกับเบนจาร์มินอีกครั้ง ไม่ว่าอะไรจะตามมาหลังจากนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ของผมเฉยๆ แต่ผมรู้ดีว่าถ้าไปขอร้องเขาตรงๆ เขาคงไม่ยอมมาแน่นอน”
“ก็เลยมาตกลงผ่านเฟิร์สออเดอร์ เพื่อให้ผมบังคับโซโลให้อีกที” อาร์มิเทจเลิกคิ้วสูงมากจนปรากฏรอยยับที่หน้าผาก
“จะว่าแบบนั้นก็ได้” การ์เลนยอมรับหน้าตาเฉย
ซึ่งถ้าไม่เรียกการกระทำนี้ว่าเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ ก็คงไม่มีคำอื่นใดมาบรรยายได้อีกแล้ว หลอกใช้หน่วยทางการทหารขนาดใหญ่อย่างเฟิร์สออเดอร์เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ถ้าจินน์มาเดทกับแคสเซียนจริงก็คือได้ขัดขวางอย่างที่บอก แต่ถ้าไม่ใช่ ทันทีที่เห็นหน้าเบน จินน์ต้องรู้ทันทีว่าเป็นการ์เลนที่ส่งเขามาและต้องติดต่อกลับเพื่อโวยวาย ซึ่งสิ่งนั้นจะเปิดโอกาสให้การ์เลนได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับลูกสาวอีกครั้ง
วัตุประสงค์เหมือนจะซาบซึ้งอยู่หรอกนะ แต่วิธีการนี่สิที่ทำเอาทุกคนปวดหัวไปตามๆ กัน
อาร์มิเทจกัดฟันกรอด เจ็บใจที่ถูกหลอกใช้ เบนที่เดินมายืนข้างกันถึงกับยืนส่งไลท์เซเบอร์ให้อย่างรู้ใจ แต่ก็ช้ากว่าจินน์ไปมากนัก
“หนูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อจะทำแบบนี้!! ”
หลังจากนั้นจินน์คว้าเครื่องสื่อสารโฮโลแกรมแล้วแยกไปคุยที่ห้องนอน
เธอปิดประตูดังปัง แต่ก็ยังแว่วเสียงเอะอะมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ อยู่ดี ท่าทางการพูดคุยปรับความเข้าใจระหว่างสองพ่อลูกเออโซจะรุนแรงใช้ย่อย ส่วนเบน เขาหันมาอธิบายกับเรย์ โดยจงใจใช้ระดับเสียงดังพอที่ทุกคนจะได้ยินว่าเมื่อยังเล็กพ่อแม่ของเขาและจินน์แค่เสนอความคิดว่าอยากให้หมั้นกันเฉยๆ ทว่าไม่ได้กระทำจริง
พาดาวันสาวกะพริบตา นิ่งไปอีกครู่ราวกับกำลังเรียบเรียงเรื่องราว แม้สุดท้ายจะพยักหน้า ทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่ดี
นั้นทำให้เหลือแค่แคสเซียนเท่านั้นที่ต้องอธิบายตัวเอง
“นายปิดบังฉันมาได้ไงตั้งนานขนาดนี้เนี่ย” โบรดี้ปราดเข้ามาประชิดมาสเตอร์เอนดอร์ผู้กำลังย่องหนี นักบินหนุ่มผิวเข้มกอดอก ด้านหลังคือร่างหนาของเบซซึ่งยืนเอามือเท้ากรอบประตูอย่างคุกคามเช่นกัน
มีเพียงชีรุตเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้เข้าร่วมการข่มขู่นี้ด้วย
“เฮ้ จะไม่ช่วยกันหน่อยเรอะ” เบซหันไปประท้วงเรียก
“ทำไมละ? เรากำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ” ผู้พิทักษ์แห่งไคเบอร์ซึ่งตาบอดถามอย่างพาซื่อ กระบองอันยาวซึ่งนอกจากจะเป็นอาวุธแล้วยังทำหน้าที่เสมือนไม้เท้านำทางด้วยพาดจากไหล่ขวาไปยังพื้น เขาเอียงคอมายังทิศทางที่ได้ยินเสียง
“กดดันให้เจ้ากร๊วกเจไดคนนี้สารภาพไงเล่าว่าแอบคบกับน้องสาวพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่” หลังอธิบายกึ่งหลอกด่า เบซก็หันไปทางแคสเซียนต่อ เพราะค่อนข้างเอ็นดูและสนิทกับจินน์เป็นพิเศษ เบซจึงถืออภิสิทธิ์ให้ตนเองสามารถคัดกรองผู้ชายที่คิดเข้ามาจีบหญิงสาวได้ทุกเมื่อ ทว่าในขณะที่เขาวุ่นวายกับการกีดกันคนนอก กลับเป็นคนในอย่างแคสเซียนซะงั้นที่ได้ดอกกุหลาบงามแห่งโร้ควันไป
“ทำไมทุกคนต้องคาดคั้นแคสเซียนด้วยละ” ชีรุตยังคงถามซื่อๆ ดุจเดิม แต่ไม่ทันที่เบซและโบดี้จะหันไปช่วยกันอธิบาย “ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพวกเขาคบกันตั้งแต่งานที่วงแหวนคราฟเฟรน”
โบดี้อ้าปากค้าง
ส่วนเบซย้อนถามกลับไปอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก
“...นั่นนายกำลังเล่นมุกอยู่ใช่มั้ย? ”
ทว่าชีรุตกลับยิ้ม “ดูเหมือนว่าคนที่มองเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนที่สุดจะเป็นคนตาบอดนะ” และครั้งนี้คือการเล่นมุขของจริง
“ถ้าเป็นตั้งแต่งานที่คราฟเฟรนจริงก็นานกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีกนะเนี่ย” โบดี้พึมพำกับตนเอง “นายมีอะไรจะแก้ตัวมั้ยว่าทำไมถึงต้องปิดบังกันด้วย?”
“ทางเทคนิคแล้วแคสเซียนไม่ได้ปิดบังพวกคุณเลยนะครับ” เคทูเอสโอแทรกตัวเข้ามาช่วยเจ้านายของมัน แต่ดูแล้วเหมือนจะเป็นการซ้ำเติมมากกว่า “เพราะเขายังไม่ได้ขอคบกับจินน์ ดังนั้นจึงไม่ถือว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรให้ต้องปิดบัง”
“ขอบใจเคทู” แคสเซียนประชดกลับทันทีเมื่อเบซถลึงตาใส่เขาหนักกว่าเก่า แต่แน่นอนว่าเจ้าดรอยสีดำตัวสูงกว่าสองเมตรไม่เข้าใจ
“เพื่อคุณได้เสมอครับแคสเซียน”
ทางโพที่หูผึ่งแอบฟังทุกอย่างมาตลอดอดไม่ได้ที่จะเอนตัวไปกระซิบพูดคุยกับฟินน์
“พวกเจไดเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดเลยหรือเปล่าเนี่ย? ”
“เป็นยังไง? ”
“ท่ามาก ความรู้สึกช้าโดยเฉพาะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ” โพกอดอก หันมองมาสเตอร์โซโลที่ยังคงพยายามอธิบายให้พาดาวันของเขาฟังว่าไม่ได้มีพันธะใดกับจินน์อีกแล้วทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิดเมื่อดูจากสถานะในปัจจุบันที่เป็นแค่ศิษย์อาจารย์กัน
“ไม่รู้สิ” ฟินน์ไหวไหล่ก่อนจะเอื้อมมือไปกดนวดบั้นเอวของตนเอง “แต่เราเพิ่งเคยเจอเจไดกันแค่สามคนเองนะ”
“สามจากสิบกว่าคนที่จักรวาลมี คิดเป็นตัวเลขแล้วฉันว่านั้นบอกอะไรได้หลายอย่างเลยนะเกี่ยวกับหลักสูตรที่พวกเขาเรียน”
แล้วทันใดนั้นประตูห้องนอนก็เปิดผ่างออกด้วยฝีมือของจินน์
“ข่าวดี” หญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ข้างแคสเซียนอย่างเคยตัว แต่เมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งที่การ์เลนเพิ่งจะพูดไปเธอก็ย้ายตัวเองไปยืนข้างชีรุตแทน “พ่อจะเป็นคนรับผิดชอบค่าเสียหายกับทางโรงแรมให้ ส่วนทางเฟิร์สออเดอร์จะยังได้รับแบบแปลนของยานสุพรีมมาซีเป็นค่าจ้างตามที่ตกลงกันไว้ แต่คุณอาจต้องคุยรายละเอียดเพิ่มเติมกับเขาเองทีหลังนะพันเอกฮักซ์ว่าจะเพิ่มลดอะไรลงไปบ้าง”
อาร์มิเทจพยักหน้า ดูพึ่งพอใจมากขึ้นหลังจากได้ยินเช่นนั้นและได้ลูบคุณมิลลิเซ็นต์เพื่อสงบสติอารมณ์มาพอสมควรแล้ว
“แล้วก็อย่างสุดท้าย เราจะปิดบาร์ทาโคดานะฉลองกันทั้งเฟิร์สออเดอร์และโร้ควันที่ภารกิจทับซ้อนของพวกเราสำเร็จลงด้วยดี อีกสมมนาคุณพิเศษจากการ์เลน เออโซ”
จินน์กล่าวพร้อมรอยยิ้มและเสียงโห่ร้องอย่างยินดีจากทุกคน
คงมีเพียงแคสเซียนเท่านั้นที่ดูเป็นกังวลในสิ่งที่ได้ยินยิ่งกว่าใคร
บาร์ทาโคดานะตั้งอยู่ชั้นสามของโรงแรม
เบนพอรู้มาคร่าวๆ ว่ามันเป็นสาขาย่อยเท่านั้น ตัวร้านหลักจริงๆ ตั้งอยู่บนดาวอื่น ขนาดบาร์ค่อนข้างเล็กเรียกได้ว่าพอรวมทั้งสองทีมเข้าด้วยกันแล้วก็เหลือที่นั่งและโต๊ะว่างอีกแค่สองสามตัวเท่านั้น ทว่าทั้งอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายมากจนแทบจะเรียกได้ว่ามีทุกอย่างจากทุกซอกมุมของกาแล็คซี่ก็ว่าได้
และเมื่อรู้ว่ามีเจ้ามือกระเป๋าหนักอย่างการ์เลน เออโซค่อยรับผิดชอบบิลล์ให้ ทุกคนเลยฉลองกันเต็มที่
ยิ่งผู้การดาเมรอนกับ FN-2187 ยิ่งไม่ต้องพูดถึง สองรายนั้นเป็นตัวตั้งตัวตีหลักท้าดวลเหล้ารสชาติประหลาดกับคนอื่นไปทั่วตั้งแต่บาร์เพิ่งจะเปิด สองผู้พิทักษ์แห่งวิลล์ประเดิมก่อน โดยมีคนอื่นๆ เป็นกองเชียร์และรอต่อคิว
อาร์มิเทจบอกไว้ว่าจะมาสายเนื่องจากต้องดูแลปรนนิบัติคุณมิลลิเซ็นต์เสียก่อน เบนกรอกตาให้กับความเป็นทาสแมวของคู่หูก่อนจะกรอกเครื่องดื่มเรืองแสงสีฟ้าซึ่งเป็นของโปรดลงไปแผดเผาลำคอ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องไปยังพาดาวันของเขาซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนๆ แต่เพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ เธอจึงได้รับอนุญาตให้ดื่มได้แค่น้ำผลไม้เท่านั้น
เรย์อยู่ในชุดเดรสสีขาวยาวคลุมเข่า คอเสื้อที่ปาดกว้างเผยให้เห็นลาดไหล่และเนินอกขาวผ่อง ชักชวนให้ดวงตาของเขาอ้อยอิ่งอยู่นานเกินไปหน่อยกว่าจะวนกลับมาที่รายละเอียดของชุดต่อได้ และเมื่อเห็นว่าขอบกระโปรงเป็นผ้าลูกไม้ฉลุลายโปร่งบางขึ้นไปเกือบคืบ ดวงตาของเขาก็ย้ายมาวนเวียนอยู่ที่ต้นขาของเธอแทน
ให้ตายเถอะ เขาต้องหยุดลวนลามลูกศิษย์ตัวเองทางสายตาได้แล้ว
“สรุปว่า...” เบนตัดสินใจหันกลับมาทางเพื่อนเจไดอย่างแคสเซียนเพื่อคุยต่อจากที่ค้างไว้ และเพื่อหลบเลี่ยงความคิดที่ชักจะเตลิดขึ้นไปทุกที “นายไปทำอีท่าไหนเข้าการ์เลนถึงได้ชั่งน้ำหน้าได้ขนาดนี้เนี่ย”
แคสเซียนเลือกจะดื่มวิสกี้ เครื่องดื่มเก่าแก่ นุ่มนวลและร้อนแรงไปอีกอึกก่อนตอบความสงสัยให้
“นายจำเมื่อหลายปีก่อนที่เราเจอกันที่รัฐสภาได้มั้ย ที่นายไปเพื่ออนุมัติก่อตั้งเฟิร์สออเดอร์”
“ฉันจำได้ลางๆ ด้วยว่าเคทูพูดชื่อจินน์ขึ้นมา” แต่เพราะคิดว่าแค่บังเอิญชื่อเหมือนเลยไม่ได้ใส่ใจจะซักไซ้ต่อ ไม่น่าเลย ไม่อย่างนั้นทุกอย่างอาจจะวุ่นวายน้อยกว่านี้ก็เป็นได้ถ้าเบนได้เตือนแคสเซียนก่อนว่าต้องเจออะไรบ้างหากคิดมาวอแวกับสตาร์ดัสของการ์เลน
“นั้นแหละ ตอนนั้นการ์เลนกับครอบครัวโดนขู่ปองร้ายโดยพวกคันจิคลับ หน้าที่ฉันคือไปรับจินน์จากดาวโวบานีมาส่งที่รัฐสภาเพื่อเข้าโครงการคุ้มครองพยานและค่อยทำภารกิจกวาดล้างคันจิคลับทีหลัง แต่มีอุบัติเหตุนิดหน่อย ยานเราถูกยิงตกที่ดาวร้างแห่งหนึ่งเสียก่อน แล้วก็บลาๆ ขอข้ามรายละเอียดไปเลยแล้วกันนะ”
แคสเซียนโบกไม้โบกมือไปมาในอากาศประกอบเรื่องราว หุ่นดรอยด์เดินมาเติมวิสกี้ให้แล้วจากไป
“สรุปคือพอจบภารกิจเราก็....”
“ตกหลุมรักกัน? ” เบนพยายามเติมคำในช่องว่าง ทว่าแคสเซียนหัวเราะ
“ยังใช้คำได้โบราณสมกับเป็นนายจริงๆ ไม่อ่ะ...ฉันว่าเราแค่มีความรู้สึกดีๆ ให้กันเฉยๆ”
ระหว่างที่พูด ดวงตาของแคสเซียนก็มองผ่านความอึกทึกโหวกเหวกของบรรดาเพื่อนรวมทีมไปยังจินน์ซึ่งนั่งจิบค็อกเทลอยู่หน้าเคาเตอร์บาร์ไปด้วย ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่แต่จากแววตาเช่นนั้นแล้ว เบนว่ามันแค่มากกว่าความรู้สึกดีๆ ไปเยอะเลยทีเดียวแม้จะเป็นในตอนที่ทั้งคู่เพิ่งพบกันก็ตามที
“ยังไงก็ตาม เราเลือกจะจูบลากันแล้วการ์เลนดันมาเห็นเข้าพอดี”
เบนส่งเสียงครางฮือในลำคออย่างสยดสยอง เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงได้โดนการ์เลนหมายหัว ทั้งที่ได้รับภารกิจให้ปกป้องคุ้มครอง แต่ดันทำพลาดจนทำให้จินน์ไปตกระกำลำบากบนดาวรกร้าง แถมเมื่อกลับมาถึงนอกจากจะจูบกับลูกสาวเขาแล้ว เจ้าตัวยังเดินมาเห็นอีก
“นายไม่โดนโยนให้หมึกรัทธากินก็ดีเท่าไรแล้วเพื่อน”
“เออ ไม่ต้องบอกก็รู้ แต่ทั้งๆ อย่างนั้น ฉันกับจินน์ก็ดันโคจรมาเจอกันและทำงานเป็นทีมเดียวกันอีก แต่เพราะจินน์หนีออกจากบ้านหลังทะเลาะกับการ์เลนพอดี เขาเลยโทษว่าเป็นความผิดฉันเต็มๆ” แคสเซียนซบหน้าลงกับโต๊ะอย่างแรงจนแก้วแทบกระเด็นกระดอน เบนคว้าจับไว้ได้ทันพอดี
“สรุปว่านายชอบจินน์หรือเปล่าเนี่ยฉันเริ่มสับสนแล้ว”
“ชอบเหรอ? ” แคสเซียนเอียงใบหน้ามาทางเบนพร้อมขมวดคิ้ว “ฉันตกหลุมรักเลยต่างหาก เหมือนคนโง่งมทั้งที่เคยปฏิญาณว่าจะยึดมั่นในวิถีแห่งเจไดแท้ๆ จินน์ให้ฉันสัญญาว่าจะเก็บเรื่องของเราไว้เป็นความลับก่อน โร้ควันเพิ่งจะตั้งได้ไม่นาน อะไรหลายๆ อย่างเลยยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก และเธออยากแน่วแน่กับงานเพื่อพิสูจน์ให้การ์เลนให้ว่าเธอยืนด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งเขา”
“ดูสิใครกันแน่ที่ใช้คำโบราณ” เบนเท้าคาง แซะกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
“ช่างเรื่องของฉันเถอะ ว่าแต่นายกับเรย์เป็นไงบ้าง? ”
“ก็ดี” เบนตอบแบบไม่คิดมาก “เธอก้าวหน้าไปมาก แต่ยังไม่คล่องแคล่วเท่าไร อาจต้องใช้เวลาอีกสักสามสี่ปีกว่าจะตัดเปียได้ แต่ถ้าเทียบกันแล้วเธอก็ยังไปได้ไวกว่าฉันอยู่ดี”
“ฉันไม่ได้อยากฟังเรื่องน่าเบื่ออย่างหลักสูตรเจไดของนายสักหน่อย” แคสเซียนลุกมานั่งได้ในที่สุด ทั้งยังเอนตัวเข้ามากอดคอเขาไว้เหมือนที่เคยทำสมัยยังอยู่คัมพารัสอีกด้วย อีกมือซึ่งถือแก้วเครื่องดื่มจิ้มกลางอกเบนซ้ำๆ เหมือนว่าการกระทำนั้นอาจทำให้คำถามซึมเข้าไปในหัวเขาได้ง่ายขึ้น
“ที่ฉันอยากรู้คือนายกับเรย์ถึงไหนกันแล้วต่างหาก อย่าทำหน้าเหรอหรา นายจ้องจะง้าบเด็กนั่นมาตั้งแต่เธอเก้าขวบแล้วด้วยซ้ำฉันจำได้”
“เธอเป็นลูกศิษย์ฉัน” เบนตอบเสียงเข้ม คล้ายกับว่าจะย้ำให้ตนเองฟังไปด้วย “และเธอเพิ่งสิบห้า อายุน้อยกว่าฉันตั้งสิบปี”
“พ่อแม่นายก็ห่างกันสิบปี อุ๊บ โทษที ลืมไปว่าไม่ควรพูดถึง” แคสเซียนตะปบปากตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสายตาที่เริ่มขุ่นเขียวของคนข้างตัว
เบนถอนหายใจเฮือก ยกมือขึ้นเสยผม
“ช่างมันเถอะ”
เขายกเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกครั้ง หวังดับอารมณ์หงุดหงิดที่เริ่มปะทุขึ้นมาในอก เบนไม่ได้คุยกับพ่อแม่มานานหลายปีแล้วและถึงแม้ทางนั้นจะพยายามติดต่อมาอยู่เนื่องๆ แต่ก็เป็นแค่ทางจดหมายโฮโลแกรมนานๆ ครั้งเท่านั้น เจไดหนุ่มเคยถูกกัดกินด้วยความรู้สึกเหล่านั้นมาก่อน โกรธเกรี้ยวและผิดหวัง ถูกลืมเลือนและไร้ค่า จนกระทั่งได้มีเรย์อยู่ในอ้อมแขน
เธอเติมเต็มเขา จุดประกายความหวังและความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุดให้ดวงวิญญาณที่กำลังถูกครอบงำด้วยด้านมืดของเขา เพราะแบบนั้นเบนจึงตั้งใจจะถนอมเธอไว้ให้ดีที่สุด จากทุกภยันตราย
แม้ว่านั้นจะหมายรวมถึงตัวเขาเองก็ตาม
“เฮ้” แคสเซียนสะกิดเขาขึ้นมาภวังค์ “ฉันว่าเรย์ดูแปลกๆ นะ”
เบนมองตามปลายนิ้วของเพื่อนไปยังโต๊ะตัวยาวกลางร้าน เรย์หน้าแดงก่ำ นั่งเอียงไปเอียงมาเหมือนจะล้มได้ทุกเมื่อ โพคว้าไหล่ของเด็กสาวไว้ได้ทันก่อนจะล้มไปพอดี
เจตนาดี แต่เพราะตำแหน่งมือที่ดันวางอยู่ตรงต้นแขนเปลือยเปล่าของพาดาวันสาวนี่สิที่ทำให้เบนไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย และก่อนจะทันรู้ตัวเจไดหนุ่มก็กระแทกเครื่องดื่มของตนลงกับโต๊ะ ก้าวพรวดๆ ไม่กี่ครั้งก็สามารถไปยืนทำสีหน้าบึ้งตึงใส่โพและฟินน์ได้อย่างง่ายดายโดยที่แม้แต่แคสเซียนก็ห้ามไม่ทัน
“เบนนนน” เรย์เงยหน้าขึ้นมาเรียกเสียงอ้อแอ้ ดวงตาปรือฉ่ำและยิ้มหวานจนหัวใจเขาเกือบกระตุก ซึ่งเบนต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีในการตีหน้านิ่งและถามเสียงเย็นกลับไปว่า
“ใครเอาเหล้าให้พาดาวันของฉันกิน”
โพปล่อยมือจากต้นแขนของเรย์ทันทีเพื่อยกมือเป็นสัญญาณยอมแพ้ “ไม่ใช่ฉัน”
ฟินน์จึงต้องคว้าร่างปวกเปียกของเด็กสาวไว้แทน
“เรย์คงเผลอหยิบค็อกเทลของพวกเราไปกินเพราะนึกว่าเป็นน้ำผลไม้แน่ๆ” เขาคาดการณ์ปนแก้ตัวในขณะที่เรย์จิ้มแก้มเพื่อนสตอร์มทรูปเปอร์ไปมาพร้อมหัวเราะร่า
มีสมาชิกรวมโต๊ะอีกหลายคนให้คาดคั้นทว่าเบนคร้านจะสอบสวนต่อแล้ว เขาเดินอ้อมไปประคองลูกศิษย์สาวไว้แทนซึ่งฟินน์ก็ยินยอมยกหน้าที่นั้นให้แต่โดยดี เรย์เอนตัวมาด้านหลัง ทิ้งน้ำหนักมาที่เขาเต็มๆ
“ทำไมพื้นมันเอียงละเบน ร้านนี้ปรับระดับแรงโน้มถ่วงได้ด้วยเหรอ”
เจไดหนุ่มถอนหายใจเฮือก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มตวัดมองทุกคนอย่างคาดโทษเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะช้อนอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกอย่างง่ายดายและรวดเร็วราวกับว่าน้ำหนักของเธอไม่ส่งผลอะไรกับเขาแม้แต่น้อย
“ไม่หรอกแต่มันแปลว่าเธอควรไปนอนได้แล้ว” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลกว่าที่ตั้งใจไปมากนัก
“อะไรกัน ฉันยังลองเมนูไม่ครบเลยนะ” เด็กสาวงึมงำประท้วงทั้งที่เอื้อมมือมาคล้องรอบคอเจไดหนุ่มและซุกไซ้เข้าหาอย่างคุ้นเคย ดวงตาสีเฮเซลนัทปรือใกล้ปิดเต็มที ด้วยการกระทำเช่นนี้ไม่มีทางเลยที่เขาจะดุเธอได้ลงรวมทั้งไม่มีทางให้เธออยู่ต่อแน่ๆ
เบนก้าวออกมาจากบาร์ทาคาโดนะท่ามกลางสายตาของทุกคน ความตั้งใจแรกของเจไดหนุ่มคือการพาพาดาวันของเขา ไปส่งห้องแล้วค่อยกลับมานั่งดื่มกับเพื่อนเก่าอย่างแคสเซียนต่อ
ทว่าคืนนั้นทั้งคืนเบนไม่ได้กลับมาอีกเลย
“เป็นฝีมือเธอสินะจินน์”
แคสเซียนเอ่ยดักตั้งแต่เจ้าของชื่อยังไม่ทันจะหย่อนตัวลงนั่งด้วยซ้ำ
“พูดอะไรของนายกัน” เธอยอกย้อนด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ภาพโฮโลแกรมของการ์เลนเมื่อตอนเย็นซ้อนทับขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ในมือบางคือค็อกเทลสีสวยแก้วใหม่ที่ดรอยบาร์เทนเดอร์เพิ่งจะชงให้
“เธอแอบสลับแก้วน้ำของเรย์กับค็อกเทลของเธอ อย่าคิดนะว่าฉันไม่เห็น เธอมือไวก็จริงแต่ไม่ได้ไวขนาดนั้น”
“ไม่ใช่เพราะว่านายมองฉันตลอดเวลาหรอกเหรอก็เลยสังเกตเห็น” จินน์เท้าคางมองแคสเซียนสำลักวิสกี้ด้วยความบันเทิงยิ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าอาการหน้าแดงของเจไดหนุ่มแห่งโร้ควันนั้นเป็นผลจากการไอโขลกอยู่หลายที หรือเพราะความเขินอายที่ถูกจับได้กันแน่
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม และเพื่อไม่ให้ตนเองตกเป็นรองไปมากกว่านี้แคสเซียนจึงตัดสินใจเบี่ยงประเด็นกลับไปยังเรื่องเดิมอีกครั้ง
“การเล่นบทแม่สื่อเพื่อให้คู่นั้นลงเอยกันเร็วขึ้นไม่ได้ช่วยให้การ์เลนล้มเลิกความคิดที่จะจับคู่เธอกับใครก็ได้ที่ไม่ใช่ฉันอยู่ดีน่ะแหละ” แคสเซียนอธิบาย แต่ด้วยอาการลิ้นชาจากแอลกอฮอล์ น้ำเสียงที่เริ่มอ้อแอ้ของเขาจึงเหมือนการคร่ำครวญเต็มที “อีกอย่างเรย์เพิ่งจะสิบห้า ฉันยังไม่อยากเห็นเพื่อนติดคุกหรอกนะแม้ว่าจะอยากเคาะกะโหลกให้มันรู้ความรู้สึกตัวเองเร็วแค่ไหนก็ตาม”
“เบนเป็นสุภาพบุรุษจะตาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรย์หรอกน่า”
“อ่าฮะ” น้ำเสียงของแคสเซียนแทนได้ทุกประโยคเลยว่าเขาไม่เชื่อคำพูดนี้แค่ไหน “สุภาพบุรุษที่จ้องพาดาวันของตัวเองตาเป็นมันมาหกปี สุภาพบุรุษมากเลย”
“นายเองก็จ้องฉันตาเป็นมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอเหมือนกันแหละน่า และต้องให้เตือนความจำมั้ยว่าตอนนั้นฉันเองเพิ่งสิบเจ็ดเอง”
ดีนะที่เขายังไม่ได้ยกวิสกี้ขึ้นจิบไม่งั้นคงได้มีการสำลักรอบสองแน่นอนเพราะคนข้างตัวเพิ่งจะโยนข้อเท็จจริงที่เขาคิดมาตลอดว่าไม่มีทางที่เธอจะรู้ได้เข้าใส่อย่างจัง แคสเซียนหน้าแดงไปจนถึงใบหู ทั้งคู่จ้องมองกันเงียบๆ อยู่อีกครู่ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ
ไม่ว่าจะเพราะแอลกอฮอล์ที่ทำให้เขากล้าขึ้นหรือด้วยบรรยากาศพาไปก็ตาม แคสเซียนเอื้อมไปกอบกุมมือบางของจินน์ไว้อย่างลืมตัวและลืมข้อตกลง ทว่าดูเหมือนหญิงสาวเองก็จะลืมไปเช่นกันว่าพวกเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เพราะจินน์ได้ขยับมือให้นิ้วเกี่ยวประสาน ก่อนจะเอนตัวมาไปใกล้ขึ้นจนไหล่ของทั้งคู่ชนกัน
เจไดหนุ่มทอดเวลา ให้ความอึกทึกรอบด้านแทรกตัวเข้ามาอีกครู่ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยถาม
“เธอตั้งใจจะกลับไปสินะ”
จินน์ไม่ได้ตอบ แต่จากท่าทีที่หลุบมองเครื่องดื่มก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนพอ
“....ก็ว่าอยู่ว่าทำไมการ์เลนถึงปิดบาร์เลี้ยงฉลอง”
“ฉันไม่ได้เกลียดที่จะทำงานภายใต้สาธารณรัฐกาแลคติกเหมือนที่พูดไว้จริงๆ หรอกนะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางเสียงเชียร์โหวกเหวกเมื่อโบดี้พยายามลองเครื่องดื่มหน้าตาประหลาดที่ดูเหมือนลาวาไม่มีผิด “ฉันแค่ไม่ชอบที่พ่อเข้ามายุ่งวุ่นวายกับทุกเรื่องที่ฉันทำเท่านั้นเอง เพราะแบบนั้นฉันเลยหนีมา แต่ดูเหมือนสุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”
“สรุปว่าโร้ควันคงจบแค่นี้สินะ” ถึงคราวแคสเซียนก้มมองแก้วเครื่องดื่มในมือบ้างแล้ว เขากระดกวิสกี้รสชาติร้อนแรงจนหมดก่อนจะคว่ำแก้วปฏิเสธไม่ให้ดรอยด์บาร์เทนเดอร์เติมน้ำสีอำพันให้
“ทุกคนไม่ได้หนีหายไปสักหน่อย”
“ฉันก็ยังไม่ชอบความคิดที่ว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี” เจไดหนุ่มสารภาพ แต่กลับทำให้คนฟังเบิกตากว้าง ทั้งยังเอ่ยปากแซวจนทำลายบรรยากาศสิ้น
“ว้าว ถ้ารู้ว่าจะได้ฟังอะไรหวานๆ แบบนี้ ฉันมอมเหล้านายไปตั้งนานแล้ว”
“เงียบน่า” แคสเซียนเอ็ดกลบเกลื่อนความเขิน จินน์หัวเราะแผ่วซึ่งถูกเสียงดนตรีกลบหายไปอย่างรวดเร็ว อีกอึดใจถัดมาเธอก็ขยับใบหน้า จุมพิตแก้มสากของเจไดหนุ่มอย่างรวดเร็วและไม่ได้ถอยกลับไปในทันที
“เราจะได้อยู่ด้วยกันอีกแน่ๆ ฉันสัญญา เพียงแต่ขอกลับไปเคลียร์ปัญหากับพ่อให้มันลงตัวก่อน ถึงจะไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็เถอะ แต่ฉันว่ายังไงก็คงเร็วกว่าคู่นั้นรู้ใจตัวเองแน่ๆ” จินน์หัวเราะคิกคักด้วยเสียงหวานใสจนเกือบเหมือนระฆัง “ระหว่างนี้นายก็อย่าสร้างปัญหาละโอเคมั้ย ไม่งั้นเรื่องของเราคงยุ่งยากไปมากกว่าเดิมแน่ๆ”
มุมปากของแคสเซียนบิดโค้งเป็นรอยยิ้ม เขาเอื้อมมืออีกข้างประคองใบหน้าของจินน์ไว้ก่อนจะประทับแนบริมฝีปากลงไป ไม่สนแม้ว่าจะมีสายตาของสมาชิกในทีมเฝ้ามองอยู่และเคทูแอบบันทึกภาพนี้ไว้ในโค้ดความทรงจำของมันอย่างจงใจ
“จะพยายามแต่ไม่สัญญา”
จินน์ยิ้มก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เพื่อจูบตอบอีกครั้ง
Notes:
ได้แต่งฟิคเพื่อมาพายคู่รักดาวแตกสมใจแล้ว รู้สึกปลื้มปริ่มมากกกกกก แง้งงง แคสเซียนจินน์นี่เคมีดีมากจริงๆ ค่ะ โผล่มาแค่นิดเดียวแถมทำสงครามตลอดเรื่อง แต่ฉากสุดท้ายที่กอดกันก่อนดาวจะบึ้มยังตราตรึงอยู่เลย และในเมื่อแคนอนเขาไม่ยอมให้จูบกัน เลาจัดเองก็ได้//หักนิ้วแล้วเปิดเวิร์ด
ส่วนคู่หลักรอไปก่อนนะคะ แต่ตอนหน้ารับรองว่าเด็ดแน่ อิอิ
Chapter 17: Episode 17 Frist Kiss.
Chapter Text
การอุ้มเรย์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยากคือการรับมือกับความดื้อดึงของเธอต่างหาก
“ปล่อยสิเบน ฉันจะกลับไปกินต่อ” เด็กสาวโวยวายขึ้นมาแทบจะในทันทีที่เห็นประตูห้องพักของตน เบนแตะคีย์การ์ดเข้ากับแผ่นข้อมูลเหนือลูกบิดอย่างยากลำบากเมื่อคนในอ้อมแขนเอาแต่ดิ้นไปมา
“อยู่นิ่งๆ ได้มั้ยเรย์” เขาดุทว่าไม่เป็นผล
“เบนก็ปล่อยสิ ฉันเดินเองได้นะ”
“แค่นั่งให้ตรงเธอยังทำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ” เจไดหนุ่มถอนหายใจ ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องแสงไฟก็สว่างวาบ เรย์ครางฮือ ยกมือขึ้นป้องดวงตาก่อนจะดิ้นหนักกว่าเก่า ซ้ำร้ายบนพื้นห้องของเด็กสาวยังเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายไปทั่วเหมือนมีใครสักคนรื้อกระเป๋าเดินทางของเธอจนเละแล้วโยนทุกอย่างไปรอบๆ ยังไงยังงั้น
“เรย์...” เขาติเสียงเข้มขณะพยายามย่องหลบชุดชั้นที่กองอยู่ใกล้กัน สองแก้มเข้มแดงไม่แพ้น้ำเสียงเลยทีเดียว “ฉันบอกแล้วไงเรื่องเก็บห้องนอนให้เป็นระเบียบ”
“ไม่ใช่ความผิดฉันนะ จินน์ค้นกระเป๋าเพราะพยายามแต่งตัวให้ฉันต่างหาก เขายังฝากมาบอกเบนด้วยว่า ‘เจไดไม่ได้มีกฏห้ามแต่งเนื้อแต่งตัวสักหน่อย รู้แล้วก็ซื้อชุดน่ารักๆ มาให้ลูกศิษย์ใส่ซะบ้าง’ แล้วก็ให้ฉันยืมกระโปรงตัวนี้มาแหละ”
เบนเบ้ปากให้กับข้อความของจินน์ ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้เรย์แต่งชุดแบบในวันนี้ไปไหนมาไหนเด็ดขาด ลำพังแค่เครื่องแบบเจไดสุดเชยตัวหลวมพรวกยังดึงดูดสายตาแมลงหวี่แมลงวันได้ขนาดนั้น ขืนให้เรย์ใส่อะไรที่เปิดเผยเนื้อหนังมากไปกว่านี้เขาคงได้ไมเกรนขึ้นกันพอดี อีกอย่างเด็กสาวเคยพูดไว้ว่าชอบชุดของเจไดเพราะเคลื่อนไหวสะดวกและไม่ต้องคิดมาก
ซึ่งนั้นเป็นเรื่องดีเพราะทำให้เขาไม่ต้องคิดมากไปด้วย
เบนนึกในขณะที่เท้าขวาเหยียบลงบนกองผ้าขนหนูชื้นๆ บนพื้นจนลื่นเสียหลัก
ยังดีที่ล้มลงบนโซฟา เรย์ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนร่วงลงมานั่งบนตักของเขาพอดิบพอดี ศีรษะของเบนกระแทกผนัง เขาครางโอยยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบโดยอัตโนมัติ ไม่แตกและไม่โน ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้มสำรวจพาดาวันของเขา เธอก็ขยับยุกยิกอีกแล้ว
ไม่ใช่อาการดิ้นรนหนีเหมือนเคย แต่เป็นการเปลี่ยนท่า จากนั่งบนตักมาเป็นนั่งคร่อมเขาต่างหาก!!
“ระ...เรย์” เบนเรียก เสียงสั่นกว่าที่ตั้งใจไปมาก น่าขำ มาสเตอร์โซโลผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งสามารถใช้พลังยกปราสาทหินทั้งหลังไว้ได้เป็นชั่วโมง กลับไม่สามารถแม้แต่จะผลักร่างเล็กของลูกศิษย์สาวออกจากตัวได้
และถ้าเขาจะซื่อสัตย์กับหัวใจของตนเองมากกว่าอีกสักนิด ประโยคที่ถูกน่าจะเป็นไม่อยากมากกว่าไม่ได้
เบนได้กลิ่นหอมหวานของผลไม้ กลิ่นไอซิ่งและกลิ่นแอลกอฮอล์บางเบา ทั้งหมดเจือผสานกลายเป็นค็อกเทลที่ทำให้เขามึนมาขึ้นมาอย่างง่ายดาย
และดูเหมือนไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่กำลังถูกมอมเมาจากความใกล้ชิดนี้
“เบนตัวหอมจัง” เรย์ว่าขณะซุกใบหน้าลงมา ปลายจมูกเล็กถูไถไปตามโค้งของลำคอแกร่ง การกระทำที่เร่งสีแดงบนใบหน้าเจไดหนุ่มให้เข้มยิ่งขึ้นไปอีก ลมหายใจของเขาติดแน่นอยู่ในอกเมื่อเรย์เบียดเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น มือบางข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกลุ่มผมสีดำของเขา ส่วนอีกข้างเลื่อนวางเหนือตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำพอดี
เธอสูดหายใจเข้าลึก เปล่งเสียงครางแผ่วหวานอย่างพึ่งพอใจ
“เธอเมามากแล้วเรย์ คุมสติหน่อย” เบนเอ่ยปากดุ ซึ่งช่วงท้ายน่าจะเป็นการบอกตนเองมากกว่าเพราะตอนนี้เจไดหนุ่มกำลังกำมือแนบข้างลำตัวแน่นจนขึ้นข้อขาวเลยทีเดียว
“พยายามอยู่” เธอตอบกลับ ความขมขื่นเจือมาในน้ำเสียงอย่างน่าประหลาด “ฉันกำลังพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองเผลอพูดออกไปอยู่”
มีความนัยบางอย่างแฝงอยู่ในประโยคเหล่านั้น ความลับที่เธอเก็บงำไว้จากเขามาตลอดหลายปี เบนแน่ใจ เขาเกือบจะไขปริศนาได้แล้วด้วยซ้ำว่าคืออะไรกันแน่ทว่าร่างกายของเธออ่อนหวานเกินไปทำให้เขาไม่สามารถคิดได้อย่างถี่ถ้วน
และตอนที่ริมฝีปากนิ่มกดแนบลงมาลำคอของเขาพร้อมตวัดลิ้นร้อนไล่ชิมอย่างกล้าๆ กลัวๆ เบนก็เป็นฝ่ายสูญเสียการควบคุมเสียเอง
เสียงครางทุ้มต่ำดังลอดจากริมฝีปาก ฝ่ามือหนาลากผ่านต้นขาของเด็กสาว ส่งผลให้กระโปรงบางเลื่อนขึ้นสูงเปิดเผยนวลเนื้อที่เขาเผลอตัวจ้องไปเมื่อตอนหัวค่ำ เบนรั้งตัวเรย์เข้ามาใกล้จนไม่เหลือช่องว่างและเป็นฝ่ายที่ฝั่งใบหน้าลงกับโค้งลำคอของเด็กสาวเสียเอง ทว่าเจไดหนุ่มไม่ได้ทำอย่างหยอกล้อและแผ่วเผินเช่นที่เรย์ทำ ทั้งลิ้นและปากของเขาร่ายรำอยู่เหนือผิวเนื้อของเธอ ต่ำลงไปยังกระดูกไหปลาร้า สูงยังไปยังแก้มและแนวกราม
เบนตักตวงอย่างเอาแต่ใจจนเกือบจะเรียกได้ว่าตะกละตะกลาม มากมายกว่าที่เคยทำก่อนหน้านี้หลายเท่า เขาโทษว่าเป็นความผิดของเหล้ารัมจากนาบูที่ดื่มไปก่อนหน้า ทว่าลึกลงไปเขารู้ตัวดีว่าไม่ได้เมามายขนาดนั้น ที่จริงแล้วเขามีสติครบถ้วนดีด้วยซ้ำจนกระทั่งเรย์กระตุ้นความอยากของเขาขึ้นมา
“เบน” เธอครางเรียก ใบหน้าแดงก่ำทั้งจากฤทธิ์ค็อกเทลและความขัดเขินในขณะที่ประคองกรอบหน้าของเขาไว้ เบนหยุดการกระทำทั้งหมดในทันที เสียงหอบหายใจของทั้งเขาและเธอผสานกันเป็นหนึ่ง เรย์อยู่ใกล้มากจนเบนสามารถเห็นประกายพราวระยับภายในแก้วตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน
เด็กสาวหลับตาลง ขยับเอียงใบหน้าเข้าหา
เบนรู้ว่าจะเกิดอะไรตามมาได้บ้างจากการกระทำนี้ เขาเกือบจะศิโรราบให้กับความรู้สึกอันมากล้นระหว่างพวกเขาเสียแล้วทว่าดวงตาเหลือบไปเห็นเครื่องแบบพาดาวันที่วางพาดอยู่บนเตียงเสียก่อน
และนั่นทำให้เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าร่างอ่อนหวานในอ้อมแขนคือลูกศิษย์ของเขาเอง เด็กน้อยที่เขาเฝ้าเลี้ยงดูและทนุถนอมมาตลอดหลายปี
เบนยกมือขึ้นบังริมฝีปากของเรย์ไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะจูบเขาพอดี สัมผัสอุ่นชื้นซึ่งแนบอยู่กับฝ่ามือสร้างกระแสไฟฟ้าที่แล่นปราดไปทั่วร่างกายของเขา ความคิดที่ว่าสัมผัสนี้เกือบจะประทับลงมาที่ริมฝีปากของเขาอยู่แล้วทำให้ลำคอของเบนแห้งผาก
แต่ยังก่อน ไม่ใช่ในสถานการณ์เช่นนี้และไม่ใช่ในเวลานี้
เรย์รู้สึกเหมือนคนโง่และสับสน
โอเคเธอกำลังเมา โลกเคล้งเคลงและพร่าเลือน ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือเธอตั้งใจจะจูบเบนจริงๆ และมันไม่ใช่เพียงความคิดชั่ววูบด้วยด้วย สิ่งนี้ล่องลอยอยู่ในห้วงความคิดของเรย์มาสักพักแล้ว แอลกอฮอล์แค่เพิ่มความกล้าให้เธอลงมือทำเท่านั้น
ทว่าเบนกลับหยุดเธอไว้ ยกฝ่ามือขึ้นมาบดบังริมฝีปากของเธอจากการสัมผัสเขา
เขาไม่ต้องการเธอ...ประโยคนั้นย้อนกลับมาเล่นงานเรย์อีกครั้งเหมือนที่เป็นมาตลอด
ทั้งตื่นตระหนักและเสียใจ เรย์มองหาทางหนี เธอต้องการตั้งหลักให้ไกลจากเขาและความรู้สึกอันวูบไหวในขณะนี้ ทว่าตอนที่ขยับลุก มือหนาอีกข้างของเบนกลับยึดเอวเธอไว้แน่น ร่างสูงโน้มตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะเป็นฝ่ายแนบริมฝีปากลงมายังหลังมือของเขาเสียเอง
เรย์นิ่งค้างให้กับจูบอ่อนหวานที่ดูไม่ได้ใกล้เคียงกับการจูบเท่าไรนักเนื่องจากถูกกางกั้นด้วยฝ่ามือหนา แต่ถึงกระนั้นเด็กสาวยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจอันร้อนผ่าวของคนเป็นมาสเตอร์ที่ลอดผ่านร่องนิ้วมาอยู่ดี
“...ทำไม” เรย์กระซิบถามแทบจะในทันทีที่เบนลดมือลง
“จูบแรกของเธอทั้งทีมันควรจะน่าจะจดจำมากกว่าห้องรกๆ ในตอนที่กำลังเมาจนหัวทิ่มไม่ใช่เหรอ” เบนอธิบาย ซึ่งประโยคนี้เรย์เห็นด้วยแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
“มันไม่ใช่จูบแรกสักหน่อย ตอนที่ฉันอายุสิบเอ็ด ในเกมหมุนไลท์เซเบอร์...”
เรย์จำเรื่องราวในตอนนั้นได้ดี เธอที่ยังเป็นแค่เด็กหญิงยืดตัวขึ้นไปเพื่อจุมพิตมุมปากของเบนตามคำท้าที่เขียนไว้บนกระดาษใบจ้อย โอกาสที่เรย์จงใจฉกฉวยไว้เพื่อเติมเต็มความเอาแต่ใจของตนเอง และเธอก็จำได้ดีว่าริมฝีปากเต็มอิ่มของเขานุ่มนวลและน่าหลงใหลเพียงใด เรย์ไม่เคยบอกใครถึงความคิดนี้ ไม่แม้แต่จะยอมรับตรงๆ กับตนเองด้วยซ้ำว่าต้องการสัมผัสมาสเตอร์ของเธอในแบบนั้นอีกสักครั้ง
“นั่นไม่นับ” เบนแย้ง “แค่นั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับจูบของจริงเลยสักนิด”
ร่างกายของเธอตอบสนองต่อน้ำเสียงและแววตาของเขาทันที สั่นสะท้านด้วยความต้องการไม่แพ้กัน
เรย์อยากถาม ว่าจูบของจริงที่เขาว่าเป็นอย่างไร และถ้าเป็นไปได้เขาจะช่วยสอนเธอเรื่องนี้ด้วยได้มั้ย
“อีกอย่างเธอควรเก็บมันไว้กับคนที่ชอบจริงๆ เท่านั้น คนรักที่โชคชะตามอบให้ ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ที่บังเอิญมาตกอยู่ในสถานการณ์พอดีอย่างฉัน”
ซึ่งจากสิ่งที่เบนพูดมาก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ เรย์หน้าเสียทว่ายังไม่คิดละความพยายามง่ายๆ สัมผัสเมื่อครู่ร้อนแรงและเรียกร้องเพียงใดทำไมเธอจะไม่รู้ เรย์เกือบจะแน่ใจแล้วว่าเขาเองก็ต้องการเธอมากพอๆ กับที่เธอต้องการเขาน่ะแหละ เพียงแต่มีบางอย่างฉุดรั้งเขาไว้
“เพราะฉันไม่ใช่จินน์เหรอ? ” เรย์โพล่งถามอย่างลืมตัว “หรือเพราะฉันเด็กเกินไปเบนเลยไม่อยากต้องแตะต้องฉัน”
คำถามของเธอส่งผลให้เขากลืนน้ำลายเอื้อก เบนใช้เวลาอีกครู่หนึ่งในการเฟ้นหาถ้อยคำมาตอบเธอ
“บอกแล้วไงว่าฉันกับจินน์ไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“แล้วทำไมเบนจ้องเธอตลอดเลยละ” เรย์ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยสักนิด หึงหวงและไร้เหตุผลทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ แต่เธอคนนั้นสวยมากจริงๆ ซ้ำยังใจดีมากเสียจนเรย์เกลียดไม่ลง เด็กสาวเลยต้องเอาความอัดอั้นนั้นมาลงกับตนเองแทน เธอที่ดูกะโปโลและไร้สเน่ห์จนน่าหงุดหงิด
เจไดหนุ่มส่ายหน้า ยกยิ้มเล็กน้อยแค่มุมปากอย่างที่มักทำเป็นประจำ
“แคสเซียนต่างหากที่จ้องจินน์ ส่วนฉัน...” เขาจงใจเว้นคำ ดวงตาเป็นประกายล้ำลึก “มองแค่เธอ”
แก้มของเรย์ร้อนวาบ และเธอแน่ใจว่าไม่ใช่เพราะแอลกอฮอล์แน่ๆ แต่ถึงคำพูดของเขาจะอ่อนหวานมากแค่ไหนมันก็ไม่ช่วยคลายความสงสัยอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธเธอ
“ถ้างั้นแล้วทำไมละ? ” เรย์ยังคงคาดคั้น
“ก็บอกไปแล้วไงว่าเธอควรเก็บไว้ให้...”
เธอฟังจนเบื่อแล้ว พอกันที
เรย์ปิดปากเบนไว้ ก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบผ่านฝ่ามือเหมือนเช่นที่เขาทำ
“ฉันรู้ตัวดีว่าทำอะไรอยู่ และยิ่งกว่ารู้ด้วยว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกับใครก็ได้ ต้องเป็นคนที่ ‘พิเศษ’ จริงๆ เท่านั้น” เธอกระซิบอยู่ข้างหูของเจไดหนุ่ม จงใจให้ริมฝีปากปัดผ่านในบางคำพูด “ดังนั้นเบนต้องหาเหตุผลให้ดีกว่านี้แล้วแหละ เพราะครั้งหน้าจะไม่มีการใช้มือกั้นไว้แน่ๆ”
เบนนิ่งค้าง ดวงตาเบิกกว้าง เขาดูเหมือนจะลืมวิธีหายใจไปเลยด้วยซ้ำ
เรย์อาศัยจังหวะนั้นลุกขึ้นมาจากตักของชายหนุ่ม จัดชายกระโปรงให้เข้าที่เข้าทางด้วยความเก้อกระดาก ขู่เขาแล้วก็มาเขินเสียเอง สมกับเป็นเธอดีจริงๆ
“แต่ที่เบนพูดมาก็มีประเด็น ฉันกำลังเมา...นิดหน่อย” ที่จริงก็ไม่หน่อยเท่าไหร่ “แล้วก็ฉวยโอกาสตอนเผลอ แบบนั้นมันไม่ถูกต้อง”
ว้าว พอพูดออกไปแล้วเธอเหมือนตาแก่บ้ากามไม่มีผิด แต่ยังไงเรย์ก็ต้องพูดต่อไปอยู่ดี
“และเบนอาจจะพูดถูก ฉันควรทำเก็บเรื่องนี้ไว้ทำกับคนอื่นมากกว่า”
เรย์จงใจเติมคำว่าอาจจะ เพราะไม่มีทางที่เขาจะพูดถูก เธอไม่เคยคิดอยากทำเช่นนี้กับใครอื่น หัวใจของเธอไม่มีทางยินยอมให้ความใกล้ชิดเช่นนี้เกิดกับใครทั้งนั้นนอกจากเขา
“ดังนั้นก่อนที่อะไรๆ มันจะพิลึกไปมากกว่านี้ เราแยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมันน่าจะเป็นการดีกว่า”
เรย์สูดหายใจเข้าลึก เดินไปเปิดประตูแล้วผายมือเชิญเขาออกไป เด็กสาวตั้งใจพักการถกเถียงระหว่างกันไว้ก่อนเพื่อที่จะได้ไปกระโจนกรีดร้องใส่หมอนว่าเธอทำบ้าอะไรลงไปได้ เธอพลาด เป็นการเดินหมากที่พลาดอย่างแรง รู้ทั้งรู้ว่าเขามองเธอเป็นแค่ลูกศิษย์ตัวน้อยและให้แค่ความเอ็นดู แต่เรย์กลับอยากได้กว่านั้นมาก
เอาแต่เรียกร้องโดยไม่ได้ดูว่าเขาให้เธอได้หรือไม่
เรย์ตัดสินใจแล้วว่าถ้ารุ่งเช้ามาเยือนพร้อมท่าทีกระอักกระอวนของเบน เธอจะขอโทษเขาแล้วบอกว่าเมามากไปจนไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ หรือถ้าเขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เธอก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เช่นกัน แม้ว่าที่จริงแล้วมันจะรู้สึกดีมากๆ เวลามือและปากของเขาลากผ่านร่างกายของเธอ และน่าผิดหวังมากๆ ตอนที่เขาผลักเธอออกห่าง แต่ถ้ามันจะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ไว้ได้ เรย์ก็ยินดีที่จะลืมมันไปให้หมด
เบนลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างช้าๆ เขาดูครุ่นคิด จนเกือบคล้ายความสับสนเช่นที่เธอเป็น
ทว่าในตอนที่เรย์กำลังจะงับปิดประตูไล่หลัง
หมับ!
มือแกร่งก็คว้าทั้งกรอบประตูและลูกบิดไว้เพื่อห้ามการกระทำของเธอ
“มาด้วยกันหน่อยสิ” เจไดหนุ่มกล่าว คว้าข้อมือเล็กแล้วออกแรงลากดึงให้เธอตามมาทันทีโดยไม่คิดรอคำยินยอม เรย์พยายามถามตลอดทางว่าจะไปไหนกัน ทว่ามีเพียงสัมผัสหนักแน่นและร้อนผ่าวของเขาเท่านั้นที่สะท้อนกลับมา
กว่าอาร์มิเทจจะมาถึงบาร์ทุกคนก็เมามากแล้ว
“เป็นสภาพที่ดูไม่ได้เอาเสียเลย” พันเอกผมแดงพึมพำบ่นกับตนเองในขณะที่ก้าวยาวๆ ให้พ้นร่างที่ฟุบหมอบอยู่บนพื้นของโบดี้
เบซเองก็เมาไม่ต่างกัน เพียงแต่เพราะมีชิรุตช่วยประคองจึงยังสามารถนั่งบนเก้าอี้ได้โดนไม่ไถลลงไปกองบนพื้นไม้เสียก่อน สภาพของเหล่าโร้ควันว่าแย่แล้ว แต่เฟิร์สออเดอร์นั้นอนาถยิ่งกว่า
ฟินน์ไถลลงมากอดขาโต๊ะแล้วพูดงึมงำอะไรสักอย่างที่จับใจความไม่ได้ เจสกับมิทากะนั่งพิงโซฟาตัวยาวที่มุมร้านโดยเอนศีรษะชนกัน ตาปรือหน้าแดงพอกัน แบบที่เรียกได้ว่าพร้อมจะน็อคหลับไปได้ทุกเมื่อ กระทั่งผู้กองของเขาก็ยังก้มหน้าฟุบอยู่ตรงเคาท์เตอร์บาร์
ถ้าจะมีผู้รอดชีวิตก็คงเป็นจินน์กับแคสเซียนที่กำลังพยายามกู้ซากโบดี้ขึ้นมาจากพื้น โพซึ่งจิบเบียร์แบบชิลๆ เหมือนไม่สะทกสะท้านต่อปริมาณแอลกอฮอล์มากมายที่ดวลกันไป และเคย์เดลซึ่งยกอุปกรณ์ขึ้นมาบันทึกภาพของทุกคนไว้ด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
มีคนหายไปแฮะ?
“โซโลละ? ” อาร์มิเทจถามพร้อมสั่งให้ดรอยบาร์เทนเดอร์ชงมาร์ตินี่มาให้
“เรย์มาวววว” ฟินน์ยกแก้วเปล่าของตนเองโบกไปมาทั้งที่ยังไม่ลืมตา โพหลุดหัวเราะก่อนจะขยายความให้
“เรย์หยิบค็อกเทลไปดื่มจนเมาน่ะ มาสเตอร์โซโลเลยพาเธอกลับห้อง”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่? ”
“สักชั่วโมงกว่าๆ ได้แล้วมั้งค่ะ” ฟาสม่าตอบให้ ดูเหมือนแท้จริงแล้วผู้กองของเขาจะไม่ได้เมามากอย่างที่คิด อาร์มิเทจคำนวณกับตนเองในใจทันที เด็กสาววัยขบเผาะ เมาคอพับคออ่อนจนต้องให้ชายหนุ่มอุ้มกลับห้อง และผ่านไปเป็นชั่วโมงจนบัดนี้ชายหนุ่มคนที่ว่าก็ยังไม่กลับมา
คิดยังไงตัวเลขที่ออกมามันก็สิบแปดบวกทั้งนั้น แต่เรย์เพิ่งจะสิบห้า!!
“จบภารกิจนี้เมื่อไหร่ได้ติดคุกข้อหาสมรู้ร่วมคิดพรากผู้เยาว์กันหมดหน่วยแน่ๆ” พันเอกหนุ่มคร่ำครวญพลางสั่งให้ดรอยด์เปลี่ยนเครื่องดื่มเป็นอะไรก็ได้ที่ดีกรีแรงกว่านี้ และมันไปจบที่เบอร์เบินอายุร้อยสิบสามปีจากกลุ่มดาวอิลลีเซียม
“ใจเย็นน่าหัวหน้า” โพเอ่ยอย่างกึ่งแซว เขาเดินมานั่งที่เก้าอี้บาร์ตัวข้างกันทว่าเอนหลังพิงเคาเตอร์โดยหันหน้าไปทิศตรงข้ามกับคู่สนทนา “มาสเตอร์โซโลไม่ทำอะไรเรย์หรอก เขาคงกลับไปนอนห้องตัวเองแล้วมากกว่า”
“ฉันรู้ว่าโซโลไม่ทำหรอก ไก่อ่อนซะขนาดนั้น” อาร์มิเทจเหยียดยิ้ม
และแคสเซียนไม่รอช้าที่จะผสมโรงด่าเพื่อนเจไดทันที “ประโยคนี้ฉันเห็นด้วย หมอนั่นมองลูกศิษย์ตัวเองเหมือนเด็กจ้องลูกกวาดในร้านขนมมาตั้งแต่สิบเก้าแต่ไม่รู้ตัวสักนิด”
“ใช่เลย” พันเอกแห่งเฟิร์สออเดอร์ขยี้เส้นผมสีแดงของตนจนยุ่งเหยิง “เพราะคนที่จะทำคือเรย์ต่างหาก ป่านนี้ยัยเด็กนั่นไม่จับโซโลกดลงกับเตียงไปแล้วเหรอเนี่ยยิ่งเมาๆ อยู่ด้วย”
“หา!! ? ” แคสเซียนตกใจมากจนเผลอปล่อยโบดี้ลงพื้นเลยทีเดียว จินน์ร้องเหวอ คว้าดึงนักบินหนุ่มไว้แทบไม่ทัน
โพเองก็ถึงกับพ่นเบียร์ออกมาและไอสำลักค่อกแค่กซึ่งเคย์เดลหันมาถ่ายรูปไว้ได้พอดี สมาชิกเฟิร์สออเดอร์ที่เหลือต่างหูผึ่ง หงกตัวขึ้นมาจากอาการคอพับคออ่อนอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวๆ อะไรดลใจให้คุณคิดอุตริได้ขนาดกันพันเอกฮักซ์? ” จินน์ถามเสียงแหลมด้วยความตกใจ เธอดึงแขนขวาของโบดี้พาดไหล่ในขณะที่แคสเซียนเอ่ยขอโทษขอโพยแล้วยกแขนซ้ายของคู่หูขึ้นมา
“เด็กนั่นสารภาพกับฉันว่าแอบชอบมาสเตอร์ตัวเองมาตั้งแต่เก้าขวบแต่ไม่กล้าบอกออกไปเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายคิดกับเธอแค่ลูกศิษย์ สรุปคือเฟิร์สออเดอร์มีเจไดสองคน คนหนึ่งเป็นโลลิค่อนโง่เต็มขั้นที่ไม่รู้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง ส่วนอีกคนเป็นยัยเด็กเพี้ยนชอบผู้ชายหน้าบูดที่แก่กว่าสิบปีแต่ก็ดันดูไม่ออกอีกว่าเจ้านั้นก็ชอบเธอเหมือนกัน เอาสมการนั้นบวกเข้าไปกับแอลกอฮอล์ ฉันพนันได้เลยว่าตอนนี้เด็กนั่นต้องพยายามง้าบโซโลอยู่แน่ๆ ”
ประโยคบ่นแกมประชดประชัดของอาร์มิเทจสามารถสรุปสถานการณ์ในปัจจุบันระหว่างมาสเตอร์และพาดาวันได้เป็นอย่างดี และนั่นทำให้เป็นตาของจินน์บ้างที่เผลอปล่อยโบดี้เพื่อยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความรู้สึกผิด แคสเซียนที่ประคองอยู่อีกข้างจึงถูกน้ำหนักของคนเมาดึงลากลงพื้นไปด้วยกัน
จินน์รู้สึกผิดเพราะเป็นเธอเองที่เอาค็อกเทลไปให้เรย์ เธอแค่อยากจะสร้างสถานการณ์ให้พวกเขาได้ใกล้ชิดกัน เบนจะได้รู้ใจตัวเองเร็วขึ้นอีกหน่อยเฉยๆ ทว่าสิ่งที่คิดไม่ถึงคือมันจะเลยเถิดไปได้ใกล้ถึงขั้นนั้น
โพทุบอกตัวเองอยู่สองสามทีเพื่อให้หายจากอาการไอ ดูเหมือนว่าสิ่งที่เพิ่งรู้มาจะทำให้เขาตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว ทว่าก่อนที่ใครจะทันได้อ้าปากถามอะไรอาร์มิเทจเพิ่ม เสียงของบีบีเอ็ทก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ว่าไงนะ? นายเห็นมาสเตอร์โซโลกับเรย์เดินอยู่ชายหาดงั้นเหรอ”
โพแปลให้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ทุกคนที่ยังเหลือสติมากพอต่างก็ลุกพรวดไปออกันอยู่ตรงหน้าต่างร้าน ชิรุตยังคงยืนประคองเบซอยู่ที่เดิม เพราะอย่างไรการกระทำนี้ก็ไม่มีประโยชน์ต่อเขาอยู่ดี โบดี้ซึ่งถูกจินน์กับแคสเซียนปล่อยลงพื้น ไถลไปนอนคว่ำหน้าไม่ห่างจากฟินน์มากนัก ฟาสม่าเองยังคงฟุบอยู่ที่เดิม ไม่สนใจจะเข้ารวมการสอดส่องสองเจไดกับพรรคพวก
ที่น่าแปลกใจที่สุดน่าจะไม่พ้นเจสกับมิทากะ ผู้ลุกมาได้ไวมากจนสามารถจองที่แถวหน้าติดกระจกได้ทั้งที่หน้าแดงก่ำและพูดอ้อแอ้พอกัน
และเหมือนที่บีบีเอ็ทรายงาน ทั้งเบนและเรย์กำลังเดินเลียบไปตามบริเวณชายหาดจริงๆ เสียด้วย ท่ามกลางราตรีกาลอันเงียบงัน มีเพียงแสงร่ำไฟจากโรงแรมสาดกระทบให้เห็นแค่โครงร่างและเสี้ยวหน้า สมาชิกทุกคนมองตามจนคอแทบเคล็ด แต่ก็เก็บรายละเอียดได้มากสุดแค่เจไดหนุ่มกำลังกุมมือของพาดาวันสาวไว้อยู่เท่านั้น
“นั่นมัน...เหนือคาดสุดๆ ไปเลยแฮะ” อาร์มิเทจขยับออกห่างจากหน้าต่าง เขาไหวไหล่พลางกระดกเครื่องดื่มต่อจนหมด “แต่ก็ดี จะได้ไม่ต้องปวดหัวจ้างทนายมาแก้ต่างตอนโดนจับ ฉันไปนอนละนะ พวกนายก็เก็บกวาดให้เรียบร้อยด้วยแล้วกัน”
ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงการทำความสะอาดร้านแน่ๆ เมื่อดูจากการที่ดวงตาสีฟ้าทอดมองไปยังลูกน้องที่กองกันอยู่ตามที่ต่างๆ
“โว้ๆ ช้าก่อน ขอเวลานอก” โพรั้งอาร์มิเทจไว้ ที่จริงแล้วนักบินหนุ่มถึงกับคว้าคอเสื้อลายสัปปะรดของคนที่จ่ายเงินเดือนให้เขาด้วยซ้ำ “แค่เพราะไม่ได้อยู่ห้องนอนไม่ได้หมายความว่าจะนั่นนู้นนี่กันไม่ได้สักหน่อย อีกอย่างไม่อยากรู้เหรอว่าสองคนนั้นไปไหนกัน”
โพกดเสียงต่ำ กระซิบกระซาบใส่หูเขาประหนึ่งเป็นเด็กเกรดสิบเอ็ดที่กำลังกอสซิปเพื่อนรวมชั้นก็ไม่ปาน อาร์มิเทจกรอกตามองบนทันที
พูดตามตรงเขาไม่คิดว่าโซโลหรือเรย์จะโง่พอที่จะไปทำนั้นนู้นนี่กันอย่างที่ผู้การดาเมรอนพยายามใส่ไฟหรอกนะ อีกอย่าง ต่อให้ชั่งน้ำหน้ากันแค่ไหน แต่อาร์มิเทจก็รู้ดีว่าคู่หูของเขาเป็นผู้ชายประเภทโรแมนติกจนเข้าขั้นน้ำเน่า สุภาพบุรุษหัวโบราณแบบที่คนทั่วไปคิดว่าน่าจะตายหายไปจากธรรมเนียมสมัยใหม่ของกาแล็คซี่จนหมดแล้ว เขาจึงกล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าการเดินเล่นริมหาดในครั้งนี้ ได้อย่างมากก็แค่จับมือหรือโอบไหล่เท่านั้นแหละ
ดังนั้นสู้เขาเอาเวลาไปกล่อมคุณมิลลิเซ็นต์เข้านอนยังจะได้ประโยชน์เสียกว่าตามไปดูความสัมพันธ์ที่พัฒนาช้าเป็นทากคลานระหว่างสองคนนั้นตั้งเยอะ
ทว่ายังไม่ทันจะอ้าปากปฏิเสธหรือปัดมือโพออกไปจากเสื้อ เสียงของแคสเซียนก็ดังขึ้นเสียก่อน
“พวกนั้นเดินพ้นหัวมุมหาดไปแล้ว”
ทั้งจินน์และแคสเซียนพุ่งตัวออกไปจากบาร์ทาโคดานะทันที แน่นอนว่าตามติดมาด้วยเจส มิทากะและเคย์เดลผู้มีกล้องในมือ โพยิ้มกว้าง รุนหลังและไหล่อาร์มิเทจให้เดินไปข้างหน้าอย่างกึ่งบังคับ
“มาเถอะน่า จะได้เช็คให้แน่ใจว่าสองคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดไง”
เช็คบ้าเช็คบออะไรละ!
แค่อยากสอดรู้เรื่องสองคนนั้นจนต้องลากเขาไปเป็นกันชนชัดๆ !!
ลมทะเลค่อนข้างแรงและเย็นทว่าเรย์กลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด
เป็นเพราะเสื้อตัวนอกของเบนที่เขาสละมาให้เธอสวมทับชุดสีขาวบางพริ้วตัวนี้หรือเปล่านะ ที่ทำให้ความอบอุ่นในอกขยายตัวจนเกือบเต็มล้น หรือเป็นเพราะการที่ทั้งคู่กำลังเดินเคียงกันแบบไหล่ชนไหล่จนความร้อนจากเรือนกายสูงถ่ายเทมายังเธอได้อย่างง่ายดาย หรือเป็นเพราะการที่เบนเปลี่ยนจากฉุดดึงข้อมือ มาเป็นกอบกุมเกี่ยวประสานนิ้วเข้าด้วยกันแทน
ด้วยทุกอย่างเหล่านั้น ความหงุดหงิดและสับสนที่ถูกเบนปฏิเสธจึงเริ่มคลายตัวลงทีละนิด ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลมและเสียงของเกลียวคลื่นที่สาดกระทบฝั่ง เด็กสาวแหงนมองเสี้ยวหน้าของคนเป็นมาสเตอร์เพื่อเอ่ยถาม
“เราจะไปไหนกันเหรอ? ”
“ถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้เองแหละ” เบนตอบอย่างกำกวม มุมปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา คล้ายกับว่าเขาอดใจไม่ไหวแล้วที่จะให้เธอได้เห็นสถานที่นั้น “ว่าแต่เธอสร่างหรือยัง”
“แค่ค็อกเทลแก้วเดียวเอง ฉันรับมือได้น่า” เรย์ย่นจมูกใส่มาสเตอร์ของเธอ เบนจึงดึงเธอเข้าใกล้ ให้ไหล่กระทบชนกันเบาๆ ก่อนจะย้อนถาม น้ำเสียงอ่อนโยนเกินกว่าจะเป็นการคาดคั้นหรือดุด่า
“หืม? สรุปว่านี่เธอหยิบผิดหรือว่าจงใจดื่มกันแน่เนี่ย”
“ตอนแรกก็หยิบผิดน่ะแหละ แต่มันหวานแล้วก็อร่อยออก ฉันเลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร” เรย์รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นที่บทสนทนาและบรรยากาศระหว่างกันไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่เธอนึกกลัว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเบนใจดีเกินกว่าจะถือสาการกระทำอันสิ้นคิดของเธอ หรือไม่ก็เพราะเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยจริงๆ
และไม่ว่าจะเป็นเพราอะไรก็ตาม มันทำให้เรย์รู้สึกว่าค็อกเทลแก้วนั้นช่างเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเบนในขณะนี้ไม่มีผิด
แรกสัมผัส รสชาติของมันทั้งอ่อนหวานและนุ่มนวล ชักชวนให้เผลอไผลจนต้องยกขึ้นจรดริมฝีปากเป็นครั้งที่สองและสาม ล่อลวงให้ติดกับ หลงคิดไปว่าไม่มีพิษภัย กว่าจะตระหนักได้ถึงรสชาติเผื่อนขมที่ซ่อนอยู่และผลกระทบที่ตามมา ทุกอย่างก็สายเกินไป
เรย์ตกกลุมรักเบนไปแล้ว เนิ่นนานก่อนจะได้ใกล้ชิด บางทีอาจจะตั้งแต่แรกพบด้วยซ้ำไป
ทว่าเรย์จะไม่ขอโทษใครทั้งนั้นที่เผลอตัวตกหลุมรักมาสเตอร์ของเธอเอง ไม่แม้กระทั่งเบนด้วย นี่เป็นหัวใจของเธอ ร่างกายของเธอ ความต้องการของเธอเองที่เลือกจะปรารถนาในตัวเขามากกว่าใครในกาแล็คซี่นี้
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ต้องการเธอในแง่นั้นด้วยก็ตามที
“ถึงแล้ว” เสียงทุ้มต่ำของเขาฉุดรั้งเธอขึ้นมาจากภวังค์ เรย์เงยหน้าขึ้นมองและ...
“ว้าว!! ”
นั่นคือทั้งหมดจริงๆ ที่เธอพูดออก เบื้องหน้าคืออ่าวขนาดเล็กแห่งหนึ่ง โขดหินและแนวป่าโอบล้อม ช่วยซุกซ่อนมันจากสายตาผู้คน เกลียวคลื่นที่สาดกระทบฝั่งกำลังส่องแสงระยิบระยับในเฉดสีฟ้าและขาว ราวกับดวงดาวด้านบนได้ร่วงหล่นลงมายังผืนน้ำ มันทำให้ทั้งอ่าวสว่างไสว อาบไล้ใบหน้าของเบนจนเห็นลักยิ้มที่กดลึกเป็นเส้นขีดของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เรย์สามารถบอกได้ในทันทีเลยว่าท่าทีตื่นเต้นและกริยาอ้าปากค้างของเธอทำให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“มันคืออะไรน่ะ” เรย์ถาม เดินเข้าหาทะเลซึ่งกำลังส่องแสงอย่างลืมตัว เมื่อไม่มีเสียงห้าม พาดาวันสาวจึงสะบัดรองเท้าออก ก้าวลงไปในน้ำเย็นจัดอย่างไม่กลัวเกรง ระลอกคลื่นที่ม้วนตัวกระทบข้อเท้าบางเปล่งแสงจ้าขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างน่าตื่นตา
“แพลงตอนชนิดหนึ่ง” เบนตอบในขณะที่เดินตามมาสมทบ “พบได้ค่อนข้างยากในส่วนอื่นของกาแล็คซี่ แต่ง่ายสำหรับดาวสคาริฟถ้ารู้ว่าต้องหาตรงไหน และถ้าแตะโดนมันจะยิ่งเรืองแสงมากขึ้นด้วย”
เรย์ไม่รอช้าที่จะทดสอบในสิ่งที่เบนบอก เธอก้าวไปลึกขึ้นจนน้ำมาถึงครึ่งแข้งแล้วลากปลายนิ้วผ่านผิวคลื่น เส้นสีฟ้าวูบวาบที่เกิดขึ้นทำให้เธอหัวเราะ เรย์ลองเปลี่ยนไปวักน้ำ เฝ้ามองหยาดหยดส่องประกายร่วงกลับลงสู่ท้องทะเล
คลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา เรย์ถอยเท้าหนีเพราะไม่อยากเปียกจนชนเข้ากับเบนอย่างจัง เขาคว้าตัวเธอไว้ โอบประคองไม่ให้เสียหลักล้มก่อนจะหมุนเธอมาเผชิญหน้ากัน ฝ่ามือร้อนผ่าวของเขาไม่ยอมผละจากแม้ว่าเธอจะยืนได้อย่างมั่นคงแล้วก็ตาม
“ที่จริงแล้วฉันชอบบรรยากาศของสวนดอกไม้กับทะเลสาปมากกว่า เพราะมันทำให้นึกถึงงานแต่งระหว่างท่านตากับท่านยายที่อาร์ทูเคยฉายให้ดู”
เบนกระซิบบอก ท่ามกลางสายลมที่พัดแรงจนผมของเธอยุ่งเหยิง เรย์กลับได้ยินทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน เบนยกมือขึ้นทัดเส้นผมของเธอไว้หลังหู เช่นเดียวกับมืออีกข้างซึ่งวางอยู่เหนือบั้นเอว สัมผัสของเขาไม่จากไปไหน ฝ่ามือหนาประคองซีกหน้าของเธอไว้
“แต่ฉันก็จำได้อีกเหมือนกันว่าเธอชอบสายน้ำและท้องทะเลขนาดไหน”
“แน่สิ ก็ของแบบนี้หาไม่ได้ที่แจคคูนี่น่า” เรย์ตอบ ตั้งใจจะให้ติดตลกเพื่อสยบหัวใจที่กำลังเต้นระรัว เธอค้นพบว่าตัวเองขยับเข้าใกล้เบนขึ้นอีกก้าวราวกับเดินละเมอ
“และในเมื่อเดินกันมาสักพักจนทั้งเธอและฉันน่าจะสร่างเมากันแล้ว มันคงไม่เป็นไรที่เราจะทำแบบนี้...”
ช่วงท้ายของประโยคที่เบนพูดแนบหายไปกับริมฝีปากของเรย์ เขาจูบเธอ แผ่วเบาแต่ก็หนักแน่น อ้อยอิ่งทว่าไม่รุกล้ำ แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้ในหัวของเรย์หมุนคว้าง ร่างกายสูงใหญ่ที่โน้มลงมาช่วยบดบังลมทะเลได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นเรย์ก็ยังได้ยินเสียงอืออึงในหู ใช้เวลาอีกชั่วครู่กว่าเด็กสาวจะเข้าใจได้ว่านั้นคือเสียงหัวใจของเธอเอง
“ทะ...ทำไม...” เรย์พูดได้แค่นั้นจริงในขณะที่เอื้อมมือไปยึดแขนเสื้อของเบนไว้เพื่อไม่ให้เขายืดตัวกลับขึ้นไป ระดับสายตาที่เท่ากันทำให้เธอได้เห็นว่าม่านตาของเบนขยายกว้างเพียงใด เขาหลุบมองริมฝีปากของเธอในขณะที่งึมงำตอบ
“เพราะว่านี่เองก็เป็นจูบแรกของฉันเหมือนกัน ฉันเลยอยากให้มันมีความหมายมากกว่าห้องรกๆ กับสภาพเกือบเมาจนแทบคิดอะไรไม่ได้ของตัวเอง”
“ตะ...แต่ว่า ตอนที่เราเจอกันเบนก็สิบเก้าแล้ว” เรย์เกลียดชะมัดที่ไม่สามารถควบคุมความสั่นระริกในน้ำเสียงของตนเองได้ “และแคสเซียนบอกว่าเคยลากเบนไปที่ดาว....”
“ฉันแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากไปนั่งดูแคสเซียนพยายามจีบสาวจากดาวโทกรูตาแล้วก็แบกหมอนั่นกลับตอนที่เมาหัวทิ่ม” เขาหัวเราะให้กับพฤติกรรมของเพื่อนสนิท ก่อนจะจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเธอ “สำหรับฉัน การต้องแตะเนื้อต้องตัวกับคนแปลกหน้าแบบนั้นมันให้ความรู้สึกไม่ถูกต้องเอามากๆ มากพอกับการนึกภาพเธอในอ้อมกอดของคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันเลยทีเดียว”
“แล้วตอนนี้ละ” เรย์กระซิบถาม เผลอตัวจ้องริมฝีปากเต็มอิ่มของเขาเช่นกันก่อนจะฝืนเลื่อนสายตากลับขึ้นมาประสานกันได้ “การที่เราจูบกันเมื่อกี้ทำให้เบนรู้สึกยังไงบ้าง”
“ไม่มีอะไรถูกต้องไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
เรย์เชื่อว่าแค่ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เธอได้เห็นเบนยิ้มมากกว่าตลอดทั้งปีรวมกันเสียอีก
“งั้น...” ความกล้าจากไหนไม่รู้ซึ่งผุดขึ้นมาในตัวได้ทำให้เรย์เลื่อนมือไปคล้องรอบคอเบนพลางเอ่ยถาม “ถ้าฉันจะขอจูบที่สองด้วย เบนจะให้ฉันได้มั้ย”
แทนคำตอบ สองมือของเขารั้งเอวเธอให้เข้ามาใกล้ขึ้นอีก โอบอุ้มจนร่างของเรย์แทบลอยไม่ติดผืนทราย บ่ากว้างและลาดไหล่หนาคือหลักยึดของเธอ เธอเหยียบอยู่บนเท้าของเบน เขย่งยืดตัวเพื่อลบเลือนช่องว่างระหว่างกัน จูบนี้ลึกล้ำกว่าก่อนหน้ามากมายนัก เรย์ลิ้มรสชาติเหล้ารัมจางๆ ซึ่งยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นของเบน ลอกเลียนและตอบสนองต่อทุกสัมผัสของเขาอย่างกระตือรือร้น การที่พลังยึดโยงพวกเขาเข้าพวกกันยิ่งส่งผลให้ทุกความรู้สึกเอ่อล้นและรุนแรงเป็นทบทวี
ด้วยจูบนี้ เรย์จึงยิ่งร่วงหล่น ตกหลุมรักเบนมากขึ้นไปอีก
ทว่าแล้วเขาละ?
เขากำลังจูบเธออยู่ก็จริงแต่กลับไม่เคยพูดหรือยอมรับออกมาแม้แต่ครึ่งคำว่ารู้สึกในแบบเดียวกัน เพราะในขณะที่เรย์มองเบนเป็นทุกอย่างของเธอในห้วงกาแล็คซี่อันเวิ้งว้างนี้ เขาเองก็ยึดติดกับเธอไม่ต่างกัน เรย์กังวลว่านี่อาจเป็นเพียงความห่วงและหวงซึ่งถูกแสดงออกมาอย่างไม่เหมาะสมและบังเอิญเข้าทางเธอมากเกินไปหน่อยเท่านั้น
“เป็นอะไรไป? ” เบนผละห่างแล้วถาม ความกังวลเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ในนั้นเพราะจับสัมผัสถึงความคิดด้านลบของเธอได้ “ฉันทำอะไรผิดเหรอ? ”
เรย์ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากซึ่งแดงช้ำผลิเป็นรอยยิ้มงดงาม
“กำลังคิดอยู่ว่าเบนโกหกฉันอยู่หรือเปล่า เพราะไม่มีทางที่นี่จะเป็นจูบแรกแน่ๆ ”
เขาหลุดหัวเราะก่อนจะหยอกเย้ากลับมา “แสดงว่าฉันทำได้ดีสินะ”
เรย์ไม่ได้ตอบ แต่การที่เธอโน้มคอเขาลงมาเพื่อเรียกร้องจูบที่สามก็ดูจะเป็นคำตอบที่ดีพออยู่แล้ว
ท่ามกลางสายลมและเกลียวคลื่นที่ส่องประกายพร่างพราว เรย์ผลักทุกคำถามและความสับสนไว้เบื้องหลัง น้อมรับทุกสัมผัสจากเขาเพียงเพื่อจะทำให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะสลักแน่นอยู่ในหัวใจของเธออย่างไม่มีทางลบเลือน เพราะไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะยังมีช่วงเวลานี้ให้เฝ้าฝันถึงเสมอ
ในขณะเดียวกัน
“หายไปไหนแล้วเนี่ย? เดินไวชะมัด!! ” แคสเซียนโวยวายบ่น แต่ไม่ว่าจะหันซ้ายขวายังไงก็ไม่มีแม้แต่วี่แววของเพื่อนเจได ส่วนหนึ่งเพราะมืดเกินจะมองเห็น และอีกหลายส่วนเพราะความเมามายของเพื่อนร่วมขบวนการ
“ทางนี้เหมือนจะมีรอยเท้าอยู่นะครับ แต่คลื่นมันซัดหายไปแล้ว” มิทากะโอดครวญขณะจับยึดเจสซิก้าที่ใกล้หลับเต็มทีให้ยืนตัวตรง เคย์เดลกดเครื่องมือสื่อสารยิกเพื่อเรียกแผนที่ขึ้นมา แต่ดูเหมือนบริเวณจะเป็นเขตอับสัญญาณ การกระทำนี้จึงช่วยอะไรไม่ได้เท่าไร
“ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าแถวนี้จะมีชายหาดลับซ่อนอยู่นะ” จินน์แตะนิ้วเข้ากับริมฝีปากอย่างครุ่นคิด “แต่ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้องเข้าจากทางไหน”
“ปี้บ ปิ้ว ปิ้ว ปี้บบบบ” ฟังจากโทนเสียง ดูเหมือนบีบีเอ็ทจะกำลังบ่นอะไรบางอย่างอยู่ แต่เพราะนักบินหนุ่มซึ่งเป็นเจ้าของได้ลงไปนอนหมอบบนพื้นทรายเนื่องจากแอลกอฮอล์เพิ่งออกฤทธิ์เสียแล้ว จึงไม่เหลือคนที่สามารถแปลภาษาดรอยด์ได้อีก
ส่วนอาร์มิเทจ....
“หยุดทำเรื่องไร้สาระแล้วกลับไปนอนกันได้แล้ว!!! ”
Chapter 18: Episode 18 The Invitation
Chapter Text
วันเกิดปีที่ยี่สิบแปดของเบนใกล้เข้ามาแล้ว
ในความคิดของเจไดหนุ่มมันก็แค่วันอีกวันที่ผ่านพ้นไปเท่านั้น เพราะแบบนั้นเขาจึงยืนยันหนักแน่นต่อทุกคนรอบตัวว่าไม่ต้องการงานฉลองไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดๆ ทั้งสิ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเซอร์ไพรซ์ เบนเกลียดเรื่องเซอร์ไพรซ์ พาดาวันของเขารู้ดี เพราtแบบนั้นเรย์จึงทำอย่างมากแค่หาของขวัญมาให้ อวยพรสั้นๆ และจุมพิตที่แก้มของเขาเท่านั้น อาร์มิเทจเองก็รู้เหมือนกัน แต่ข้อแตกต่างคือหมอนั่นยิ่งกว่ายินดีที่จะใช้จุดนี้มาเล่นงานเขา
ซึ่งในปีนี้มันมาในรูปแบบของบัตรเชิญใบหนึ่ง
กระดาษอิเล็คทรอนิกซ์ขนาดประมาณฝ่ามือซึ่งมีข้อความสีทองวูบไหวไปมา อาร์มิเทจวางมันลงตรงหน้าเขาหลังจากการประชุมจบสิ้นและสมาชิกระดับสูงของเฟิร์สออเดอร์เกือบทั้งหมดเดินจากไปแล้ว เบนขมวดคิ้ว ก่อนจะกลายเป็นความเกรี้ยวกราด เจไดหนุ่มไม่รอช้าที่จะปามันทิ้งทันทีที่เห็นสัญลักษณ์รูปสตาร์เบิร์ดส่องประกายขึ้นมา
สัญลักษณ์ของกลุ่มต่อต้านเมื่อครั้งอดีตที่ได้กลายมาเป็นเครื่องหมายประจำตัววุฒิสมาชิกสภาท่านหนึ่ง
แต่ฟาสม่าเหมือนจะรู้ทันพฤติกรรมของเขา จึงคว้าจับบัตรเชิญไว้ได้ทันก่อนจะกระทบกำแพงพอดี
“ไม่!!” เบนคำราม โพซึ่งยังไม่ได้ออกจากห้องประชุมหันมาด้วยความสนใจทันที ทว่าเบนไม่สน เขาจ้องตอบดวงตาสีฟ้าของอาร์มิเทจอย่างไม่ลดละพลางย้ำทีละคำด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน “ฉัน-ไม่-ไป”
“นายต้องไป” ชายหนุ่มซึ่งเพิ่งได้ยศนายพลมาหมาดๆ เอ่ยโต้ “มันเขียนว่าเชิญเบนจามิน ออร์กาน่า โซโลและเหล่าเฟิร์สออเดอร์ ซึ่งแปลว่าถ้านายไม่ไปพวกเราก็เข้างานไม่ได้”
“งานอะไรเหรอ?” โพเดินเข้ามารวมวงด้วยอย่างถือวิสาสะและคุ้นชิน หลายปีที่ได้ทำงานให้กับเฟิร์สออเดอร์ส่งผลให้นักบินหนุ่มคุ้นเคยกับการวางมวยระหว่างสองคู่หูเป็นอย่างดีจนกลายเป็นอีกคนหนึ่งนอกจากเรย์และฟาสม่าที่สามารถแทรกเข้ามาห้ามทัพได้
ทว่าคนตอบไม่ใช่ทั้งเจไดและนายพลหนุ่มที่กำลังแฮฮึ่มใส่กันอยู่ แต่เป็นนายกองสาวในชุดเกราะสีเงินวาววับที่กดไปยังหน้าจอเพื่อให้มันเลื่อนแสดงข้อความ
“งานเลี้ยงฉลองครอบรอบพันปีราชวงศ์ออการ์น่าแห่งดาวอัลเดอราน” ฟาสม่าสรุป
“งานหรูเลยนี่น่า” โพให้ความเห็น “มีแต่คนใหญ่คนโตทั้งนั้น แล้วมันไม่ดีตรงไหนละ”
“เพราะวันที่มันตรงกับวันเกิดฉันพอดีน่ะสิ” เบนตอบ ยังไม่ละสายตาไปจากอาร์มิเทจ ทั้งคู่เหมือนกำลังทำสงครามประสาทใส่กันอยู่ “และเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าฉันเดินเข้าไป”
“อ่อ...ออร์กาน่า” โพเอ่ยทวนคล้ายเพิ่งระลึกขึ้นได้ถึงชื่อกลางของเจไดหนุ่ม อีกตำแหน่งนอกเหนือไปจากความป็นอัศวินแห่งสมดุลย์ซึ่งเบนเกิดมาพร้อมกับมัน ยศฐาที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจละทิ้งหรือสลัดให้พ้นได้
เจ้าชายรัชทายาทแห่งอัลเดอราน เลือดขัตติยะแห่งนาบู ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของเหล่าวีรชน เบนมีหลายยศตำแหน่งให้เลือกถือ ทว่าเขากลับไม่ชอบเลยสักอย่าง เขาอยากเป็นแค่เขาเท่านั้น และการเป็นเจไดคือสิ่งที่เบนรู้สึกว่าใกล้เคียงกับตัวตนของเขามากที่สุดแล้ว
เพราะแบบนั้นเบนถึงไม่เคยบอกใครสักคนว่าแม่เขาคือวุฒิสมาชิกเลอา ออร์กาน่าแห่งสาธารณรัฐกาแลคติกใหม่ รวมทั้งไม่คิดจะเอ่ยปากด้วยว่ายอดนักบินและฮีโร่นามฮาน โซโลคือพ่อของเขาเอง
แม้กระทั่งเรย์เองก็ไม่รู้เรื่องพ่อแม่ของเขา เบนปล่อยให้เด็กสาวเข้าใจไปเองว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพ่อแม่เท่าไรนัก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดจากเรื่องจริงเท่าไรเนื่องจากนี่ก็เกือบสิบปีมาแล้วที่เขาไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่
ในบรรดาสมาชิกเฟิร์สออเดอร์ คนที่รู้ดูเหมือนจะมีแค่โพกับอาร์มิเทจเท่านั้น นักบินหนุ่มรู้เพราะเคยทำงานกับฮานมาก่อนและได้ยินชื่อกลางของเขา ส่วนอาร์มิเทจรู้เพราะเลอาเป็นคนแนะนำให้ทั้งคู่เป็นคู่หูกันเอง และถึงแม้ผลงานของนายพลหนุ่มจะโดดเด่นและน่าประทับใจขนาดไหน เบนกลับรู้สึกเหมือนนี่เป็นการเอาคืนทางอ้อมจากแม่ของเขาในข้อหาไม่เคยคิดจะตอบข้อความเลยมากกว่าเพราะว่า...
“อย่ามาทำตัวดราม่าน่าโซโล” อาร์มิเทจจิดกัดอีกครั้งอย่างที่ทำมาตลอดหลายปีตั้งแต่เจอหน้ากัน “จักรวาลไม่ได้หมุนรอบตัวนายสักหน่อย เจไดทุกคนได้รับเชิญกันทั้งนั้น คงไม่มีใครสังเกตด้วยซ้ำถ้านายจะทำหน้าบูดบึ้งกระดกเครื่องดื่มอยู่มุมห้อง ฉันยอมให้นายใส่ชุดคลุมเหยๆ ของพวกเจไดไปก็ได้เอ้า แต่กดปุ่มตกลงยอมไปมันจะอะไรสักหนา”
เบนหรี่ตา จ้องมองคู่หูอย่างจับผิด
“นี่ไม่ได้เกี่ยวกับฉันสินะ นายแค่อยากไปทำความรู้จักหาเส้นสายเพิ่มจากบรรดาตาแก่ในสภาเท่านั้น”
อาร์มิเทจชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนเขาจะเผยความตั้งใจของตัวเองออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว ทว่าในตอนที่ทั้งโพและฟาสม่าเกือบจะสั่งให้ดรอยด์เอาป็อปคอร์นมาเสิร์ฟเพื่อชมมวยยกถัดไปประตูห้องประชุมก็เปิดออกเสียก่อน
“เบน!!” โดยฝีมือของพาดาวันเรย์ “เรานัดกันไว้เมื่อสิบห้านาทีที่แล้วไม่ใช่เหรอ ฉันยังประกอบไลท์เซเบอร์เองไม่ได้หรอกนะ”
ตลอดสามปีให้หลังนี้ เด็กสาวตัวยืดขึ้นอีกราวนิ้วครึ่งได้ ตอนนี้เธอสูงประมาณคางของคนเป็นมาสเตอร์ได้แล้ว โหนกแก้มและแนวกรามชัดเจนทว่าไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมดูกระด้างเลยแม้แต่น้อย คงเพราะดวงตาสีฮาเซลคู่โตที่ทอประกายสดใดและรอยยิ้มกว้างที่แต่งแต้มใบหน้าแทบจะตลอดเวลา
หลายต่อหลายคนสังเกตเห็นความงดงามนี้ แต่อย่าได้หวังเลยว่าจะได้เข้าใกล้หรือทำความรู้จักหากเจไดหนุ่มหน้าบูดบึ้งที่เรย์กำลังเดินตรงเข้าไปหายังมีชีวิตอยู่
และอาร์มิเทจมองเห็นโอกาสที่จะกอบกู้สถานการณ์พอดี
นายพลหนุ่มคว้าบัตรเชิญอิเล็คโทรนิคส์มาจากมือฟาสม่าแล้วโยนไปทางเรย์ ด้วยปฏิกริยาตอบสนองที่ว่องไว เด็กสาวจึงสามารถคว้าจับไว้ได้ทัน เบนร้องห้ามแต่สายไปเสียแล้ว
“นี่อะไรน่ะ?”
“พาดาวันเรย์เธอเคยได้ยินคำว่างานกาล่ามาก่อนมั้ย?” อาร์มิเทจปราดเข้าไปชิดเด็กสาว สองมือวางอยู่บนไหล่บอบบาง ร่างสูงกว่าโน้มตัวลงไปกระซิบถามทว่าดวงตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มเหยียดแสยะกลับส่งมาให้เจไดหนุ่มที่อีกฟากของห้องโดยตรง
“คืออะไรเหรอ?” เรย์ถาม จ้องมองข้อความสีทองที่ส่องประกายอย่างสนอกสนใจ
และก่อนที่เบนจะทันได้บอกว่ามันคืองานน่าเบื่อที่ต้องแต่งชุดเต็มยศน่าอึดอัดและมีแต่คนที่น่าเบื่อไม่แพ้กันเดินไปเดินมาเต็มไปหมด อาร์มิเทจก็ชิงเสนอหน้าบิดเบือนความเข้าใจของพาดาวันของเขาให้เสียก่อนอีกครั้ง
“ลองนึกตามนะ ห้องบอลรูมกว้างใหญ่สีทองเป็นประกาย หน้าต่างสูงจรดเพดานที่มองออกไปเห็นภาพหมู่ดาวและกาแล็คซี่อันเวิ้งว้าง”
“เหมือนห้องเก็บของข้างห้องประชุมหลักเลย” เรย์ร้องบอกอย่างตื่นเต้น และอาร์มิเทจรู้ทันทีว่าเขามาถูกทางแล้ว
“ดีกว่าอีก ทันทีที่เธอได้เห็นท้องพระโรงของพระราชวังวังอัลเดอราน เจ้าหน้าต่างแคบๆ พวกนั้นจะเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย ทั้งแสงไฟทั้งดนตรี แถมในงานจะเต็มไปด้วยอาหารมากมายที่เรียงรายออกมาจากประตูไม่หยุดหย่อน อาหารเริศรสสมกับตำรับชาววังที่ชีวิตนี้ทั้งชีวิตอาจจะไม่มีทางได้ลิ้มรสอีกเป็นครั้งที่สอง”
จากสีหน้าและท่าทางแล้ว เห็นได้ชัดว่าเรย์กำลังตกบ่วงของอาร์มิเทจเข้าเต็มๆ
แต่ติดปัญหาเล็กๆ อยู่อย่างเดียวเท่านั้น
“ทำไมกดตกลงไม่ได้ละ?” เด็กสาวถามหลังจิ้มลงไปบัตรเชิญอิเล็คทรอนิคส์ซ้ำๆ แล้วก็ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ซึ่งคำถามนี้ยิ่งเข้าทางอาร์มิเทจเข้าไปใหญ่
“เพราะมันจ่าหน้าถึงมาสเตอร์ของเธอน่ะสิ เลยมีแต่เขาที่ทำได้”
พอกันที เบนหมดความอดทนแล้ว เขาเดินตรงเข้าไปกระชากคอเสื้ออาร์มิเทจออกมาให้ห่างจากเรย์ ภาษากายไม่ได้ก้าวร้าวจนถึงขั้นจะใช้กำลังต่อกันเหมือนในหลายๆ ครั้ง แต่ให้ดูอย่างไรก็ไม่เป็นมิตร เพราะต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางคิดเกินเลยกับเรย์ไปกว่าเบี้ยหมากเพื่อใช้กวนประสาทเขา เบนก็ไม่ชอบการที่อาร์มิเทจแตะต้องพาดาวันของเขาอยู่ดี
“เราคงต้องคุยกันถึงเรื่องมารยาททางสังคมให้มากกว่านี้แล้วแหละ ว่าบัตรเชิญที่จ่าหน้าถึงฉันมันไปอยู่ในมือนายได้ยังไง” เบนกระซิบลอดไรฟัน อาร์มิเทจทำเพียงแสยะยิ้มกลับ
“ถ้าไม่ทำแบบนั้นมันก็กลายเป็นชิ้นส่วนอยู่ข้างกำแพงห้องนายกันพอดี”
“เบน” เรย์กระตุกชายเสื้อคลุมของคนเป็นมาสเตอร์ ห้ามทัพได้อย่างทันการและง่ายดายอีกครั้ง “เราไปได้มั้ย ฉันยังไม่เคยไปงานทำนองนี้มาก่อน ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง”
เบนเผลอปล่อยมือจากคอเสื้ออาร์มิเทจทันที เพราะนอกจากจะเกาะชายเสื้อคลุมและช้อนตาขึ้นมองเขาด้วยแววตาออดอ้อนแล้ว เด็กสาวยังตบท้ายด้วยประโยคเด็ดอีก
“เถอะนะ”
เบนห้ามตนเองด้วยการเดินหนีมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องตามมา ฉันยังโกรธเธออยู่”
เบนย้ำแบบนี้มาห้าครั้งแล้วนับตั้งแต่ที่เรย์พยายามอ้อนให้เขายอมกดตกลงไปงานของราศวงศ์อะไรสักอย่างที่ดาวอัลเดอรานซึ่งเธอฟังชื่อไม่ถนัด เขาสาวเท้าออกจากห้องประชุมอย่างเร็วรี่เพื่อมุ่งตรงกลับห้องพักของตนเอง เด็กสาวตามไปอย่างไม่เร่งร้อน ทิ้งระยะห่าง ทว่าแผ่นหลังกว้างของคนเป็นมาสเตอร์ยังคงอยู่ในสายตาเสมอ
“ฉันไม่ได้จะจับมือเบนเพื่อบังคับให้กดสักหน่อย ฉันแค่ข้อร้องดีๆ เองนะ”
“เธอก็รู้ว่ามันส่งผลยังไงต่อฉันบ้าง” เขากล่าว พยายามทำน้ำเสียงให้ฉุนเฉียวซึ่งเรย์พบว่ามันดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด แน่นอนว่าเบนกำลังหงุดหงิดทว่าไม่ได้โกรธเธอขนาดนั้น เรย์เร่งฝีเท้าตามให้ทันเมื่อเขากดแผงวงจรแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องพัก
เรย์กดรหัสหกหลักที่เธอรู้ดีว่าเป็นวันเกิดของเธอ เหมือนที่รหัสของพักเธอเป็นวันเกิดของเขา
แต่เพียงก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เรย์ก็ถูกฉุดเข้าไปในอ้อมกอดของคนเป็นมาสเตอร์ทันที เขาฝั่งใบหน้าลงกับซอกคอของเธอ ปลายจมูกไล้ไปตามพวงแก้มในขณะที่ริมฝีปากกระซิบชิดใบหู
“ฉันน่าจะทำโทษเธอซะ ข้อหาเข้าข้างฮักซ์มากกว่าฉัน”
เรย์หันใบหน้าไปทางเสียงทุ้มนุ่มพร้อมรอยยิ้มที่สื่อชัดว่าไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับการข่มขู่นี้เลยสักนิด ถ้าจะมีอะไรที่เธอรู้สึกก็คงเป็นความตื่นเต้น
“แล้วรออะไรอยู่ละ” เรย์กระซิบ ท้าทายจนเกือบคล้ายการยุยงในขณะที่เลื่อนแขนไปคล้องรอบคอมาสเตอร์ของเธอ เบนโน้มตัวลงมาช่วงชิงจูบไปจากเรย์อย่างรวดเร็ว ปลายลิ้นหยอกล้อและกวาดต้อน ร่างกายเบียดเข้าหา เบนลูบมืออีกข้างลงไปตามโค้งหลังของเธอ หยุดก่อนจะถึงบั้นท้ายเพียงนิดเดียวแล้ววกกลับมากำเสื้อแน่น
เบนเป็นเช่นนี้เสมอ เขาจะจูบเธอด้วยความอ่อนหวานและนุ่มนวล โอบประคองอย่างทนุถนอม รอยยิ้มที่มอบให้ทั้งก่อนและหลังรสสัมผัสเหล่านั้นไม่เคยที่จะแปรเปลี่ยน แต่ก็ไม่มีทางมากไปกว่านั้น
เรย์อายุสิบแปดแล้ว เธอรู้ดีกว่าจูบสามารถนำไปสู่อะไรๆ ได้บ้าง และปฏิกริยาจากร่างกายของเบนก็ยิ่งกว่าแปะป้ายประกาศบอกว่าเขาต้องการ ‘อะไรๆ ’ ที่ว่าขนาดนั้น ทว่ามันกลับไม่เคยจะเกิดขึ้น ก่อนจะก้าวข้ามเส้นแบ่งกั้น มาสเตอร์ของเธอก็สามารถหยุดตนเองได้ทุกครั้ง และเรย์บอกไม่ถูกว่าจะชื่นชมหรือหงุดหงิดเขาดี
เด็กสาวเคยคิดว่าเพราะเธอยังเด็กเกินไปเบนจึงไม่สามารถครอบครองเธอในแง่นั้นได้ ทว่าบัดนี้เธอไม่แน่ใจอีกแล้วว่าจะยังปลอบตนเองด้วยเหตุผลนั้นอยู่ได้หรือไม่ เพราะอย่างที่รู้กันเธออายุสิบแปดแล้ว
ความหงุดหงิดทำให้เรย์เผลอขบกัดริมฝีปากของเบน เสียงครางของเขาฟังเกือบเหมือนเสียงคำราม สั่นสะเทือนมาถึงร่างกายของเธอ ซึ่งชายหนุ่มโต้ตอบการกระทำนั้นด้วยรสสัมผัสที่เร่าร้อนรุนแรงขึ้นจากปกติ เรย์ถึงกับหอบสะท้านตอนที่เบนเลื่อนจูบไปยังซอกคอแทน
“ดูเหมือนเธอยังต้องฝึกอีกเยอะนะพาดาวันของฉัน” เบนกระซิบเย้ย
“แต่ก็ทำให้มาสเตอร์หายหงุดหงิดได้ไม่ใช่เหรอคะ” เรย์หัวเราะตอบเริ่มปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติได้แล้ว ฝ่ามือเล็กเลื่อนลงมา ลูบไปตามแผงอกและหน้าท้องของเขาเป็นการเอาคืนทิ้งท้าย สร้างเสียงครางก้องในลำคอหนา แต่ก่อนที่เบนจะทันได้คว้าเธอไปจูบอีกรอบ เรย์ก็รีบถอยออกมาเพื่อเว้นระยะ
เด็กสาวหันหลัง เดินไปวางบัตรเชิญอิเล็คทรอนิคส์ลงบนโต๊ะให้เพราะรู้ดีว่าเบนต้องไม่สนใจหยิบมันมาแน่ๆ สัญลักษณ์สตาร์เบิร์ดเปล่งประกายวาบทำเอาเจไดหนุ่มนิ่วหน้า และนี่มันน่าแปลกเกินไปแล้ว
“ฉันรู้ว่าเบนไม่ชอบงานเลี้ยง แต่ทำไมต้องเกลียดดาวอัลเดอรานขนาดนั้นด้วย” เรย์ตัดสินใจถามไปตามตรง เธอกอดอก เอนสะโพกพิงขอบโต๊ะ
“ฉันไม่ได้...” เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างก่อนจะนิ่งไปแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่แทน “เพราะว่าพ่อกับแม่ฉันจะไปงานนี้ด้วยน่ะสิ”
คำสารภาพของเบนทำให้อะไรเข้าเค้าขึ้นเยอะ
“และ...ให้ตายเถอะเรย์ พวกเราไม่คุยกันมาเกือบสิบปีแล้ว เธอก็รู้ว่าฉันเป็นไงเวลามีคนพูดเรื่องพวกเขาให้ได้ยิน นั่นขนาดแค่พูดถึงนะ ถ้าเจอหน้ากันตรงๆ ฉันคงได้ถล่มปราสาทลงมาทั้งหลังแน่และเธอก็รู้ด้วยว่าฉันทำได้ ถ้าเธออยากลองไปงานเลี้ยงหรูๆ พวกนี้จริงๆ ฉันจะให้ฮักซ์ตอบรับคำเชิญที่คนอื่นๆ ส่งมาให้ เธออยากไปอีกสักกี่สิบงานก็ได้ ที่ไหนก็ได้ในกาแล็คซี่ ขอแค่...ไม่เอาอัลเดอราน”
เรย์คลายมือที่กอดไขว้กันอยู่ออก เดินกลับไปหาเบนโดยไม่ลืมที่คว้าบัตรเชิญมาด้วย เด็กสาวหยุดเท้าลงตรงหน้าร่างสูง นิ่งรอเวลาเพื่อให้เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอ เรย์เห็นประกายสับสนและไม่มั่นคงในดวงตาสีน้ำตาลล้ำลึกคู่นั้น เพราะแบบนั้นเธอจึงพูดออกไปว่า
“แบบนั้นเรายิ่งต้องไปเลยนะเบน”
“ฉันเกลียดพวกเขา” เบนสารภาพ น้ำเสียงสั่นเล็กๆ อย่างห้ามไม่ได้ “พวกเขาไม่เคยใยดีฉันเลยสักนิด มัวแต่ยุ่งกับงานและความรุ่งโรจน์ของตัวเอง พอฉันทำแบบเดียวกันบ้างก็มาหาว่าฉันผลักไสพวกเขา นั่นมันโคตรจะไม่ยุติธรรม”
เรย์หยิบบัตรเชิญขึ้นมา ปลายนิ้วตวัดผ่าน ภาพสตาร์เบิร์ดเลือนหายกลายเป็นตัวหนังสือสีทองแทน
“ถ้างั้นก็บอกกับพวกเขาตรงๆ บอกต่อหน้าเหมือนที่เราพูดกันอยู่ในตอนนี้ อย่าวิ่งหนีอีกเลยนะ”
เจไดหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ตรึกตรองกันตนเองอยู่อีกครู่ก่อนจะประทับนิ้วโป้งลงไป มุมปากบิดเป็นรอยยิ้มหยันๆ ในขณะที่เขากล่าวอย่างประชดประชัน
“คอยห้ามเวลาฉันจะใช้พลังด้วยแล้วกัน เพราะเฟิร์สออเดอร์ไม่มีงบพอจะจ่ายคืนค่าซ่อมวังแน่ๆ”
เรย์ให้รางวัลความกล้าหาญนี้ด้วยการเขย่งเท้าขึ้นไปหอมแก้มคนเป็นมาสเตอร์เร็วๆ หนึ่งที สัญญาทางออมว่าไม่ว่ายังไงเธอจะเคียงข้างเขาเสมอ
อาร์มิเทจจำสัญญาของตนเองได้ดีแต่ไม่ถึงว่าคู่หูจะยึดถือมันจริงจังขนาดนี้
“ถามจริง” คนผมแดงเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นว่าทั้งเบนและเรย์ปรากฏตัวขึ้นที่ท่าจอดยานในชุดเครื่องแบบเจได ขาวเทาและน้ำตาล เฉดสีอันอึมครึมไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ในขณะที่สมาชิกคนอื่นของเฟิร์สออเดอร์ที่ได้รับเชิญต่างแต่งตัวกันเต็มยศ
ไล่ตั้งแต่ผู้การดาเมรอนในชุดสั่งตัดจากผ้ากำมะหยี่สีดำเนื้อดี เสื้อท่อนบนยาวถึงหัวเข่า ผ่ากลางและไม่มีกระดุม เพียงห่มทับแบบซ้ายทับขวาเหมือนวิธีแต่งตัวของเจไดแล้วคาดทับด้วยเข็มขัดหนังสีดำเส้นหนาซึ่งมีชายพู่ห้อยลงมาเพื่อไม่ให้ดูเรียบเกินไปนัก ฟินน์แต่งตัวค่อนข้างธรรมดากว่ามาก เสื้อผ้าหาได้ทั่วไปแต่ก็ปราณีตเหมาะสม เสื้อสูทสีน้ำเงินกำมะหยี่ตกแต่งด้วยกระดุมสีทองสองแถว กางเกงสีครีมกับรองเท้าหัวแหลมหนังแก้ว
ฟาสม่าเองก็ยอมถอดเกราะเก็บปืน สวมกระโปรงสีน้ำเงินยาวกร่อมเท้าแขนกุด ช่วงอกตกแต่งด้วยขนสัตว์สีน้ำเงินเข้ม ทว่ายังคงไม่ละทิ้งเอกลักษณ์โดยเลือกรองเท้าสีเงินเมทัลลิกวาววับ ผมสีแพลตตินัมบลอนด์ปัดเรียบไปด้านหนึ่งและแต่งหน้านู้ดโทน
แม้กระทั่งตัวอาร์มิเทจเองยังยอมทิ้งเครื่องแบบนายพลที่ภาคภูมิใจนักหนาแล้วหันมาสวมชุดที่เหมาะกับงาน เขาเลือกเสื้อตัวในสีขาวคอสูงปกตั้งเกือบถึงแนวกราม กางเกงสีดำที่ทรงพอดีตัว เสื้อตัวนอกสีถ่านที่เนื้อผ้าด้านในเป็นสีแดงก่ำ ยาวเลยหน้าแข็งทว่าผ่าหน้าขึ้นมาถึงเอวเพื่อให้เดินสะดวก อกขวาปักตราเฟิร์สออเดอร์ เช่นเดียวกับกระดุมข้อมือโลหะที่สั่งทำขึ้นมาเป็นตราเฟิร์สออเดอร์โดยเฉพาะ
และให้ตายเถอะ ขนาดบีบีเอ็ทยังติดหูกระต่ายเลย แต่เจ้าคนที่ได้รับเชิญโดยตรงกลับสวมเสื้อคลุมเขรอะเก่าหน้าตาเฉย นายพลหนุ่มรู้ดีว่าหลุดปากไปเองว่าอีกฝ่ายจะแต่งตัวยังไงก็ได้ขอแค่ยอมมาก็พอ แต่ที่นึกไม่ถึงคือจะใจแคบ ไม่ยอมให้แม้กระทั่งดอกไม้แรกแย้มอย่างพาดาวันสาวใส่ชุดสวยๆ ด้วยนี่สิ
“ว้าว ทุกคนดูดีกันจัง” เรย์เอ่ยชม ตื่นเต้นและร่าเริงเหมือนเคย ไม่ได้มีท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใดที่ไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนใครอื่นเขา
อาร์มิเทจอาศัยจังหวะที่เด็กสาวเดินขึ้นยานไปพร้อมกับเพื่อนๆ และผู้กองของเขาในการปราดเข้าไปชิดเบนและกระซิบบ่นลอดไรฟัน
“ฉันรู้นะว่านายคิดอะไรอยู่โซโล นายหวงไม่อยากให้ใครมองพาดาวันของนายเรื่องนั้นฉันเข้าใจ แต่ก็ช่วยนึกถึงความเหมาะสมมากกว่านี้หน่อยจะได้มั้ย เราจะไปพระราชวังกันนะโว้ย วัง-หลวง-แห่ง-อัล-เดอ-ราน แต่งตัวตามสบายเสียขนาดนี้เดี๋ยวก็ได้ถูกโยนออกมากันพอดี”
เบนกระตุกยิ้ม “เป็นแบบนั้นก็ดีสิ แต่ไม่หรอกใครจะกล้าโยนฉันออกมา”
อือหือ โคตรจะมั่นแต่ก็โคตรจะพูดถูก เพราะแค่เจไดหนุ่มโผล่หน้าไป แค่นั้นเจ้าหญิงเลอาก็คงดีใจมากพอที่จะเมินเฉยต่อความไม่เหมาะสมในทุกแง่ตั้งแต่คำพูดยันการแต่งตัวได้แล้ว แต่ยังไงเสียอาร์มิเทจก็เกลียดเวลาที่เถียงแพ้เบนอยู่ดีเพราะแบบนั้นเขาจึงเลือกจะโต้กลับในหัวข้อที่ไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ต้องแพ้แน่ๆ
“นายอธิบายให้เรย์ฟังไปหรือยังว่าทำไมชื่อกลางของนายกับชื่อราชวงศ์ออร์กาน่าถึงได้เหมือนกัน”
อาการนิ่งค้างของคู่หูแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี
“ตาขาว” อาร์มิเทจด่าอย่างไม่ไหวหน้า ตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าจะเหยียดแสยะยิ้มให้หรือว่าถอนหายใจพรืดดี
“กำลังจะบอกอยู่” เบนแก้ตัวและแน่นอนว่ามันช่างฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
“เมื่อไหร่ดีละ” นายพลหนุ่มยอกย้อน “ตอนที่นายกดตกลงยอมไปงานเมื่อสามวันก่อน หรือเมื่อห้านาทีที่แล้วตอนกำลังเดินมา ระหว่างนั่งยานไปอัลเดอราน ก่อนจะเดินเข้าวังหรือจะรอให้งานจบไปแล้วดี”
“การที่นายพูดประชดแบบนี้มันไม่ช่วยอะไรเลยรู้ใช่ไหม”
“การที่นายมัวแต่อมพะนำไม่บอกอะไรเรย์ก็ไม่ช่วยอะไรเหมือนกันน่ะแหละ และถามจริงเถอะนะมันจะอะไรนักหนากับแค่เดินเข้าไปแล้วพูดว่า ‘เฮ้...รู้มั้ยแม่ฉันเป็นเจ้าหญิงแหละและนั้นทำให้ฉันเป็นเจ้าชาย โทษทีที่ไม่เคยบอกมาก่อนหวังว่าเธอจะไม่โกรธ’”
สิ้นประโยคเจไดหนุ่มก็หยุดเท้า หันมองมาทางเขาด้วยสายตาเฉือดเฉือน
“ภารกิจหน้าฉันจะใช้ไลท์เซเบอร์แทงนายแล้วบอกทุกคนว่า ‘เฮ้...รู้อะไรมั้ยฉันว่าฮักซ์โดนลูกหลงแหละ น่าเสียดายจริงๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ’ ฉันใจดีบอกล่วงหน้าเพื่อที่นายจะได้หาเจ้าของใหม่ให้มิลลิเซ็นต์ได้ทันหรอกนะรู้ไว้ซะด้วย”
แล้วร่างที่สูงกว่าเพียงสองนิ้วก็เดินกระทืบเท้าขึ้นยานไปทันที
คิดว่าตัวเองเถียงชนะแล้วใช่มั้ยโซโล หึ รอดูสิ่งที่เขาเตรียมไว้ให้ที่อัลเดอรานเสียก่อนเถอะ รับรองได้กระอักเลือดสำนึกผิดแทบไม่ทันแน่ที่บังอาจมาล่วงเกินคุณมิลลิเซ็นต์!!
Chapter 19: Episode 19 The Prince of Alderaan.
Chapter Text
เรย์เพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองแต่งตัวประหลาดแค่ไหนก็ตอนที่เดินมาถึงทางเข้างานแล้ว
ดวงตาสีฮาเซลนัทกวาดมองไปรอบๆ และทั้งหมดที่เธอเห็นคือเหล่าสุภาพบุรุษในชุดสูทเรียบเนี้ยบและสุภาพสตรีในเดรสตัวยาว ประดับประดาด้วยอัญมณีและเครื่องเพชร แต่งหน้าทำผมอย่างปราณีต ไม่ใช่ชุดผ้าฝ้ายสีน้ำตาลมอซอและมัดผมยุ่งๆ แบบขอไปทีเช่นที่เธอเป็นอยู่
แขกหลายคนมีชื่อเสียงโด่งดังมากเสียจนแม้แต่เรย์ก็รู้จัก ทุกอย่างดูสง่างามและสูงส่งไม่ต่างจากวังหลวงแห่งอัลเดอราน
แม้ว่ามาสเตอร์ของเธอจะปลอบใจด้วยการบอกว่านี่คือชุดศักดิ์สิทธิ์ เป็นทางการและเก่าแก่ยิ่งกว่าวัฒนธรรมแห่งอัลเดอรานเสียอีก ทว่าเรย์ก็ยังไม่มั่นใจในตนเองอยู่ดี พร้อมกันนั้นเธอก็รู้สึกอิจฉาเล็กๆ อีกด้วย อย่างที่บอก เรย์อายุสิบแปดแล้ว ต่อให้เป็นคนบุคลิกโผงผางขนาดไหน แต่ลึกๆ แล้วเธอก็อยากลองแต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าทำผมเหมือนเด็กสาวทั่วไปบ้างเหมือนกัน
“นายว่าฟาสม่าจะมีชุดสำรองให้ฉันยืมใส่มั้ย” เรย์เอนไปกระซิบคุยกับฟินน์แก้เก้อ ทว่าการอยู่ใกล้เพื่อนซี้ของเธอและโพซึ่งแต่งตัวหล่อเหลาเป็นพิเศษมีแต่จะทำให้เด็กสาวรู้สึกแปลกแยกเข้าไปใหญ่
“ถึงมีเธอก็ใส่ของฟาสม่าไม่ได้อยู่ดี” ฟินน์ตอบ สายตาเลื่อนลงมาที่อกและสะโพก ไม่ได้จาบจ้วงแต่เหมือนกำลังประเมินอยู่มากกว่า คำตอบที่ตามมาทำให้เรย์รู้ทันทีว่าทำไม “ต้องยัดฟองน้ำเข้าไปอีกเยอะ”
เด็กสาวฟาดฝ่ามือใส่ไหล่เพื่อนสตอร์มทรูปเปอร์ดังเพี้ยะอย่างไม่มีการออมแรง ด้านหลังของเธอ เบนและอาร์มิเทจก็กำลังเถียงอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน พวกเขาผลักไหล่กันไปมาในขณะที่คนผมแดงถลึงตาใส่มาสเตอร์ของเธอ
“เรย์” ในที่สุดเสียงทุ้มนุ่มก็เรียก “คือว่าฉันมีบางอย่างที่ต้องบอกเธอ”
“อะไรเหรอ?” เรย์เอี้ยวตัวกลับไปหาเบน
เจไดหนุ่มเม้มริมฝีปาก ท่าทางลังเลและหนักใจ
“เรื่องเกี่ยวกับงานเลี้ยงนี้ คือที่จริงแล้วฉัน…”
ทว่าพอเดินมาถึงทางเข้าซึ่งเป็นประตูหินโค้งขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยมวลหมู่ดอกไม้สีขาวและน้ำเงิน เบนก็ชะงักไปอีกรอบ ที่ตรงนั้นมีหุ่นสีทองอร่ามตัวหนึ่งยืนอยู่ แขนขวาสีแดงแปร้ดอันเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดดูไม่ได้เข้ากับชิ้นส่วนแบบแฮนด์เมครุ่นเก่าชิ้นอื่นในร่างกายมันลยแม้แต่น้อย
“ท่านนายพลอัคบาร์และภริยาจากดาวมอนคาลามารี่” หุ่นสีทองประกาศเสียงดังในขณะที่นายทหารยศสูงซึ่งมีรูปร่างเหมือนปลาเดินเข้าไปในงาน และเมื่อมันหันมาเห็นเจไดหนุ่ม…
“นายน้อยเบน!!” มันเรียกน้ำเสียงร่าเริงยินดีพวงแถมมาด้วยท่าทีกระโตกกระตาก
เบนสบถเบาๆ ประมาณว่าซวยแล้วก่อนจะแตะนิ้วชี้เข้ากับริมฝีปาก พยายามทำไม้ทำมือบอกให้มันเบาเสียงลงหน่อยแต่ไม่ได้ผล เขาสู้ความพูดมากของหุ่นนักการทูตตัวนี้ไม่ได้
“เป็นข่าวดีเสียนี่กระไร เจ้าหญิงและนายน้อยลุคจะต้องดีใจมากแน่ๆ ที่ได้รู้ว่าคุณยอมมางานนี้ด้วย ขอกระผมประกาศชื่อนายน้อยก่อนนะขอรับแล้วเดี๋ยวจะพาเดินเข้าไปในงาน”
“ไม่ๆ ซีทรีพีโอเดี๋ยวก่อน!!”
ทว่าสายไปเสียแล้ว มันหันไปทางท้องพระโรง อุปกรณ์ขยายเสียงทำงานดังลั่น
“เจ้าชายเบนจาร์มิน ออการ์น่า อมิดาล่า สกายวอล์คเกอร์ โซโลเสด็จ!!”
ตอนแรกเรย์คิดว่าเธอหูฟาด นามสกุลยาวเหยียดของเบนอาจจะทำให้เธอสับสนในอะไรบางอย่างและฟังคำนำหน้าชื่อของเขาผิดไป ทว่าตอนที่มองเข้าไปในท้องพระโรงและเห็นว่าทุกคนกำลังโค้งคำนับให้ เรย์ก็รู้ได้ในทันทีว่าเธอได้ยินถูกแล้ว มาสเตอร์ของเธอ คนที่เธออยู่ด้วยมาตลอดเก้าปีเป็นเจ้าชายจริงๆ
และเขาไม่เคยคิดจะบอกเธอเลยสักคำ
หุ่นสีทองที่ชื่อซีทรีพีโอยังประกาศชื่อของอาร์มิเทจและโพพร้อมยศตำแหน่งตามมาให้ติดๆ ฟาสม่าและฟินน์เป็นเพียงผู้ติดตามจึงไม่ได้รับการขานชื่อเช่นเดียวกับเรย์ที่ยังเป็นเพียงพาดาวันอยู่ ดูเหมือนว่าบีบีเอ็ทจะโวยวายอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมนี้และลงเอยด้วยการทะเลาะกับบซีทรีพีโอทว่าเด็กสาวไม่ได้สนใจจะฟังเท่าไร เธอไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกยังไงกับทั้งหมดนี่ดี
ถูกหักหลังก็ไม่ใช่ จะว่าผิดหวังก็ไม่ได้ใกล้เคียงสักนิด มันแค่...แปลก เรย์เคยคิดว่ารู้เรื่องเบนดีกว่าใครทั้งหมดแต่กลายเป็นว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้รู้อะไรเลย
เรย์สาวเท้ายาวๆ ลงไปตามขั้นบันไดปูพรมสีแดงก่ำซึ่งทอดลงสู่ท้องพระโรง มันกว้างขว้างยิ่งกว่าห้องประชุมใดๆ บนยานเฟิร์สออเดอร์ พื้นเป็นกระเบื้องหินอ่อนเงาวับจนแทบจะสะท้อนภาพได้ กำแพงด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างบานสูงจรดเพดาน แม้จะไม่ได้เป็นภาพของมวลหมู่กาแล็คซี่เหมือนที่อาร์มิเทจกล่าวอ้าง แต่แสงไฟและสวนกุหลาบด้านนอกก็เป็นทัศนียภาพที่งดงามมากไม่แพ้กัน ทว่าเรย์ไม่มีแก่ใจจะชื่นชมความงามนี้
“เรย์ฟังฉันก่อน” เบนเรียกในขณะที่เดินตามมาติดๆ ทว่าเด็กสาวไม่ชะลอฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย เธอแทรกตัวผ่านเหล่าสุภาพสตรีในชุดตัวยาวรุ่มร่าม เอ่ยขอโทษเบาๆ ตอนที่เผลอเหยียบชายกระโปรงพวกเธอ เรย์เปิดประตูห้องๆ หนึ่งเข้าไป พูดตามตรงเธอไม่รู้หรอกว่ามีอะไรรออยู่ เธอแค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียวสักครู่เพื่อรวบรวมความคิดเท่านั้นทว่าเบนไม่ยินยอม
“ฉันว่ากำลังจะบอกเธออยู่” เขาคว้าต้นแขนเธอไว้เมื่อตามมาทัน “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดเป็นความลับมันก็แค่…ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงดี”
เรย์อ้าปาก กำลังจะโต้แย้งว่าคำแก้ตัวของเขาช่างฟังไม่เข้าท่าขนาดไหนทว่า...
“เบน”
เสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียก เป็นเสียงของสตรีที่ทั้งฟังโหยหาและรักใคร่ในตัวเจ้าของชื่อ ทั้งคู่หันมอง และที่ประตู ณ อีกฝากห้องคือหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่กำลังจับกลอนประตูไว้แน่น ผมสีเทารวบเป็นทรงสูงอย่างปราณีต ชุดสีเทาขาวดีไซน์เรียบง่ายทว่าหรูหรา เครื่องประดับเองก็เรียบง่ายไม่แพ้กัน มีเพียงกำไลข้อมือสีทอง...
...และมงกุฏเท่านั้น
“แม่” เบนเรียก น้ำเสียงตกใจปนยุ่งยาก
และจากยศตำแหน่งของเบนที่เรย์เพิ่งรู้มา มันแปลได้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็น…
“เจ้าหญิงครับๆ ผมมีข่าวดีมากจะมาเรียนให้ทราบ” ซีทรีพีโอพรวดพราดเข้ามาจากด้านหลังของเธอคนนั้นแบบไม่ดูตามาตาเรือ คำเรียกนั้นยืนยันข้อสันนิษฐานของเรย์ แต่ทั้งที่เห็นว่าในห้องนี้มีเธอและเบนยืนอยู่แล้ว มันก็ยังคงไม่หยุดพูดอยู่ดี “โอ้ ดูเหมือนว่าคุณจะได้พบกับนายน้อยเบนแล้ว ผมดีใจจริงๆ ครับมันช่างเป็นช่วงเวลาที่…”
“ทรีพีโอ” เธอปราม “ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ ไปตามลุคมาให้หน่อย”
“ด้วยความยินดีเลยครับ ผมว่าผมเห็นนายน้อยลุคคุยอยู่กับเจ้าอาร์ทูแถวๆ …” ขณะเดินไป เจ้าหุ่นสีทองก็ยังมิวายพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อยไม่หยุดอีกต่างหาก เบนทำท่าจะเดินตามมันไป ให้ถูกต้องกว่านั้นคือเดินหนีแม่ของตัวเองมากกว่าพร้อมกับกระชากตัวเธอไปด้วย ทว่าเรย์ยื้อไว้สุดความสามารถ
เด็กสาวค้นพบว่าใบหน้าซีดๆ ของเขาทำให้อาการกรุ่นโกรธของเธอบรรเทาลงไปได้เยอะเลยทีเดียว จะเรียกว่าเอาคืนทางอ้อมก็ได้ เพราะเธอกำลังบังคับให้เขาเผชิญความกลัวโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“เบนยังติดค้างคำอธิบายฉันอยู่ และติดค้างเรื่องที่จะพูดกับพ่อแม่ด้วย” เธอเตือนความจำเขา ดวงตาเสมองไปทางสุภาพสตรีสูงวัยอีกคนในห้องนี้ “นั่นคือเหตุผลที่เรามาที่นี่ไม่ใช่เหรอ เพื่อพูดคุย”
“นี่ไม่ใช่เวลา…”
“ถ้าไม่พูดตอนนี้แล้วเมื่อไหร่ละ หลังจบงานเหรอ”
“ให้ตายเถอะ เธอชักพูดจาเหมือนฮักซ์เข้าไปทุกทีแล้ว” เบนบ่น เสยผมตนเองอย่างหงุดหงิด ทว่าเรย์ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ยอมปล่อยเขาไปจากที่นี่ง่ายๆ อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะกล้าเผชิญหน้ากับรอยแผลของตนเอง สิ่งนี้ทิ่มแทงเบนมาตลอด ปัญหาที่คาราคาซังระหว่างเขาและพ่อแม่ การที่เขาเก็บงำไม่ยอมบอกเรื่องความเป็นเชื้อพระวงศ์ของตนเองแม้กระทั่งกับเรย์เป็นหลักฐานพิสูจน์อย่างดี
มาสเตอร์ของเธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความดื้อรั้นนี้ก่อนจะยอมหันไปเผชิญหน้าผู้เป็นแม่ในที่สุด
เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้น สองมือกุมกันอยู่เบื้องหน้า รอคอยอย่างอดทนพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่แต่งแต้มใบหน้า เบนขยับเข้าไปใกล้ เรย์จึงปล่อยเขาเป็นอิสระ ท่าทางของเจไดหนุ่มดูประดักประเดอ เขาใช้เวลานานมากกว่าจะเลือกคำทักทายได้
“ทรงผมใหม่เหรอครับ”
เรย์อมยิ้มอย่างอดไม่ได้
“มีงานใหญ่ทั้งทีก็ต้องทำอะไรใหม่ๆ บ้าง” เธอว่าพลางยกมือขึ้นแตะมวยผม “แต่แม่สังเกตว่าลูกยังใส่เสื้อคลุมตัวเดิมอยู่”
“ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรนี่”
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
เธอเปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน อย่างรีบร้อนจนเกือบเหมือนหลุดปาก คล้ายกับว่ารอคอยมาเนิ่นนานแล้วที่จะได้พูดประโยคนี้ เบนไม่ได้ตอบอะไร ทว่าทั้งสีหน้าและแววตาที่โหยหาปนรวดร้าวบอกให้เรย์รู้ว่าลึกลงไปแล้วเขายินดีแค่ไหนที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากปากของผู้เป็นแม่
เบนกะไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นความคิดที่แย่มากๆ
กลับอัลเดอรานเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสิบปี มารวมงานเลี้ยงซึ่งเขาพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ซ้ำยังเป็นในวันเกิดของเขาเองอีก วันที่เขาเกลียดแสนเกลียดและไม่เคยให้อะไรมากไปกว่าปัญหาและเรื่องยุ่งยาก ซึ่งในปีนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเพราะยังไม่ทันที่เบนจะเคลียร์ปัญหาเรื่องความลับที่เขาปกปิดเรย์เอาไว้ เลอาก็ลักพาตัวพาดาวันของเขาไปเสียก่อน
“เธอคงเป็นเรย์สินะ ฉันได้ยินเกี่ยวกับเธอมาเยอะเลยทีเดียว” ดวงตาของเลอาทอดมองเด็กสาวอย่างอ่อนโยน มือโอบไหล่ ออกแรงดันเบาๆ ให้ลูกศิษย์ของเขาเดินตามอย่างแนบเนียนและว่องไว นี่เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะผิดคาดหมายไปอย่างมาก เบนนึกมาตลอดว่าเลอาจะพุ่งตัวเข้ามากอดเขา พยายามขอคืนดีปรับความเข้าใจหรืออะไรก็ตามที่เธอพยายามทำมาตลอดหลายปีผ่านทางข้อความโฮโลแกรมซึ่งเบนเปิดอ่านแต่ไม่เคยคิดจะตอบกลับ
“ขอยืมตัวแม่หนูพาดาวันคนนี้สักเดี๋ยวนะเบน”
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือท่านวุฒิสมาชิกเลอา ออร์กาน่าแห่งสาธารณรัฐกาแล็คติกใหม่กลับพาลูกศิษย์ของเขาเดินออกประตูไปหน้าตาเฉยโดยที่แม้แต่เขาหรือเรย์ก็ประท้วงไม่ทัน เบนทำท่าจะตามไป แต่กลับถูกมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์คว้าคอเสื้อไว้เสียก่อน
“ลุงลุค!!”
ตำนานเจไดดูหนุ่มขึ้นอีกหลายปีหลังจากตัดผมและแต่งหนวดเคราเสียสั้น ชุดทักสิโด้หางปลาสีดำและสายสะพายสีขาวพาดจากไหล่ซ้ายไปเอวขวาซึ่งติดเครื่องราชย์และเหรียญตรามากมายทำให้เขาดูเหมือนนักการเมืองมากกว่าเจไดเสียอีก บางอย่างที่เขาสามารถเป็นได้หากท่านตาไม่ได้เข้าด้านมืดและท่านยายไม่ได้เสียชีวิตไปเสียก่อน
“ตอนฮักซ์ส่งข้อความมาบอกว่าเธอจะใส่เสื้อคลุมมาฉันนึกว่าเป็นเรื่องล้อเล่นเสียอีก” ลุคบ่นงึมงำขณะใช้พลังช่วยลากเขาไปในทิศตรงข้ามกับเรย์
“จะพาผมไปไหนเนี่ย!” เบนขืนตัวประท้วงทว่าสู้ความแก่กล้าของอีกฝ่ายไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกฟอซยกจนเท้าลอยไม่ติดพื้น นับว่ายังดีที่ห้องนี้และเส้นทางที่ลุคพาเขาไปไม่มีแขกคนอื่นอยู่ไม่งั้นคงได้ขายหน้าแน่ๆ
“ไปแต่งตัวไง คิดเหรอว่าฉันจะปล่อยให้เจ้าชายเจ้าของงานวันเกิดสวมชุดปอนๆ เดินร่อนไปร่อนมาแบบนี้”
“ไหนลุงเคยบอกว่าเครื่องแบบเจไดเป็นของศักดิ์สิทธิ์”
“สำหรับประชุมสภาน่ะใช่ แต่ไม่หรูพอสำหรับงานเลี้ยงในวังหรอกนะ อีกอย่างขนาดฮานยังยอมใส่หูกระต่ายเลยแล้วเธอจะยอมแพ้พ่อเหรอ”
เบนชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินนามนั้น ตั้งแต่ยังเล็กก่อนที่จะมาเป็นเจได ไม่ว่ายังไงเบนก็สนิทกับแม่มากกว่าพ่อ เพราะต่อให้งานยุ่งแค่ไหน เลอาก็ยังพยายามปลีกตัวมาหาเวลากล่อมเขาเข้านอนหรือสอนการบ้านได้อยู่บ้าง แต่ว่าฮาน โซโล ยอดนักบินแห่งสาธารณรัฐ วีรบุรุษสงคราม และนักขนของเถื่อนอันดับหนึ่งนั้นตรงข้าม ต่อให้ว่างก็จะพยายามทำตัวให้ยุ่ง ฮานไม่เคยที่จะอยู่เคียงข้างในเวลาที่เขาต้องการ อีกฝ่ายรักอิสระและการผจญภัยมากเกินไป เกินกว่าที่คำว่าครอบครัวจะเหนี่ยวรั้งไว้ได้
เพราะแบบนั้นเบนจึงโวยวายเสียงดังหนักกว่าเก่า
“ตาแก่นั้นอยากสวมอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”
และแน่นอนว่าเขาแพ้อย่างราบคาบ อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาเจไดหนุ่มจึงต้องมายืนหน้าบึ้งอยู่มุมห้องท้องพระโรง แผ่รังสีทมึนยิ่งกว่าป้ายประกาศห้ามเข้าใกล้ทั้งที่แต่งกายหล่อเหลาเสียจนจนสาวๆ ต้องเหลียวมอง กางเกงขายาวสีดำตัดมาพอดีกับช่วงขายาวๆ ของเขา เสื้อท่อนบนเป็นผ้าสีดำมันคอปกตั้งเกือบถึงกรามปักลวดลายสีทองเหมือนเถาไม้ตามแนวขอบ แขนเสื้อสองชั้น ชั้นในเป็นสีเทาเจือประกายทองแนบกระชับไปกับท่อนแขนแกร่ง ในขณะที่ชั้นนอกทั้งกว้างและยาวลงมาเกือบถึงข้อเท้า ดูเผินๆ จึงเหมือนผ้าคลุมก็ไม่ปาน
ตอนแรกลุคจะบังคับให้เขาสวมมงกุฏ ทว่าเบนปาทิ้งทันทีที่สบโอกาสโดยไม่สนต่อมูลค่าของเพชรพลอยที่ประดับแม้แต่น้อย ผมสีดำของเขาจึงเพียงถูกเสยไปด้านหลังอย่างลวกๆ เผยให้เห็นแววตาคมกริบทว่าขุ่นมัวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อารมณ์ของเจไดหนุ่มยิ่งดิ่งลงเหวขึ้นไปอีกขั้นเมื่อคู่หูผมแดงอาจหาญโผล่หน้ามาให้เขาเห็นและพูดจาเหมือนแผนของตนเองประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม เขาก็ว่าแล้วว่ามันส่งข้อความหาใครไม่รู้ตลอดการเดินทาง
“มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์นี่ยอดจริงๆ ที่เตรียมชุดดีขนาดนี้ได้ในเวลาอันสั้น”
“จำคำพูดฉันไว้เลยฮักซ์ ภารกิจหน้าฉันเอาไลท์เซเบอร์แทงนายแน่ๆ” เบนขู่ฝ่อข้อหาบังอาจมาทำให้ชีวิตของเขายุ่งยากไปกว่าเดิมทว่าอาร์มิเทจไม่แคร์ นายพลหนุ่มยกเครื่องดื่มสีอำพันที่เหลือก้นแก้วขึ้นจิบก่อนจะวางลงบนถาดของบริกรที่เดินผ่านมา
“ฉันว่านายน่าจะอยากขอบคุณฉันมากกว่า” สองมือผอมซีดวางลงบนไหล่หนาแล้วออกแรงหมุนเขาไปอีกทาง “อ่อแล้วก็...พยายามเก็บคางด้วยโซโล ก่อนที่แมลงจะบินเข้าปากเสียก่อน”
ท่ามกลางแสงไฟและผู้คนมากมาย คนแรกที่เบนเห็นก็ยังคงเห็นเรย์อยู่เสมอ เด็กสาวกำลังยืนคุยอยู่กับฟินน์และโพ เธอยิ้มกว้างและหัวเราะเหมือนเคย ทว่าที่ไม่เหมือนเดิมคือชุด เครื่องแบบเจไดสีหม่นตัวหลวมโพรกถูกแทนที่ด้วยเดรสตัวยาวสีขาว กระโปรงยาวกร่อมเท้าซ้อนทับกันด้วยผ้าหลายชั้นจนดูนุ่มนวล เนื้อผ้าท่อนบนค่อนบาง ทว่าเหล่าอัญมณีสีทองและคริสตัลที่ปักกระจายเป็นลวดลายของดวงดาวประกายหกแฉกอยู่ทั่วทำให้ดูไม่เปิดเผยเนื้อหนังเกินไปนัก
คล้ายชุดของเบน แขนเสื้อของเรย์ก็ยาวมาลงเกือบถึงครึ่งแข้งทว่าผ่ากลางขึ้นมาถึงข้อศอกเพื่อให้เคลื่อนไหวสะดวก ผมสีน้ำตาลรวบสูงตกแต่งด้วยดอกไม้เล็กๆ สีขาวและคริสตัล เพียงเท่านี้พาดาวันของเขาก็ดูราวกับเจ้าหญิงเจ้าของงานมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ
เบนตรงเข้าไปหาเหมือนคนเดินละเมอ ดวงตาจับจ้องไม่ละไปไหน อาร์มิเทจพูดแซวอะไรไม่รู้ออกมาอีกสองสามประโยค ทว่าหูของเบนกำลังอื้ออึงด้วยเสียงพายุที่เกิดจากจังหวะเต้นของหัวใจ เขาจึงไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แม้จะรู้มาตลอดว่าเรย์ของเขางดงามและอ่อนหวาน ทว่าการได้เห็นเธอในเสื้อผ้าและในบรรยากาศที่ต่างออกไปเหมือนในวันนี้ ทำให้ความรู้สึกบางอย่างในอกของเขาขยายกว้าง คล้ายเพิ่งตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงนั้นมาเนินนานแล้ว
“เบน” เด็กสาวเรียกเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้มากพอ และเบนบอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกดีแค่ไหนที่เห็นเธอหน้าแดงขึ้นอย่างง่ายดายเพียงเพราะเขาปรากฏตัว เรย์ทัดปอยผมที่หลุดออกมาไว้หลังใบหู ดวงตาหลุบต่ำมองพื้น เขินอายเกินกว่าจะกล้าสบตากับเขา
โพขยับหลีกทางให้อย่างรู้งานแต่มิวายยักคิ้วให้เขาเป็นการทิ้งท้าย ฟินน์ถ่องศอกใส่เรย์พร้อมเอ่ยประโยคแปลกๆ ที่เบนไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไรกันแน่
“มั่นใจหน่อยพีนัทเธอดูดีแล้ว”
อีกอึดใจถัดมาทั้งนักบินหนุ่มและสตอร์มทรูปเปอร์ผิวสีก็เดินจากไป ทิ้งเบนและเรย์ไว้ท่ามกลางเหล่าคนแปลกหน้าและเสียงเครื่องสายที่เริ่มบรรเลงขึ้นมาโดยฝีมือนักดนตรีจากหลากหลายชาติพันธุ์และรูปร่าง กลางท้องพระโรงถูกเว้นที่ว่างเป็นวงกลมขนาดใหญ่ หลายคนเริ่มโค้งขอเต้นรำกับคู่ที่มาด้วยกัน จังหวะวอลซ์เรียบง่ายทว่านุ่มนวลเหมาะกับบรรยากาศเป็นอย่างยิ่ง เรย์เหลียวมองอย่างสนอกสนใจ อาจเพราะแบบนั้นเบนจึงตัดสินใจเอ่ยชวน
“เต้นรำกันมั้ย”
ประโยคนั้นส่งผลให้พาดาวันสาวยอมหันกลับมาสบตากับเขาในที่สุด
“ตะ...แต่ เบนก็รู้ว่าฉันเต้นไม่เป็น”
“และเธอก็รู้ว่าฉันเป็นมาสเตอร์ของเธอ” เขากล่าวพลางยื่นมือออกไปให้ “การสอนทุกอย่างให้เธอเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว”
เรย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เม้มริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีหวานฉ่ำก่อนจะยอมวางมือบางลงบนอุ้งมือของเขา เบนออกเดิน พาเธอไปยังมุมหนึ่งซึ่งยังว่างอยู่ ทว่าทันทีที่มือหนาวางลงบนบั้นเอวของเด็กสาว ดวงตาของเจไดหนุ่มก็ต้องเบิกกว้าง เพราะสิ่งที่เขาสัมผัสได้คือผิวเนื้อของเรย์ล้วนๆ ไม่มีผ้าใดขว้างกั้น
เบนชะโงกมองและค้นพบว่าเจ้าชุดกระโปรงยาวตัวนี้เป็นแบบเปลือยหลัง
เว้าทั้งหลังลงไปแทบถึงเอวเลยด้วยซ้ำ!!
“ใครเลือกชุดให้กัน?” เบนโพลงถามในขณะที่เริ่มขยับตัว สองมือออกแรงดึงโอบให้ร่างบางก้าวตามมา ที่เจไดหนุ่มถามเพราะว่าสไตล์ชุดเช่นนี้ดูไม่เหมือนสิ่งที่แม่ของเขาจะเลือกมาแม้แต่น้อย คือแบบด้านหน้าที่เรียบร้อย สง่างามและสุภาพน่ะใช่ แต่ด้านหลังที่คว้านลึกชวนให้หัวใจวายนี่สิ ให้คิดยังไงก็ไม่ใช่ฝีมือเลอาแน่นอน
“จินน์เลือกให้น่ะ”
คำตอบของเรย์แทบจะทำให้เบนคำรามออกมาด้วยความหงุดหงิด เขาก็ว่าแล้วว่าเห็นการ์เลนเดินไปเดินมาแวบๆ ทว่าเด็กสาวไม่ได้สังเกตเห็นอาการขบกรามของเขา เธอมัวแต่งวดอยู่กับการก้มมองพื้น ระวังไม่ให้เหยียบเท้าเขาหรือชายกระโปรงของตนเองในระหว่างที่เล่าไปเรื่อย
“ดูเหมือนว่าฮักซ์จะแอบส่งข้อความให้เธอเตรียมชุดมาเผื่อฉันไว้ด้วย”
โอเค ก่อนหน้านี้เขาแค่ขู่ แต่ในภารกิจหน้า เบนสัญญาเลยว่าจะฆ่าคู่หูตัวเองแน่นอน!!
นี่คงรวมหัวกันหมดเลยสิท่า ไล่ไปตั้งแต่อาร์มิเทจ เลอาจนถึงลุงลุค ให้ตายเถอะ งานการไม่มีทำกันหรือไงถึงได้มายุ่งกับพาดาวันของเขาอยู่ได้
“มันสวยก็จริงแต่ฉันค่อนข้างกังวลนิดหน่อยว่าจะทำคริสตัลพวกนี้หาย เฟิร์สออเดอร์คงไม่มีปัญญาชดใช้ให้แน่ๆ” เรย์หัวเราะแผ่วในระหว่างที่ล้อเลียนคำพูดก่อนหน้านี้ของเขา อารมณ์ขุ่นมัวของเบนคลายตัวลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นการเลิกคิ้วในประโยคถัดมา “แต่เลอาบอกฉันว่าไม่ต้องห่วง มันจะน่าเสียดายกว่าอีกถ้าไม่มีคนสวมชุดพวกนี้”
“เลอางั้นเหรอ?”
“แม่เบนบอกให้ฉันเรียกแบบนี้” เรย์เงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนจะย่นคอ “มันไม่ดีใช่มั้ย”
“เปล่า ฉันแค่แปลกใจนิดหน่อยที่พวกเธอสนิทกันได้เร็วขนาดนี้” เบนสังเกตเห็นว่าเรย์เริ่มคล่องขึ้นแล้ว เธอสามารถก้าวตามเขามาได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องก้มมองซ้ำยังไม่คร่อมจังหวะอีกต่อไป เพราะแบบนั้นเขาจึงตัดสินใจหมุนตัวเธอ เรย์อุทานก่อนจะกลายเป็นหัวเราะ
เบนดึงพาดาวันของเขาเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิดในจังหวะที่เธอหมุนกลับเข้ามา ฝ่ามือกางแนบแผ่นหลังบาง เขาเผลอขยับปลายนิ้วลูบวนไปมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เรย์หน้าแดงขึ้นเล็กน้อยทว่าไม่ได้ประท้วงการกระทำนี้
“เธอเป็นคนน่ารักมาก แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะเข้าข้างเลอามากกว่าเบนหรืออะไรหรอกนะ ถึงแม้ฉันจะยากเข้าข้างเขามากกว่าก็เถอะ”
อ่า...คำพูดนั้นทำให้เบนระลึกได้ในทันทีว่ามีความผิดติดตัวอยู่
“ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกเธอให้เร็วกว่านี้ เรื่องของครอบครัวฉันมันซับซ้อนแล้วก็เข้าใจยากมากๆ ฉันมองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะลากเธอเข้ามาลำบากด้วย”
“แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเบน” เรย์แย้งทันควัน “ไม่ว่าแบบไหนฉันก็ยังอยากรู้อยู่ดี”
หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุมได้เมื่อได้เห็นความห่วงหาในแววตาของเธอ ถ้อยคำของเรย์สั้นกระชับ ทว่าสามารถทดแทนทุกความหมายอันยืดยาวได้เป็นอย่างดีว่าไม่ว่ายังไงเธอก็ยังจะเคียงข้างเขาเสมอ ในทุกเรื่องยุ่งยากน่ารำคาญใจ ทุกความทุกข์เข็ญและทุกความสุขสันต์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอจะไม่มีทางจากไปไหน
“ฉันชมไปหรือยังนะว่าเธอสวยขนาดไหน” เบนกล่าวก่อนจะหมุนร่างบางอีกครั้ง แขนเสื้อและชายกระโปรงสะบัดไหว ราวกับภาพละเมอในห้วงฝัน รอยยิ้มของเรย์ขับเน้นความคิดนั้นให้เด่นชัดยิ่งขึ้น เขาดึงเธอเข้ามาใกล้กว่าที่เคย จนเพียงเสียงกระซิบเท่านั้นที่จำเป็นสำหรับการพูดคุยกัน
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ” เด็กสาวดุอย่างไม่จริงจังนัก ดวงตาสีฮาเซลนัทช้อนขึ้นมองเขา แสงไฟรอบด้านทำให้สีเขียวในดวงตาของเธอเจิดจ้ายิ่งขึ้นจนเกือบเหมือนป่าฝน เบนโน้มใบหน้าลงไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว ดวงตาหลุบมองริมฝีปากที่เขาเคยได้ครอบครองมานับครั้งไม่ถ้วน
“ฉันเปล่า แค่นึกขึ้นได้เลยอยากพูด เพราะหลังจากนี้ฉันคงมัวแต่อารมณ์เสียกับเรื่องดราม่าในครอบครัวจนลืมพูดแน่ๆ” เบนประชดประชันด้วยน้ำเสียงตายซาก เขาสูดหายใจเข้าลึก สองขายังคงขยับก้าวนำเธอไปตามจังหวะเพลงในขณะที่เอ่ยเล่าเรื่องราวอันซับซ้อนของเหล่าสกายวอล์คเกอร์
เขาตัดทอดรายละเอียดทิ้งไปค่อนข้างมากทว่าใจความหลักๆ ยังอยู่ครบถ้วน ตั้งแต่การที่อนาคินเข้าด้านมืด แพดเม่เสียชีวิตหลังให้กำเนิดลุคและเลอา การที่ทั้งคู่ถูกแยกกันเลี้ยงก่อนจะกลับมาพบกันอีกครั้งในระหว่างสงครามซึ่งพ่อและแม่ของเขาได้พบรักกัน
“พวกเขาอาจจะเป็นวีรชนที่ช่วยเจไดในตำนานอย่างลุค สกายวอล์คเกอร์นำสมดุลคืนสู่กาแล็คซี่ แต่ในด้านความเป็นพ่อแม่แล้วพวกเขาโคตรจะห่วยแตก ฉันอาจจะดูเหมือนว่ามีทุกอย่างนะเรย์ พ่อแม่ ปราสาท คนรับใช้ แต่ความจริงแล้วทุกอย่างมันว่างเปล่าเอามากๆ ตลอดเวลาที่อยู่อัลเดอรานและถูกเรียกว่าเจ้าชาย ฉันไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวมากเท่านั้นมาก่อนเลยจริงๆ”
และการเล่าให้ใครต่อใครฟังว่าเขาเคยเป็นอะไรมาก่อนมีแต่จะตอกย้ำความเดี่ยวดายเหล่านั้นมากยิ่งขึ้นไปอีก เบนจึงเก็บเรื่องราวแต่หนหลังไว้กับตนเอง เจ้าชายก็เป็นแค่ยศฐาอันว่างเปล่าและไร้ค่า เหมือนกับสายสัมพันธ์ที่พ่อแม่มีให้เขาน่ะแหละ
“แต่เบนไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้วนะ” เรย์บีบมือเขาแน่นขึ้นเล็กน้อย ราวกับจะยืนยันถึงตัวตนของเธอในอ้อมกอดของเขา มุมปากของเบนบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มในขณะที่ตอบกลับไปว่า
“เธอก็เหมือนกัน”
เสียงเพลงจบลงพอดีและเสียงตรบมือดังขึ้นแทนที่ ทว่ามนต์ขลังระหว่างกันนั้นยังคงตราตรึงอยู่ไม่จาง
Chapter 20: Episode 20 Taste Like Chocolate.
Chapter Text
หลังจบเพลงแรก เลอาก็มาขอเต้นรำกับเบนต่อทันที
มาสเตอร์ของเรย์ดูมีท่าทีอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ทว่าหลังชั่งใจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ยินยอมโค้งคำนับและจับมือผู้เป็นมารดาไว้ เรย์ได้แต่ภาวนาให้เบนสามารถคุยกับเลอาได้จนจบประโยคโดยที่ไม่ระเบิดฟอร์ซออกมาทำลายข้าวของรอบด้านเสียก่อน
ตอนแรกเด็กสาวว่าจะไปสมทบกับเพื่อนๆ เรย์เห็นแผ่นหลังของอาร์มิเทจไวๆ จากหางตาแล้ว แต่ดูเหมือนคนผมแดงกำลังติดพันอยู่กับการคุยกับนายพลอัคบาร์เธอเลยไม่อยากเข้าไปขัดเท่าไร ฟาสม่าเองก็ยืนจิบเครื่องดื่มอยู่ไม่ห่างและกำลังปัดมือไล่ชายคนหนึ่งที่เดินมาจีบให้ไปให้พ้น ฟินน์กำลังเต้นรำอยู่กับโพ แม้ว่ามันจะออกมาเหมือนแข่งเหยียบเท้ากันเองมากกว่าก็ตาม
เพราะแบบนั้นเรย์จึงพาตนเองมาหลบอยู่ที่โต๊ะอาหารอย่างที่กระเพาะกำลังเรียกร้อง เธอไม่รู้เลยสักนิดว่าอาหารคำเล็กๆ ตรงหน้าเรียกว่าอะไรหรือทำจากอะไรบ้าง เพราะแบบนั้นเธอจึงตัดสินใจลองมันให้หมด
บางชิ้นก็อร่อยมากเสียจนเธอต้องเบิ้ลคำที่สองอย่างรวดเร็ว แต่บางชิ้นก็รสชาติแปลกจนลิ้นแทบชา เรย์กำลังชิมไปได้ครึ่งทางแล้วตอนที่มือหนาแต่เหี่ยวห่นยื่นจานกระเบื้องที่มีแป้งกลมๆ สีเหลืองทองตกแต่งด้วยเนื้อสไลด์ชิ้นบางมาให้
“ลองไอ้นี่ดูสิรับรองว่าเธอชอบแน่ๆ”
อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคน แม้จะไม่สูงเท่ามาสเตอร์ของเธอแต่ก็นับว่ามีรูปร่างสูงใหญ่เอาเรื่อง เส้นผมที่ตัดสั้นและเสยไปด้านหลังเป็นสีเทาจนเกือบขาว เขาสวมเสื้อตัวในสีขาวคอปกตั้งทับด้วยสูทตัวนอกสีน้ำเงินเข้มที่ชายเสื้อยาวถึงหัวเข่า เรย์เคยเห็นชุดทำนองนี้มาก่อนและแน่ใจว่ามันควรต้องใส่กับหูกระต่ายทว่ารอบลำคอของเขากลับว่างเปล่าซ้ำชายเสื้อยังหลุดรุ่ย
แต่ถึงอย่างนั้นท่าทางเซอกึ่งลุยทั้งที่สวมเสื้อผ้าปราณีตหรูหราก็ดูเข้ากับอีกฝ่ายไม่น้อย เด็กสาวพนันได้เลยว่าสมัยหนุ่มๆ คงมีสาวๆ วิ่งตามเขาเป็นพรวนแน่ๆ มีบางอย่างในรูปหน้าของเขาที่ดูคุ้นเคยสำหรับเรย์อย่างน่าประหลาด อาจเพราะแบบนั้นเธอเลยน้อมรับในข้อเสนอแนะของเขาอย่างง่ายดายทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรก
“ขอบคุณค่ะ” เรย์กล่าวหยิบอาหารเข้าปากอย่างไม่รอช้า อึดใจถัดมาเธอก็ต้องเบิกตากว้างให้กับรสชาติของมัน “สุดยอด! นี่เป็นจานที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันลองชิมมาเลย”
“งั้นเธอก็ต้องชอบนั่นด้วยเหมือนกัน” เขาชี้ไปยังจานที่อยู่ข้างๆ กัน และเรย์ยิ่งกว่ายินดีที่จะตามคำแนะนำของชายคนนี้ไป “ฉันบอกได้หมดแหละว่าอะไรอร่อยอะไรห่วยแตก แต่อย่าถามเรื่องชื่อกับส่วนผสมน่ะ อันนั้นต้องขอบาย”
เขายกมือทำท่ายอมแพ้ เรย์หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้จนต้องยกมือขึ้นป้องเพราะอาหารที่ยังเต็มปากอยู่
“เป็นเจ้าหญิงจากดาวไหนกันละยัยหนู?” เขาถามในขณะที่ส่งจานของหวานมาให้ คำถามกับสรรพนามที่ใช้เรียกช่างฟังขัดแย้งกันอย่างน่าประหลาด คล้ายกับว่าเขาเองก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เช่นเดียวกัน
“ไม่ได้ใกล้เคียงเลยค่ะ ฉันเป็นแค่คนไม่สำคัญเท่านั้น” ถ้าเทียบกับบรรดาเจ้าหญิงเจ้าชายจากดาวต่างๆ หรือเหล่านักการเมืองคนใหญ่คนโต เจไดฝึกหัดผู้ยังไม่มีวีรกรรมเป็นของตนเองเช่นเธอก็ถือว่าไร้ตัวตนจริงๆ น่ะแหละ แต่ดูเหมือนคู่สนทนาจะไม่เห็นด้วย เขาโต้ทันตวัน
“เหลวไหล ไม่ว่าใครก็เป็นคนสำคัญของใครสักคนทั้งนั้นแหละ”
“ก็อาจจะจริงอย่างที่คุณว่า” ดวงตาสีฮาเซลนัทเหลือบมองไปยังลานเต้นรำตรงกลางอย่างลืมตัว เบนกำลังกระซิบพูดคุยอะไรบางอย่างกับเลอาอยู่ ทางทีของเขาดูผ่อนคลายขึ้นแต่ก็ยังมิวายดูน่าอึดอัดเกินไปอยู่ดีสำหรับการเต้นรำระหว่างแม่ลูก
“เกือบลืมไปเลยฉันชื่อเรย์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กสาวกล่าวยื่นมือไปเตรียมจับทักทาย แต่อีกอึดใจก็ต้องชะงัก ปกติแล้วในวังเขาทักทายกันแบบไหนนะ ต้องถอนสายบัวหรือเปล่า หรือต้องให้อีกฝ่ายจูบหลังมือ แต่ดูเหมือนท่าทางเด๋อๆ ด๋าๆ ของเธอจะถูกใจอีกฝ่ายไม่น้อย
“เรียกฉันว่าฮาน” เขายื่นมือมาทันควัน กระชับแน่นแล้วเขย่าเบาๆ ฝ่ามือหนาหยาบกร้านและเต็มไปด้วยตุ่มไต “ฮาน โซ...”
“Arhhhhhh” ทันใดนั้นเสียงคำรามจากด้านหลังก็เรียกความสนใจเรย์กลับมาอีกครั้ง เด็กสาวหันมองและได้พบเข้ากับตัววูกกี้ซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่กว่าสองเมตร หูกระต่ายสีดำโผล่ออกมาขนยาวๆ สีน้ำตาลรอบคอ เรย์พนันได้เลยว่าจริงๆ แล้วมันคือส่วนหนึ่งของชุดฮาน
และอีกครั้งที่พาดาวันสาวรู้สึกเหมือนเคยเห็นวูกกี้ตัวนี้ที่ไหนมาก่อน
“อย่ามาบ่นเป็นตาแก่ไปหน่อยเลยน่านายเพิ่งอายุแค่สองร้อยกว่าๆ เองชิวอี้” ฮานโต้ส่งผลให้ชิวอี้เท้าเอวและคำรามออกมาอีกระลอก น้ำเสียงแสดงความระอาอย่างชัดเจนจนแม้แต่เรย์ซึ่งพูดภาษาวูกกี้ไม่เป็นก็ยังรับรู้ได้
“Arhhhhhh”
“จะให้คุยตอนไหนก็เบนกำลังยุ่งอยู่ อย่าผลักสิโว้ย รู้แล้ว เดี๋ยวจบเพลงนี้ฉันจะเดินเข้าไปทัก”
หืม? เบนที่ฮานพูดถึงนี่จะใช่เบนเดียวกันกับมาสเตอร์ของเธอหรือเปล่านะ
แต่สุดท้ายเรย์ก็โดนหันเหความสนใจอย่างรวดเร็วเมื่อบริกรวางจานขนมที่ตกแต่งด้วยเบอรี่สีสันสดใสมาเพิ่ม
เบนค้นพบว่าการเต้นรำกับเลอาน่าอึดอัดน้อยกว่าที่คิดมาก
แม้จะไม่ได้พบเจอหรือพูดคุยกันมาหลายปี ทว่าทั้งจังหวะของคำพูดหรือหัวข้อสนทนากลับประสานต่อเนื่องเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเบนคิดว่าน่าจะเป็นเพราะฟอร์ซที่ทำให้เขาและเลอาผูกพันกันเป็นพิเศษมาตั้งแต่เขายังไม่เกิด แต่อีกใจก็รู้ดีว่าเป็นเขานั้นแหละ ที่โหยหาและอยากได้ยินทุกเรื่องราวซึ่งขาดหายไปตลอดหลายปี
“ลุคบอกลูกหรือยังนะว่าเขาจะตั้งสภาเจไดขึ้นมาใหม่”
“บอกแล้วครับ” เบนตอบในขณะที่พาร่างเล็กซึ่งสูงเพียงอกเต้นรำไปรอบๆ เบนสังเกตเห็นแขกหลายคนป้องปากซุบซิบหรือไม่ก็ชี้มาทางเขาอย่างไม่สงวนท่าที เบนหายหน้าหายตาไปจากวงสังคมมาหลายปีแล้ว แม้จะเป็นเจไดมีชื่อแต่ก็แค่เจได พอซีทรีพีโอประกาศไปว่าแท้จริงแล้วเขาคือเจ้าชาย ทุกคนก็คงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยากว่าเจ้าชายเบนจาร์มินไปอยู่ที่ไหนมา สาแก่ใจฮักซ์แล้ว หลังจากนี้เฟิร์สออเดอร์คงได้งานยุ่งขึ้นอีกเป็นเท่าตัวแน่ๆ
“และผมไม่คิดว่าผมจะเหมาะกับตำแหน่งแกรนด์มาสเตอร์ เขียนตำราหรือเข้าประชุมยังพอได้ แต่ให้ไปสอนเจไดคนอื่นดูจะเกินความสามารถผมเกินไป”
“แต่แม่ว่าลูกทำได้ดีกับลูกศิษย์คนนี้ออก” เลอาแย้งพร้อมรอยยิ้ม “ฟอร์ซของเธอแข็งแกร่งไม่เบา”
“เธอแข็งแกร่งด้วยตัวเธออยู่แล้ว ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย” เจไดหนุ่มอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างภาคภูมิในตัวเด็กน้อยที่เขาเฝ้าฝูมฝักมา “อีกอย่างเธอเป็นคนเดียวที่ทนอารมณ์ร้ายๆ ของผมได้ ถ้าเป็นคนอื่นคงได้เผ่นหนีไปกันหมด ดังนั้นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ยังไงชั่วชีวิตนี้ผมก็คงได้สอนพาดาวันแค่คนเดียวอยู่ดี”
“ไม่หรอกถ้าลูกมีหลานให้แม่ ลูกสอนการใช้ฟอร์ซให้พวกเขาได้นะ”
ประโยคแซวอันไม่คาดคิดจากเลอาทำเอาเบนสะดุดเท้าตนเองเลยทีเดียว ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาถึงอายุที่ควรจะสร้างครอบครัวได้แล้ว แต่การต้องมาถกประเด็นนี้อย่างกะทันหันกับแม่ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายปีก็ดูจะเป็นน่ากระอักกระอวนเกินไปอยู่ดี ร่างสูงกระแอมไอ ปรับจังหวะย่างก้าวให้กลับมาเป็นปกติก่อนจะตอบคนที่กำลังลอบอมยิ้มกลับไป
“เผื่อแม่ลืม แต่ผมเป็นเจไดแล้ว”
“แม่จำได้ว่าลุคไม่ได้ห้ามเรื่องมีครอบครัวนี้”
ให้ตายเถอะ เลอาพูดเหมือนการ์เลนไม่มีผิดเลย
เบนคิดพลางลอบกรอกตา
“อย่าแม้แต่คิดจะให้ผมกลับไปหมั้นกับจินน์เชียว” เบนเอ่ยดัก ทว่าผิดคาด ดูเหมือนว่าเพื่อนสมัยเด็กของเขาจะไม่ใช่คนที่เลอาตั้งใจหวังไว้ รอยยิ้มแบบมีเล่ห์นัยแต่ก็กึ่งระอาเหมือนเขาช่างไม่ได้รู้อะไรบางเลยบ่งบอกแบบนั้น
“ลูกนี่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ ความรู้สึกช้าเหมือนพ่อเขาเลย”
เบนหน้าตึงไปไม่น้อยที่เลอากล่าวเทียบเขากับฮานแบบนั้น แต่พออ้าปากจะแย้งบทเพลงก็จบลงเสียก่อน เลอาบ่นกระหายน้ำแล้วลากเขาออกมาจากฟลอร์อย่างรวดเร็ว ระหว่างทางที่มุ่งไปมุมอาหารมีคนเข้ามาทักทายทั้งเขาและแม่เป็นระยะ
การอยู่กับเลอาทำให้ผู้คนสบายใจมากขึ้นที่จะเข้ามาพูดคุยเบน และนั่นเป็นอะไรที่น่ารำคาญเอามากๆ เบนไม่ถนัดการเข้าสังคมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งโตมากับคนที่แย่งเขาพูดไปเสียทุกอย่างอย่างแคสเซียน กับคนที่พูดสิบคำแต่เป็นการการหาเรื่องไปเสียแปดอย่างอาร์มิเทจ ทักษะการเผชิญหน้ากับผู้อื่นของเจไดหนุ่มก็ยิ่งดิ่งลงเหว
ต่อให้มีเรย์อยู่ด้วยก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี เพราะเธอไม่เหมือนคนอื่น เบนไม่เคยต้องพยายามเพื่อเข้าหาเธอ ไม่เคยต้องปลอมแปลงหรือเปลี่ยนตนเองให้เป็นอื่นเพื่อที่จะได้อยู่กับเธอ เรย์ไม่เคยหวาดกลัวหรือเกลียดชังสักแง่มุมในตัวเขา และนั่นทำให้เบนรู้สึกราวกับว่าเขาคือคนที่โชคดีที่สุดในจักรวาลที่ได้มีเธอเคียงข้าง ที่ยังสามารถเป็นตนเองและมีเธอได้ในเวลาเดียวกัน
“วุฒิสมาชิกออร์กาน่า” เสียงนั้นแหบแห้งจนเกือบฟังน่าขนลุก เบนหันมองและพบเข้ากับชายชราศีรษะล้าน ร่างผอมแห้งสวมใส่ชุดสีทองและคลุมทับด้วยชุดคลุมสีดำด้านตัวยาวระพื้นไม่ต่างจากบรรดานักการเมืองรุ่นเก่า ดวงตาคู่นั้นเป็นสีฟ้าเย็นเยียบ ผิวซีดขาวเหมือนไม่เคยโดนแดด
รอยยิ้มสุภาพและท่าทางเย่อหยิ่งดูไม่ต่างอะไรจากบรรดาแขกสูงศักดิ์ทั้งหลายซึ่งมารวมงาน ทว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลในตัวชายคนนี้ เบนรู้สึกได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็นว่านี่คือคนที่ไม่ควรเข้าใกล้เป็นอย่างยิ่ง
“วุฒิสมาชิกสโน้ค” แต่ดูเหมือนเลอาจะไม่คิดเช่นนั้น หรือไม่ก็คงเพราะสวมหน้ากากของสุภาพชนได้เนียบแนบเกินไป เธอฉีกยิ้ม เอื้อมมือไปจับทักทายชายชราอย่างสนิทสนม “ดีจริงที่คุณมารวมงานได้ ดูเหมือนว่ากองงานพวกนั้นยังไม่ได้ทับคุณแบนไปเสียก่อน”
“ก็เกือบไปเหมือนกัน” ทันใดนั้นดวงตาราวกับอรพิษก็ปรายมาทางเบน “ส่วนพ่อหนุ่มน้อยคนนี้คงเป็นเจ้าชายผู้สาปสูญที่ทุกคนกำลังพูดถึงกันสินะ”
เบนค้อมศีรษะให้เล็กน้อยทว่าไม่ได้พูดอะไร เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็งจนเกือบเป็นการเสียมารยาท เพราะแบบนั้นเลอาเลยกล่าวแนะนำตัวให้
“เบนนี่คือท่านวุฒิสมาชิกอเลสแตร์ สโน้ค เราทำงานด้วยกันบ่อยๆ ส่วนนี่คือเบนจามินค่ะ เบนทำงานอยู่กับเฟิร์สออเดอร์เป็นเจไดตามรอยลุค คุณอาจเคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง”
“ฉันรู้มาว่าเฟิร์สออเดอร์มีเจไดสองคน อีกคนไปไหนเสียละ”
ไหล่ของเบนเกร็งขึ้นมาทันที ความคิดที่ว่าจะให้เรย์มาเจอชายคนนี้ดูเป็นอะไรที่น่ากลัวเกินไป ซึ่งเบนไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เขาจึงตัดบทด้วยการบอกว่า “เธอยังเป็นแค่พาดาวันอยู่ ถ้าคุณมีธุระอะไรกับเฟิร์สออเดอร์คุยผ่านนายพลฮักซ์จะเป็นการดีกว่า”
ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะไปดักอาร์มิเทจไว้ก่อนว่าห้ามรับงานจากชายคนนี้
สโน้คยิ้มรับคำพูดนั้น ไม่ถือสาต่อท่าทีแข็งกร้าวอย่างผิดปกติของเบนต่อคนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก เลอาก็เช่นเดียวกันเพราะเธอไม่ปรามเขาแม้แต่ครึ่งคำ
“ฉันคุยแน่ หวังว่าในอนาคตเราจะได้เจอกันอีกนะ วุฒิสมาชิกออการ์น่า” สโน้คผงกศีรษะให้เลอาเพื่อขอตัวก่อนจะหันมาทางเขา “มาสเตอร์โซโล” แล้วก็เดินหายลับไปท่ามกลางผู้คนอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่เดินเข้ามาในวังหลวงแห่งอัลเดอราน สโน้คเป็นคนแรกที่เรียกเขาในแบบเจไดก็ว่าได้ เหมือนกับว่าชายคนนั้นรู้จักและคุ้นชินกับเขาในฐานะของอัศวินมากกว่าเจ้าชายเสียด้วยซ้ำ
“ผมไม่ชอบผู้ชายคนนั้น” เบนเปรยอย่างอดไม่ได้ ทว่าแทนที่จะได้ยินเสียงดุบ่น เลอากลับถอนหายใจ
“ค่อยยังชั่ว แม่คิดว่าแม่คิดไปเองคนเดียวเสียอีก”
หลังจากความเงียบไม่ถึงชั่วเสี้ยววินาที ทั้งคู่ก็หัวเราะให้แก่กัน
ทว่าเบนอารมณ์ดีอยู่ได้แค่ไม่นานเท่านั้น เพราะเมื่อเดินมาถึงมุมอาหารเขาก็พบว่าคนที่ไม่อยากเจอหน้าที่สุดกำลังพูดคุยอยู่กับพาดาวันของเขา ฮานขยับมือไม้ทำท่าประกอบสิ่งที่พูดในขณะที่เรย์เฝ้ามองด้วยตาเป็นประกาย
“และถ้าเธอสับสวิตช์เปลี่ยนไปใช้โหมดออโต้ไพลอทตอนกำลังหมุนควงสว่าน เครื่องยนต์ก็จะกระชากจนทำให้...”
คำพูดของยอดนักบินอันดับหนึ่งขาดหายไปในลำคอเมื่อเบนก้าวตรงเข้าไปหาแล้วดึงแขนเรย์ให้มาหลบอยู่ข้างหลัง เจไดหนุ่มจ้องคนเป็นพ่อด้วยแววตากราดเกรี้ยวอย่างไม่ปิดบัง ความอึดอัดและปวดร้าวขยายตัวขึ้นจนเต็มอก หากก่อนหน้านี้เขาตั้งคำถามกับตนเองว่าเหตุใดจึงตัดขาดการติดต่อกับเลอามาตลอดหลายปี บัดนี้เบนก็ได้คำตอบแล้ว
ทั้งหมดนั้นเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าหรือรับรู้เรื่องราวของผู้ชายคนนี้อีก
พ่อผู้ให้กำเนิดซึ่งกระซิบเรียกเขาว่าสัตว์ประหลาดเพียงเพราะนึกว่าเขาจะไม่ได้ยิน
“เบน...” ฮานเรียก อีกฝ่ายดูแก่ขึ้นกว่าที่เบนจำได้มากโข ทั้งเส้นผมที่เป็นสีเทา ริ้วรอยบนใบหน้าและน้ำเสียงแหบระโหย ในขณะที่เบนมองอีกฝ่ายอย่างเกลียดชัง ฮานกลับมองมาเขาอย่างยินดี ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าในช่วงชีวิตที่เหลือจะมีโอกาสได้พบเขาอีกครั้ง
“ลูกโตขึ้นเยอะเลยนะ”
“หยุด...” เบนกระซิบลอดไรฟัน “คุณไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้น มันสายเกินไปแล้วที่จะมาทำเหมือนแคร์”
เลอาตามมาทันแล้วและสัมผัสถึงความตึงเครียดในบรรยากาศได้ในทันที เธอได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าพูดหรือขยับตัวด้วยกลัวจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่าเดิม ดวงตาของฮานหลุบมองพื้นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเลื่อนกลับมาสบตากับเบนใหม่
“พ่อขอโทษ ถ้านั้นคือสิ่งที่ลูกอยากได้ยินนะเบน ขอโทษสำหรับทุกความเข้าใจผิด...”
“เข้าใจผิดงั้นเหรอ!” เบนเสียงดังอย่างลืมตัว สายตาหลายคู่จ้องมองมาทว่าเขาไม่สน พูดมาได้ไงว่าเขาเข้าใจผิด ทุกการรอคอยที่ไร้ความหมาย การแหงนมองท้องฟ้าอันว่างเปล่าเพียงเพื่อจะพบกับความผิดหวัง ความโดดเดี่ยวที่กัดกินเขามาตลอดหลายปี ทั้งหมดแค่เขาคิดไปเองเนี่ยนะ
“คุณไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ดีแต่พูดไปเรื่อยแล้วปัดความผิดให้คนอื่น!”
เจไดหนุ่มสัมผัสได้ถึงความโกรธที่กำลังครอบงำ เขาหอบหายใจด้วยแรงอารมณ์ และเพียงอีกนิดเดียวเท่านั้นก่อนที่เส้นความอดทนจะขาดผึ่งจนส่งผลให้เขาทำอะไรร้ายแรงออกไป
เรย์ก็ก้าวออกมาจากข้างหลัง ยัดขนมชิ้นเล็กๆ เข้าใส่ปากเขาอย่างรวดเร็ว
“นั่นเป็นอันที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันลองมาเลยนะ!! เบนคิดว่าไงบ้าง” พาดาวันของเขาถาม น้ำเสียงตื่นเต้นรื่นเริงเกินเหตุราวกับไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ หรือไม่ก็เพราะเข้าใจได้ดีเกินไป
เบนขมวดคิ้ว ในชั่วขณะที่อารมณ์กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง ลิ้นของเขาดูจะด้านชาเกินกว่าจะรับรู้รสชาติอะไรได้ เขากลืนคำแรก เปิดปากเพื่อจะดุการกระทำของลูกศิษย์สาวแต่กลับถูกป้อนคำที่สองให้อย่างรวดเร็ว
“อันนี้ก็อร่อยนะ ฉันชอบที่พ่อครัวราดช็อคโกแลตลงไปบนเนื้อมากเลย” เธอบอกก่อนจะหันไปทางพ่อของเขาต่อ “เมื่อกี้คุณกำลังจะอธิบายเรื่องเทคนิคบินควงสว่านใช่มั้ยคะฮาน หลังจากนั้นเกิดอะไรต่อเหรอ?”
เลอาลอบอมยิ้มในขณะที่ฮานได้แต่ยืนอึ้ง อดีตวีรบุรุษสงครามกะพริบตาปริบๆ อยู่สองสามครั้งก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ดังลั่นแบบที่เรียกได้ว่าทั้งเรียกและสลายความสนใจของบรรดาผู้ที่อยากรู้อยากเห็นได้จนหมด บรรยากาศตึงเครียดหายไปในพริบตา
“ดูเหมือนฉันจะลืมไปแล้ว” ฮานตอบพลางยกมือกุมท้องที่เริ่มปวดจากการขำมากเกินไป เสียงหัวเราะของฮานสร้างความรู้สึกยุบยิบในหัวใจของเบนยิ่งนัก เขาคุ้นเคยกับมันดี เสียงทุ้มๆ ที่สั่นสะเทือนออกมาอย่างไม่เก็บอาการ รอยยิ้มกว้างก่อนจะตามมาด้วยการยีผมเขาซึ่งยังเป็นเพียงเด็กชายจนยุ่งเหยิง
‘สตาร์ไฟท์เตอร์ตัวน้อย’ ฮานเรียกเขาเช่นนั้นเสมอ
เบนเสมองไปทางอื่น เบือนตัวเองจากความทรงจำเมื่อครั้งอดีต
“ว่าแต่เธอรู้จักกับลูกชายฉันด้วยเหรอยัยหนู” ฮานถาม ชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างเรย์และเบน
...ผมไม่ใช่ลูกชายคุณ... เบนได้แต่แย้งในใจเพราะในปากยังเต็มไปด้วยเนื้อกวางดาวทรัสคานราดช็อคโกแลต
“ที่รักนี่คือเรย์ที่ลุคเล่าให้ฟังไง” เลอาอธิบายพลางก้าวมายืนข้างสามี
“อ่อ มิน่าละ...” ฮานส่งเสียงที่บอกไม่ถูกว่าเป็นการแสดงความเข้าใจหรือประหลาดใจกันแน่ แต่ที่แน่ๆ สายตาเหมือนรู้ทันที่กวาดมองไปมาระหว่างเขาและเรย์อีกครั้งทำให้เบนรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก ซึ่งมันเป็นคนละแบบกับความหงุดหงิดระคนกราดเกรี้ยวแบบที่เขารู้สึกต่อพ่อแม่มาตลอดหลายปี
มันเหมือนเวลาที่ถูกโพยักคิ้วให้อย่างรู้ทันเวลาเขาลอบสัมผัสเรย์ หรือตอนอาร์มิเทจกรอกตาด้วยความหน่ายใจเวลาเขาไม่ยอมรับว่ากำลังหวงเรย์อยู่มากกว่า
“ให้ตายสิ นี่ฉันคุยกับลูกสะใภ้ตัวเองมาตลอดโดยที่ไม่รู้ตัวเลยเหรอเนี่ย” ฮานพึมพำบ่นกับตัวเอง “ฉันให้เธอสามผ่านเลยยัยหนู เป็นเจได ซ่อมเครื่องบินได้ แถมชิวอี้ยังชอบเธอมากอีก เราจะต้องเป็นครอบครัวที่เข้ากันได้ดีมากแน่ๆ ”
“Arhhhhhh”
ชิวอี้คำรามอย่างเห็นด้วยมาจากอีกฝากของโต๊ะ ก่อนจะหันไปคุยกับแขกซึ่งเป็นหญิงสาวจากดาวเดโกบาร์ต่อ เรย์ได้แค่ยืนอ้าปากค้างและหน้าแดงก่ำกับความเข้าใจผิดของฮาน เลอาฟาดต้นแขนสามีอย่างไม่เบามือนักข้อหาปากไวพูดจาไม่ดูสถานการณ์
“อะไร” ฮานประท้วง “ก็เธอกำลังจะมาเป็นลูกสะใภ้เราจริงๆ นี่”
เบนคำรามด้วยความหงุดหงิดและแย้งเสียงแข็ง “เรย์เป็นพาดาวันของผมต่างหาก”
“แต่ก็ไม่เห็นลุคจะออกกฏห้ามอะไรเลยนี่”
ให้ตายเถอะ ทำไมทุกคนรอบตัวเขาถึงได้เอาแต่กรอกหูให้เขาทำเรื่องไม่สมควรโดยอ้างว่ากฏเจไดไม่ได้ห้ามอยู่ได้
“เลิกพยายามที่จะเปลี่ยนเรื่องสักที!!” เบนโพล่งอย่างเหลืออด แต่เพราะเรย์ยังกำแขนเสื้อของเขาไว้อยู่ เขาจึงตระหนักได้ว่าควรจะเบาเสียงลงให้มากกว่านี้ ต่อให้ไม่เห็นหัวฮาน เขาก็ควรจะไว้หน้าเลอาบ้าง “แล้วก็ไม่ต้องลากเรย์มาเป็นเครื่องมือด้วย เพราะไม่ว่ายังไงผมก็ไม่มีวันให้อภัยคุณเด็ดขาด”
เจไดหนุ่มหันหลังกลับ เดินจากมาอย่างรวดเร็วจนแม้แต่พาดาวันของเขาก็ห้ามไม่ทัน
ตอนนี้เรย์เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงคิดว่าฮานดูคุ้นๆ
มีหลายอย่างในใบหน้าและรูปร่างของเบนที่ได้รับสืบทอดมาจากฮาน ทว่าถ้าพูดถึงนิสัยแล้วเป็นคนละเรื่องเลยทีเดียว ฮานเป็นผู้ชายที่พูดเก่ง รู้จักเสน่ห์และจุดเด่นของตนเองเป็นอย่างดี เรย์คิดว่าสมัยหนุ่มๆ เขาคงเจ้าชู้เอาเรื่อง
ต่างจากมาสเตอร์ของเธอซึ่งไม่ค่อยยิ้มและเก็บตัวเงียบ เบนเป็นประเภทชอบขลุกอยู่กับหนังสือและน้ำหมึกมากกว่าทำกิจกรรมกลางแจ้ง เรย์นึกภาพออกเลยว่าความแตกต่างเหล่านี้จะสร้างความกระอักกระอวนให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกได้มากขนาดไหน เพียงแต่ที่เธอไม่นึกไม่ถึงคือมันจะร้าวลึกได้ขนาดนี้
เบนเดินหนีฮานและเลอาไปทางระเบียงด้านหลังซึ่งเปิดออกสู่สวนกุหลาบ เรย์ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย สาวเท้ายาวๆ พยายามจะตามให้ทัน
มาสเตอร์ของเธอหยุดยืนอยู่ข้างน้ำพุหินอ่อนซึ่งล้อมรอบด้วยกุหลาบพันธุ์พื้นเมืองอัลเดอรานที่เติบโตสูงใหญ่จนเป็นเสมือนกำแพง แขกทุกคนยังดื่มกินอยู่ด้านใน ในสวนกว้างจึงมีแต่พวกเขาเท่านั้น แสงไฟจากโคมแบบโบราณสาดแสงอย่างนุ่มนวลให้กับรอบด้าน กลิ่นหอมรื่นโชยมาเป็นระยะ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจทำให้ร่างสูงใหญ่สงบอารมณ์ได้อยู่ดี มือหนายกขึ้นเสยผมตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า
พอหันมาเห็นเรย์ เขาก็เอ่ยขึ้นทันที
“มาห้ามฉันทำไม! เธอเองไม่ใช่รึไงที่บังคับให้ฉันมารวมงานเลี้ยงบ้าๆ นี้ บอกให้ฉันเผชิญหน้ากับพวกเขาแล้วระบายความในใจโง่ๆ ออกไปให้หมด ฉันตามใจเธอถึงขนาดนั้นยังต้องการอะไรอีกเรย์! หรือต้องให้ใช้คำหวานๆ พูดจาสุภาพกับคนที่เรียกฉันเป็นสัตว์ประหลาดและไม่เคยใยดีฉันเลยสักครั้งกันเธอถึงจะพอใจ!”
เรย์รู้วิธีรับมือความโมโหร้ายของเบนเป็นอย่างดี เพราะทั้งหมดที่เธอต้องทำคือนิ่งรอเท่านั้น รับฟังทว่าไม่โต้แย้งอย่างน้อยก็จนกว่ามาสเตอร์ของเธอจะสงบสติอารมณ์ได้มากกว่านี้
ไม่ใช่ว่าเธอจะยอมทนเป็นที่ระบายอารมณ์หรือกระสอบทรายของเขาเสมอไปหรอกนะ เรย์อาจจะรักเขาแต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่เผื่อที่ว่างไว้รักตนเอง เพราะหากเบนเริ่มพาลและพูดจาทำร้ายเธอเมื่อไหร่ เรย์จะเดินหนีทันทีนั่นคือสิ่งที่เธอตั้งใจไว้ ทว่ามันก็ไม่เคยเกิดขึ้น ตลอดเก้าปีที่เคียงข้างกันมา เขาไม่เคยทำร้ายเธอ เพราะแบบนั้นเธอจึงไม่เคยจากไปไหนเช่นกัน
เรย์เฝ้ามองไหล่หนาขยับขึ้นลงภายใต้เสื้อผ้าเนื้อดีอยู่หลายครั้งก่อนที่ความกราดเกรี้ยวจะบรรเทาลง เบนยกมือขึ้นลูบใบหน้า ดวงตาอ่อนแสงและเจือมาด้วยความรู้สึกผิดจางๆ
“ฉันขอโทษ” เบนกล่าวขึ้นมาในที่สุด เขาดูเปราะบางจนเกือบจะแตกสลาย เรย์จึงขยับเข้าไปใกล้และเอื้อมมือไปกุมมือเขาไว้ ไล้นิ้วโป้งไปตามข้อนิ้วเบาๆ เพื่อบรรเทาทุกอารมณ์ด้านลบที่ยังคงตกค้างอยู่ “มันแค่...การได้เห็นเขาทำให้ฉันหงุดหงิดเอามากๆ แต่ถึงอย่างนั้นฉันไม่ควรเอาไปลงกับเธอเลยจริงๆ”
“ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกัน”
“เรื่องอะไร?”
“ที่บังคับให้เบนเผชิญหน้ากับทุกอย่างทั้งที่ไม่พร้อม”
“เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษที่ฉันอ่อนแอหรอกเรย์ มันไม่ใช่ความผิดของเธอ” เบนถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความงี่เง่าของตนเองก่อนจะโน้มใบหน้าลงมา แนบหน้าผากของเขากับของเธอ อีกมือที่วางอยู่ยกมาประคองข้างแก้ม เรย์ทาบทับมือเล็กของเธอเข้ากับหลังมือหนา เอียงใบหน้าแนบรับสัมผัสของเขา “อีกอย่างเธอเพิ่งช่วยฉันจากการเผลอทำลายปราสาทหลังที่สองในชีวิตการเป็นเจได”
เรย์หลุดหัวเราะก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเบน แสงไฟสาดกระทบ ส่งผลให้ดวงตาของเขาทั้งเจิดจ้าและลุ่มลึกไปพร้อมกัน ทั้งแววตาและสัมผัสจากเบนทำให้เรย์รู้สึกเป็นที่ปรารถนา ลบเลือนหลายปีในวัยเยาว์ที่โดดเดี่ยวและรู้สึกไร้ค่าได้ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ
เรย์หวังให้ตนเองสามารถทำแบบเดียวกันให้เขาได้บ้าง ทว่าเบนไม่เหมือนเธอ เขายังมีพ่อและแม่ที่ห่วงหาในตัวเขาอยู่ เพียงแค่เธอไม่อาจทดแทนทั้งหมดนั้นให้เขาได้ ถ้าจะมีอะไรที่เธอทำได้ในขณะนี้ ก็คงเป็นการปลอมประโลมเขาเท่านั้น
เรย์เบียดขยับเข้าไปใกล้ขึ้น เลื่อนมือไปตามแขนแกร่งก่อนจะหยุดที่ท้ายทอยของเบนแล้วออกแรงดันเบาๆ เพื่อให้ริมฝีปากสัมผัสกัน ทั้งเรียกร้องและแต่ก็ตอบสนอง ส่งผลให้เกิดเสียงครางลึกในลำคอหนา เบนกางฝ่ามือแนบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเธอ ส่งระลอกของกระแสไฟฟ้าไปทั่วร่างเรย์
“เธอรสชาติเหมือนช็อคโกแลตเลย” เบนกระซิบชิดริมฝีปากของเธอ
“กำลังจะพูดพอดีเลย”
เบนยิ้มกว้าง ก่อนจะแนบรอยยิ้มนั้นเข้ากับรอยยิ้มของเธออีกครั้ง
Chapter 21: Episode 21 Torn Apart.
Chapter Text
งานเลี้ยงยังไม่เลิกราก็จริงทว่าสมควรแก่เวลาที่จะกลับได้แล้ว
เบนเดินกลับเข้าไปในงานเพื่อตามหาบรรดาสมาชิกเฟิร์สออเดอร์เพียงลำพังโดยให้เรย์นั่งรออยู่ข้างน้ำพุหินอ่อน ซึ่งเด็กสาวบอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกขอบคุณขนาดไหน การหัดใส่ส้นสูงเป็นครั้งแรกกำลังฆ่าเธอทั้งเป็น ค่ำคืนนี้ยาวนานและอ่อนล้าเกินกว่าที่เธอจะก้าวขาออกได้อีกแล้ว
เด็กสาวตัดสินใจว่าไว้ถ้าเบนตามตัวทุกคนได้ครบเมื่อไหร่เธอค่อยไปร่ำลาฮานและเลอาก่อนกลับอีกที พ่อแม่ของเบนน่ารักและดีกับเธอมากเหลือเกิน เกินกว่าจะเชื่อได้ว่าพวกเขาสร้างบาดแผลไว้ให้เบนมากมายเพียงไร ทว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ต่อให้เป็นถึงเจ้าหญิงหรือวีรบุรุษเราทุกคนย่อมต้องเคยทำเรื่องผิดพลาด ซึ่งความผิดพลาดของฮานและเลอาคือการเห็นมรดกของความสำเร็จสำคัญเหนือลูกชายของพวกเขาในช่วงเวลาหนึ่ง
เรย์ไม่ได้ใสซื่อหรือมองโลกในแง่ดีถึงขนาดที่คิดว่าเบนจะยอมให้อภัยพวกเขาและกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันได้ในวันนี้เดี๋ยวนี้ เพราะถ้าเรย์ได้เจอพ่อแม่ของเธออีกครั้ง สิ่งแรกที่เธอทำคงเป็นการตะโกนกรีดร้องใส่หน้าพวกเขาว่าทำไมถึงทิ้งเธอไปเหมือนกัน
เธอแค่หวังว่าสิ่งนี้จะสามารถช่วยบรรดาความหนักอึ้งในหัวใจของเบนได้บ้างเท่านั้น เพราะอย่างที่บอก เธอทดแทนทั้งครอบครัวให้เขาไม่ได้
...เธอไม่ได้สำคัญถึงขนาดนั้นและเขาจะไม่มีวันคิดกับเธอในแง่นั้น
เรย์ได้ยินเสียงความคิดของเบนตอนที่ฮานเรียกเธอว่าลูกสะใภ้ มีแต่คำว่าไม่และไม่เต็มหัวเขาไปหมด สิ่งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดที่กรีดหัวใจเธอเป็นริ้วเหมือนที่เป็นมาตลอดหลายปี เรย์ไม่เข้าใจมาสเตอร์ของเธอเอาเสียเลยจริงๆ เด็กสาวครุ่นคิดขณะถอดส้นสูงทั้งสองข้างออก
เขาจูบเธอ หวงแหนเธอ ทะนุถนอมเธอ ไม่ว่าใครที่มีตามองเห็นก็ยอมต้องรับรู้ได้ว่านั้นเกินกว่าสิ่งที่อาจารย์และลูกศิษย์ควรมีให้กันไปมากมายขนาดไหน ทว่าคนกระทำกลับไม่เคยจะยอมรับ เอาแต่ซ่อนตัวหลังช่องว่างที่ถูกยืดขยายด้วยอายุและตำแหน่ง
มาสเตอร์และพาดาวัน
เส้นแบ่งอันพร่าเลือนระหว่างเขาและเธอซึ่งไม่เคยมีอยู่จริง มันคงอยู่ได้เพียงเพราะเบนยืนยันที่จะปฏิเสธความรู้สึกของตนเองและผลักไสคำสารภาพของเธอออกไปเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็เลือนลาง เพราะว่าเขาไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ้นต์
เขาต้องการเธอ แต่กลับไม่ยอมรับเธอ ทำไมกัน...เรย์ถามตนเองเช่นนี้มาตลอดสามปีหลังจากที่ได้จูบแรกที่ชายหาดสคาริฟ
ทว่านี่จะเป็นครั้งที่เรย์ได้คำตอบ
“เพราะว่าเจ้าไม่มีค่าพอสำหรับเขาน่ะสิ”
คำตอบอันบิดเบี้ยวจากปีศาจร้ายตัวจริงที่ปรากฏตัวขึ้นในเงามืด
เสียงนั้นแหบพร่า ราวกับเปล่งผ่านจากลำคอซึ่งรุ่งริ่งด้วยบาดแผล แสงจากโคมหรี่ลงจนเกือบดับมอด ความมืดมิดเหยียดขยายไปทั่วสวนกว้าง อากาศที่เคยอบอุ่นก็พลันเปลี่ยนเป็นหนาวยะเยือก
เรย์ลุกขึ้นทันที ดวงตาสีฮาเซลนัทกวาดมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง
“ใครน่ะ!! เผยตัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
“ช่างเป็นการข่มขู่ที่ห้าวหาญเหลือเกินสำหรับเด็กน้อยผู้กำลังสั่นกลัว”
เรย์เลิกชายกระโปรงขึ้น หยิบไลท์เซเบอร์อันใหม่ที่เบนสร้างให้ออกมาจากซองที่ต้นขา เสียงหึ่งๆ และแสงสีเขียวสพร่างพราว ทว่ามันกลับไม่ช่วยให้รอบด้านสว่างขึ้นมาเลยสักนิด แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยเผยตัวคู่สนทนาให้เธอเห็น
ห่างไปไม่ถึงสิบก้าวคือร่างผอมชะลูดในชุดสีทองตัวยาว รอยแผลหน้าเกลียดเหมือนแผลไฟไหม้กินพื้นที่ซีกหน้าซ้ายจนหมด รอยยิ้มเหยียดแสยะราวกับเห็นเธอเป็นเพียงเด็กถือดาบของเล่นไม่ใช่เจไดผู้กุมไลท์เซเบอร์ เรย์สัมผัสได้ถึงด้านมืดอันล้ำลึกในตัวชายคนนี้ ดังห้วงกาแล็คซี่ซึ่งไม่มีดวงดาวใดเปล่งแสงได้ ต่อให้ดวงตาคู่นั้นเป็นสีฟ้าเรืองรองเหมือนดวงตาสัตว์ป่าไม่ใช่สีทองและแดงอย่างในตำราว่าไว้เธอรู้ถึงสถานะของอีกฝ่ายได้ทันที
...ซิธลอร์ด...
“เป็นไปไม่ได้ เจไดกำจัดพวกแกไปหมดแล้ว” เรย์เบิกตากว้าง ตื่นตระหนกจนเกือบจะเรียกได้ว่าขวัญเสีย ร่างในชุดสีทองหัวเราะลั่น
“สกายวอล์คเกอร์สอนเจ้ามาแบบนั้นเองหรือ ว่าด้านมืดสูญสิ้นไปพร้อมกับความตายของเวเดอร์ เรื่องโกหกทั้งเพ ก้มมองไปในวิญญาณของเจ้าเองก็ได้เด็กน้อย แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้าพูดถูก ความมืดมิดไม่เคยจากไปไหน”
“หุบปาก! ฉันไม่เหมือนแก!” เรย์ตวัดไลท์เซเบอร์หวังฟาดฟัน ทว่าเพียงอีกฝ่ายขยับมือเธอก็เหมือนถูกตรึงให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทรุดตัวลงคุกเข่ากลายเป็นคนที่ศิโรราบอย่างง่ายดาย ไลท์เซเบอร์ยังคงทำงานอยู่แต่เรย์กลับไม่อาจขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว
“เจ้ารู้ตัวเองดีเรย์แห่งแจคคู เจ้าสัมผัสถึงมันได้นับครั้งไม่ถ้วน ในยามที่ความเปลี่ยวเหงาของค่ำคืนกัดกิด ในตอนที่คำปฏิเสธเสียดแทงเจ้าครั้งแล้วครั้งแล้ว ในทุกโมงยามที่ถูกทอดทิ้งและถูกผลักไส...โดยมาสเตอร์ของเจ้าเอง”
“แกไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับฉันสักนิด” เรย์พยายามขืนตัวและใช้ฟอร์ซเข้าสู้แต่ก็ยังไม่อาจหลุดจากพันธนาการได้ อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป
“ไม่หรือ?” ร่างผอมในชุดสีทองแสร้งถามขณะเริ่มเดินวนแล้ววงกลมรอบตัวเด็กสาว สาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าเช่นนั้นแล้วความรู้สึกด้านลบทั้งหมดที่ข้ารู้สึกได้มันมาจากไหนกันละ ไร้ค่า ไม่เป็นที่ต้องการ ไม่เป็นที่ปรารถนา ยอมรับเสียเถอะเรย์แห่งแจคคู ว่าสำหรับเบน โซโลแล้วเจ้าไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าตัวแทนของครอบครัวซึ่งทอดทิ้งเขาไป ตัวแทนซึ่งไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันแทนที่ได้ และบัดนี้เมื่อได้ครอบครัวที่ว่ากลับคืนมา เจ้าก็ไม่จำเป็นสำหรับเขาอีกต่อไป”
“โกหก!!” เรย์แย้ง “เบนไม่...เบนไม่มีทางทำแบบนั้น...” ทว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาซึ่งจวนเจียนจะหลั่งรินอยู่ร่อมร่อ มันจึงดูเหมือนการปลอบย้ำให้ตนเองฟังมากกว่า ว่าเบนไม่ได้มองเธอไร้ค่าอย่างที่ชายคนนี้กล่าวอ้าง
“เช่นนั้นก็จงดูด้วยตาของเจ้าเอง”
นิ้วผอมแห้งขยับไหวในอากาศ ร่างของเรย์ถูกบังคับให้หันมองไปยังท้องพระโรงแห่งอัลเดอราน ที่ระเบียงไม่ไกลจากตรงนี้มากนักเธอเห็นเบนและฮานยืนคุยกัน แต่จากภาษากายและสีหน้าอันเคร่งเครียดแล้วน่าจะเรียกได้ว่ากำลังทะเลาะกันอยู่มากกว่า ทว่าไม่ถึงชั่วอึดใจเบนก็นิ่งไป เขายืนนิ่งในขณะที่ฮานยังคงพูดต่อ แล้วทันใดนั้นฝ่ามือหนาของโซโลคนพ่อก็วางลงบนบ่าของคนลูก
เรย์เฝ้ามองประกายในดวงตาเบนสั่นไหวก่อนจะกลายเป็นเต็มตื้น
ราวกับคนที่เพิ่งได้สิ่งล้ำค่าซึ่งทำหายไปเนินนานคืนกลับมา
“ดูเอาเถิด ทั้งที่เจ้ากำลังหวาดกลัวและร้องหา แต่เบน โซโลก็ยังไม่หันมองเจ้าเลยสักนิด เขาเลือกที่จะอยู่กับครอบครัวมากกว่าสละเวลามาช่วยเหลือเจ้า เจ้ามันไม่มีตัวตนเรย์แห่งแจคคู ไร้ค่าและไม่มีใครต้องการ”
เรย์เองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าชายคนนี้พูดถูก ตลอดหลายปีแห่งความสับสน ทั้งที่ได้รับการเอาใจใส่แต่ก็เหมือนถูกผลักไส อยู่ในสายตาแต่ก็ไม่เคยถูกเหลียวแล กำแพงสูงที่กางกั้นไม่ใช่เกิดจากอายุและสถานภาพอย่างที่เคยเข้าใจ แต่เป็นเพราะเธอเองที่ไม่มีค่ามากพอที่จะได้รับความรักจากเขา
ความหวาดกลัว น้อยใจ ผิดหวัง กราดเกรี้ยวจนเกือบเป็นเคียดแค้น ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาพร้อมๆ กันราวกับสายน้ำเชี่ยว ไม่ ไม่ นี่ไม่ใช่ความรู้สึกของเธอ ต่อให้เสียใจขนาดไหนเธอก็ไม่มีวันที่จะเกลียดเบนได้ แต่เป็นชายคนนี้ต่างหากที่ยัดเยียดด้านมืดเข้ามาในหัวใจของเธอ
เรย์ตระหนักได้ก็จริง ทว่าเธอทั้งอ่อนแอและแตกสลายเกินไปจึงไม่อาจขัดขืน หยาดน้ำไหลลงมาตามแก้มช้าๆ เธอหลับตาลงในจังหวะเดียวกับที่ร่างในชุดสีทองวางมือลงบนศีรษะ
“นามของข้าคือสโน้ค และนับจากนี้ข้าจะเป็นคนขัดเกลาพรสวรรค์เจ้าเอง”
และเมื่อเด็กสาวลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สีน้ำตาลปนเขียวก็ถูกแทนที่ด้วยสีทองประกายแดง เช่นเดียวกับไลท์เซเบอร์ในมือที่กลายเป็นสีแดงก่ำราวกับกำลังหลั่งเลือด
“ค่ะ มาสเตอร์”
เบนหาโพกับฟินน์เจอแล้ว
เขาบอกอย่างกึ่งบังคับให้สองคนนั้นไปเตรียมยานในขณะที่เขาเดินตามหาอาร์มิเทจและฟาสม่าต่อ ฟินน์โอดครวญนิดหน่อยเพราะดูเหมือนจะติดใจความหรูหราของของเครื่องดื่มและอาหารเข้าให้แล้ว แต่พอเห็นสายตาขุ่นๆ ของเบนก็เงียบปากและยอมตามโพไปแต่โดยดี
เบนเดินวนไปถึงระเบียงอีกด้านเพื่อตามหาสมาชิกที่เหลือ ทว่าแทนที่จะได้พบอาร์มิเทจ เขากลับเจอเข้ากับฮานอย่างจัง สองพ่อลูกยืนจ้องตากันอยู่ชั่วอึดใจ เป็นเจไดหนุ่มที่ละสายตาไปก่อนแล้วหมุนตัวกลับ
“เบน!” ฮานเรียกรั้ง เบนน่าจะเดินหนี เขาควรจะทำแบบนั้นแท้ๆ ทว่าเศษเสี้ยวเล็กๆ ของเด็กชายเบนจาร์มินผู้เรียกร้องหาพ่อตลอดเวลาในตัวเขากลับไม่ยอมขยับไปไหน ซ้ำยังหันกลับไปเผชิญหน้าด้วยอีกต่างหาก
“พ่อขอโทษ” ฮานกล่าวซ้ำเป็นครั้งที่สองของค่ำคืนนี้ ทว่าไม่เหมือนครั้งแรก น้ำเสียงของเขาสั่นเครือจนเกือบคล้ายกำลังอ้อนวอน “มันแค่...พ่อหวังว่า...”
“ไม่ต้องหวังอะไรทั้งนั้นแหละเพราะมันสายเกินไปแล้ว!” เบนตะโกนใส่หน้าฮานอย่างเหลืออด นับว่ายังดีที่ตรงนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ เขาจึงสามารถระเบิดอารมณ์ได้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงว่าจะกระทบเลอา “คุณไม่เคยอยู่ในตอนที่ผมต้องการเลยสักครั้ง เอาแต่ออกเดินทางไปทั่ว ไม่เคยพยายามจะเข้าใจสิ่งที่ผมเป็นแล้วก็ผลักภาระให้คนอื่นตลอด ทิ้งผมไว้บนดาวร้างกับลุงลุคแล้วก็ไม่เคยเหลียวมองกลับมาอีกเลย”
“เราแค่คิดว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก อยู่กับผู้ใช้ฟอร์ซเหมือนกันน่าจะทำให้…”
“อย่ามาใช้คำว่าเรา! ผมได้ยินสิ่งที่คุณกับแม่คุยกัน เป็นคุณที่ออกความคิดให้ผมไปอยู่กับลุง ขับไล่ไสส่งเหมือนผมเป็นสัตว์ประหลาดเพียงเพราะคุณยอมแพ้ที่จะพยายามหาทางเข้าใจผม!!!”
และสิ่งนั้นบาดเบนเป็นแผลที่ลึกเกินจะเยียวยาเสมอมา มันทำให้เขามีปัญหาที่จะเปิดใจหรือผูกสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง เพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งทุกสิ่งจะซ้ำรอยเดิมอีกครั้งหรือไม่ก็เป็นเขาเองนั้นแหละ ที่เผลอตัวทำร้ายคนที่เขาห่วงใย
ไหล่ของฮานลู่ตกลงมาอย่างชัดเจน น้อมรับในความผิด ในขณะที่เบนหอบหายใจหนักหน่วงพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่ สัมผัสของเรย์จากเมื่อครู่ซึ่งยังตกค้างอยู่บนร่างกายเป็นสิ่งเดียวที่ค่อยรั้งไม่ให้เขาหน้ามืดตามัวเผลอทำอะไรที่อาจจะเสียใจในภายหลัง เจไดหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก แต่พอหันหลังจะเดินหนี ฮานก็เอ่ยขึ้นพอดี
“ลูกพูดถูก จะไม่มีการแก้ตัวหรือพูดเอาตัวรอดใดๆ ทั้งสิ้นพ่อแค่...ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ทำให้ลูกรู้สึกนะเบน พ่อไม่ได้คาดหวังถึงขนาดว่าลูกจะยอมให้พ่อกลับเข้ามาในชีวิต พ่อแค่หวังว่าสักวันลูกจะอภัยให้พ่อได้บ้าง แค่นั้นแหละ”
ฮานก้าวเข้ามาใกล้ อย่างลังเลก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของเขา เบนแปลกใจตนเองไม่น้อยที่ไม่ได้สะบัดหนีไปเสียก่อน เขาได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความร้อนจากฝ่ามือของผู้เป็นพ่อซึมซาบผ่านเนื้อผ้าเข้ามา
“ผม...”
และในวินาทีก่อนที่คำพูดจะผ่านออกจากริมฝีปากของเขา
ตูม!!
เสียงระเบิดก็ดังขึ้นเสียก่อน ผสมปนเปมากับเสียงกรีดร้อง ฮานและเบนคู้ตัวลงตามสัญชาตญาณ เจไดหนุ่มหันมองไปรอบๆ ค้นหาที่มาของเสียง
ตูม!!
“เบนระวัง!!”
เสียงระเบิดอีกลูกดังขึ้นจากขวามือ บานหน้าต่างแตกละเอียดปลิวว่อนไปทั่ว ก่อนที่เบนจะทันรู้ตัวฮานก็กระโจนเข้ามา ดึงเขาเข้าไปกอดไว้แล้วหันหลังรับคมแก้วไว้เสียเอง หูของเบนอื้ออึงด้วยเสียงวิ้งๆ เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและเลือดที่ไหลอาบใบหน้า ดูเหมือนว่าจะมีสะเก็ดระเบิดไม่ก็แก้วส่วนหนึ่งกระเด็นมาโดนเขาอยู่ดี
“ลูกไม่เป็นอะไร...ใช่มั้ย...” ฮานถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักก่อนจะเป็นฝ่ายทรุดล้มลงไปเสียเอง เผยให้เห็นกระจกชิ้นใหญ่ซึ่งปักเสียบอยู่กลางแผ่นหลัง ชุดสูทกลายเป็นสีเข้มขึ้นเพราะเลือดที่อาบย้อม
“พ่อ!!” เบนร้องเรียกอย่างลืมตัว งานฉลองกลายเป็นความโกลาหลเมื่อแขกทุกคนพยยามหนีตาย เบนเห็นเลอาแล้ว ปลอดภัยดีและไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เธอกำลังชี้สั่งให้ทหารยามกระจายกำลังไปรอบๆ เพื่อทำภารกิจช่วยเหลือและค้นหาต้นตอของระเบิดเหล่านี้
“ลุงชิวอี้!!” เจไดหนุ่มเรียกเมื่อเห็นร่างสูงเด่นซึ่งขนสีน้ำตาลรุงรังเดินผ่านไปไวๆ อีกฝ่ายหยุดเท้าและเดินถอยหลังกลับมาทันทีก่อนจะคำรามลั่นเมื่อเห็นเพื่อนรักนอนจมกองเลือด “มาช่วยพยุงพ่อหน่อยผมต้อง...”
เบนเป็นฝ่ายชะงักไปบ้างเมื่ออยู่ๆ ความรู้สึกวูบโหวงก็เหยียดขยายขึ้นในอก ราวกับหัวใจถูกช่วงชิงไปโดยมือที่มองไม่เห็น
...เรย์...
ตัวตนของเรย์หายไปจากการรับรู้ของเขา ราวกับสายสัมพันธ์ถูกสะบั้น ไม่ว่าจะค้นหาเท่าใดก็ไม่อาจพบเจอ เบนลุกพรวด เอ่ยรัวเร็วจนลิ้นแทบพันกันว่าฝากชิวอี้ดูแลฮานต่อด้วยแล้ววิ่งกลับไปยังสวนกุหลาบ เขาหยิบไลท์เซเบอร์ขึ้นมาจากในอกเสื้อ แสงสีฟ้าปรากฏพร่างพราวทว่ารอบด้านก็ยังมืดมิดเกินไปอยู่ดี
มีร่องรอยของฟอร์ซด้านมืดตกค้างอยู่ทั่วบริเวณไปหมด
“เรย์!!” เบนตะโกนเรียกหาพาดาวันของเขาทว่าว่างเปล่า มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่สะท้อนคำเรียกขานของเขากลับมา เขาวิ่งวนไปมาเหมือนคนบ้า ตามหาร่องรอยของเธอไปทั่วทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าแสงสว่างได้ถูกพรากไปแล้ว เรย์จากไปแล้ว
เบนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนถูกมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์รั้งไหล่ไว้
ลุงลุคของเขาไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้นนอกจากลากเขากลับไปทำแผล ความร้อนรนและโศกเศร้าทำให้เจไดหนุ่มแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิดในขณะที่ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็เบือนหน้าใส่ด้วยความสยดสยองไปตามๆ กัน จากหน้าผากพาดเฉียงผ่านแก้มขวา และลากยาวไปจนเกือบถึงไหล่ แผลฉกรรจ์บาดลึกซึ่งจะกลายเป็นรอยแผลเป็นอย่างไม่ต้องสงสัย หากฮานไม่เอาตัวเข้ามาช่วยบังไว้บางทีเขาอาจคอขาดไปเลยก็เป็นได้
ตอนนี้สถานการณ์เริ่มสงบลงแล้วเนื่องจากมีระเบิดแค่สี่ลูกเท่านั้น ยังไม่มีใครเสียชีวิตทว่าบาดเจ็บกันมากโข ซึ่งฮานและเบนดันบังเอิญอยู่ใกล้ระเบิดลูกที่สองพอดีจึงได้แผลหนักกว่าใคร
ฮานยังมีชีวิตอยู่ แม้จะเสียเลือดมากจนต้องอาศัยอุปกรณ์พยุงชีพมากมายก็ตาม เลอานิ่งมากจนเรียกได้ว่าน่ากลัว แขกมากมายถูกโจมตีใต้หลังคาบ้านของเธอ ในการดูแลของเธอ สามีเจ็บหนักและลูกชายซึ่งไม่ได้พบหน้ามานานปีต้องมามีแผลฉกรรจ์ ไม่ว่าใครก็ตามทำเรื่องเช่นนี้จะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสมแน่นอน
สำหรับสมาชิกเฟิร์สออเดอร์ ฟาสม่ามีเพียงรอยข่วนเท่าขนแมวตามแขน ในขณะที่อาร์มิเทจมีเลือดไหลอาบหางคิ้วขวา ฟินน์วิ่งกระหืดกระหอบตามมาสมทบในที่สุด ชุดสูทกำมะหยี่เปื้อนฝุ่นเล็กน้อยแต่ไม่มากไปกว่านั้น สตอร์มทรูปเปอร์ผิวสีหันมองไปรอบๆ อย่างร้อนรนเมื่อไม่เห็นเงาของเพื่อนสนิท
“เรย์ละ เรย์ไปไหน?” ฟินน์ถาม ยิ่งเห็นแผลบนหน้าเบนและอาการนิ่งเงียบเขาก็ยิ่งสติแตก “พวก! ใครก็ได้บอกทีเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราอยู่กันที่โรงเก็บยานแล้วก็ได้ยินเสียงตูมตาม พอกลับมาอีกทีก็โกลาหลไปหมดแล้ว แล้วเรย์ละ? บอกทีว่าพีนัทแค่อยู่กับดรอยด์พยาบาลไม่ก็...ไม่ก็กำลังเดินหลงอยู่ก็ได้ มาสเตอร์โซโล...”
ฟินน์หันมาทางเบนในตอนท้าย คาดคั้นและอ้อนวอน ทว่ามีเพียงความนิ่งเงียบเท่านั้นที่คืนกลับมา เบนหลุบตาต่ำ ไม่มองสบตาใครทั้งนั้นในขณะที่ดรอยด์รูปร่างกลมเกลี้ยงขนาดเท่ากำปั้นกำลังเย็บแผลให้เขา
“เธอถูกลักพาตัวไปโดยผู้ใช้ฟอร์ซด้านมืด”
ประโยคอธิบายจากมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ทำให้ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึงไม่ต่างกัน
“เดี๋ยวๆ” ฟินน์โวยวายเหมือนเคย “ฟอร์ซมืดแบบที่พวกซิธใช้น่ะนะ? ผมนึกว่าสูญพันธุ์กันไปหมดแล้วเสียอีก”
“ไม่หรอก ตราบใดที่ยังมีแสงสว่าง ความมืดก็จะยังมีตัวตนอยู่เสมอ” ลุคตอบ ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองไปทางหลานชายอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันมองคู่สนทนาตามเดิม “อยู่ที่ว่าจะเผยตัวออกมาเมื่อไหร่เท่านั้น”
“แล้วคนพวกนั้นจะเอาตัวเรย์ไปทำไมกัน?” ฟินน์ยังไม่สิ้นความสงสัย
ทว่าคนตอบในครั้งนี้คืออาร์มิเทจ
“เพื่อฝึกฝนให้กลายเป็นซิธเหมือนพวกมันสินะ อาศัยระเบิดเบี่ยงเบนความสนใจแล้วพาตัวไปตอนกำลังชุลมุน เธอยังเป็นแค่พาดาวันไม่ใช่เจไดเต็มตัว ยังเป็นไม้อ่อนที่ง่ายดายที่จะดัด ผมเสนอให้ท่านวุฒิสมาชิกออร์กาน่าส่งคนไปคุ้มกันเด็กๆ คนอื่นที่ดาวคัมพารัสด้วยจะเป็นการดีกว่า ไม่แน่ที่ต่อไปที่พวกนั้นโจมตีอาจจะเป็นที่นั่นก็ได้”
“สายไปแล้วนายพลฮักซ์” ลุคกล่าว สีหน้าโศกเศร้าระคนกราดเกรี้ยว “พาดาวันของฉันถูกลักพาตัวไปเหมือนกัน เด็กรุ่นราวคราวเดียวเรย์ทั้งหมดเจ็ดคน”
เขาเพิ่งได้รับแจ้งหลังเหตุระเบิดไม่นานนี่เองว่าวิหารเจไดที่คัมพารัสถูกโจมตีเป็นกองกำลังถืออาวุธครบมือที่สวมเกราะปิดบังใบหน้าผสมกับหุ่นดรอยด์ทหารอีกจำนวนหนึ่ง นับว่าโชคดีที่เด็กเล็กถูกส่งไปทัศนศึกษาที่คอรัสซัง ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาอาจไม่เหลือลูกศิษย์เลยสักคนก็เป็นได้
เห็นได้ชัดว่าตัวคนบงการไม่ได้หมายตาแค่เรย์เท่านั้น ทว่าต้องการฟื้นฟูนิกายแห่งด้านมืดขึ้นมาอีกครั้ง คำถามคือทำไมต้องลงมือตอนนี้ หากรอมาได้ตั้งหลายปีทำไมไม่ฝึกผู้ใช้ฟอร์ซให้เป็นด้านมืดเสียแต่แรก ทำไมต้องทำเรื่องยุ่งยากอย่างลักพาตัวเจไดไปเพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นซิธด้วย
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดี” ท่าทางของฟินน์เต็มไปด้วยความกังวลเช่นเดียวกับน้ำเสียง
“ยังต้องถามอีกเหรอ” เบนขยับตัวส่งผลให้ทุกสายตามุ่งมาทางเจไดหนุ่ม รอยแผลยาวเหยียดได้รับการเย็บประสานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังแดงช้ำและดูเจ็บมากอยู่ดี “ตามหาเรย์ พาทุกคนกลับบ้านและทำลายความมืดให้หมดสิ้น นั่นแหละคือสิ่งที่เราจะทำกัน”
เบนไม่ต้องการความยุติธรรม ไม่มีความคิดแม้แต่เสี้ยวเศษว่าจะต้องพาซิธลอร์ดคนนั้นมาขึ้นศาลเพื่อรับโทษให้ได้ด้วยซ้ำ เขาอยากจะบดขยี้ทุกอย่างที่เป็นสาเหตุให้ในอกเขาว่างเปล่าเหมือนเป็นโพรงลึก ฆ่าฟันทุกสิ่งที่บังอาจมาพรากแสงสว่างของเขาไป
“เดี๋ยวก่อนโซโล” อาร์มิเทจแย้งเหมือนเคย “ถึงฉันจะร้อนใจและเป็นห่วงเด็กๆ พวกนั้นเหมือนกันก็เถอะ แต่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังตามหาใครหรืออะไรกันแน่ เจ้าซิธลอร์ดคนที่ว่าเนี่ยอาจเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”
“เรื่องนั้นฉันอาจจะช่วยได้นะ” เสียงของโพดังขึ้น ยังความแปลกใจให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก ทั้งจากการที่โผล่มารวมกลุ่มช้าที่สุด เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นดินยิ่งกว่าใครและชุดที่หลุดหลุ่ยจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม ทว่าเจ้าตัวกลับเท้าสะเอวพลางฉีกยิ้มกว้าง ในขณะที่บีบีเอ็ทซึ่งกลิ้งตามมาติดๆ เหวี่ยงร่างหนึ่งลงกลางวงล้อม
ร่างซึ่งมีผิวหยาบหนาเป็นสีเขียวแก่ มีหางยางเหมือนกิ้งก่าทว่ากลับยืนสองขาได้ และร่างนั้นแน่นิ่งหมดลมหายใจไปแล้ว
“ลิซซาเลี่ยน?” อาร์มิเทจเลิกคิ้วสูง ประหลาดใจไม่น้อยที่ได้พบกลุ่มก่อการร้ายสัตว์เลื้อยคลานซึ่งเขาทำการกวาดล้างไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนในวังหลวงแห่งอัลเดอราน แต่ทันใดนั้นทุกอย่างก็เข้าเค้า ทั้งความทะเยอทะยานยากอันผิดวิสัยเผ่าพันธุ์และอาวุธทันสมัยซึ่งไม่น่าจะมีครอบครองได้หากไม่ใช่เพราะมีคนสนับสนุน
“เจอมันกำลังจะวางระเบิดโรงเก็บยาน ก็เลยสู้กันแล้วจับตัวมาได้แต่มันดันชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน” โพอธิบาย “อาจจะไม่ได้ช่วยบอกตัวซิธลอร์ดคนนั้นได้ แต่ถ้าเราสาวเอาจากลูกกระจ๊อกไปเรื่อย ยังไงคนบงการก็ต้องโผล่หางมาแน่นอน”
ลุคไม่รอช้าที่เดินไปหาเลอาทันทีเพื่อแบ่งปันข้อมูล ฟินน์ตบไหล่โพอย่างขอบคุณในความหวังนี้ ฟาสม่าและอาร์มิเทจต่างติดต่อไปยังยานหลักกันเป็นพัลวัน ในขณะที่เบนแหงนหน้ามองดวงดาวเบื้องบน ให้สัญญากับตนเองว่าไม่ว่ายังไงเขาจะต้องได้เรย์กลับคืนมาในอ้อมแขน
ต่อให้ต้องฉีกกระชากทั้งกาแล็คซี่จนเป็นแผลหรือเข้ารวมกับด้านมืดไปด้วยอีกคนก็ตามที
Chapter 22: Episode 22 You’re My Guest
Chapter Text
เบนไม่เคยถอดใจแม้แต่วินาทีเดียวในการตามหาตัวพาดาวันของเขา
แม้ว่าจะผ่านมานานถึงสามปีแล้วก็ตาม
ทั้งสาธารณรัฐกาแลคติกใหม่และเฟิร์สออเดอร์ต่างทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีในการค้นหาเหล่าซิธ แม้แต่ร่องรอยของด้านมืดเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาไปได้ ทางสภาทำไปด้วยหวาดกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเมื่อครั้งความมืดเรืองอำนาจ ในขณะที่ทางเฟิร์สออเดอร์...ให้จำเพาะกว่านั้น...เบนทำไปเพราะต้องการตามหาเรย์ล้วนๆ
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่เขาอยากเจอ
เบนสาบานได้เลยว่าเขาไล่ล่ากิ่งก่าพวกนั้นดุเดือดยิ่งกว่าสุนัขล่าเนื้อเสียอีก อีกนิดน่าจะเรียกว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าความพยายามทั้งหมดช่างสูญเปล่า เจ้าพวกนั้นเป็นแค่ทหารชั้นเลวซึ่งไม่รู้ความอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองทำงานให้ใครหรือทำไปเพื่ออะไร รู้แค่ว่าต้องทำอะไรก็เท่านั้น
ลุคเองก็ไม่ได้ต่างจากเบนมากนัก เขามอบหมายพาดาวันเด็กเล็กที่เหลืออยู่อีกห้าคนให้เจไดคนอื่นรับไปดูแล หนึ่งพาดาวันต่อหนึ่งมาสเตอร์เหมือนครั้งนิกายยังรุ่งโรจน์ ในขณะที่ออกเดินทางอย่างโดดเดี่ยวเพื่อตามหาลูกศิษย์อีกเจ็ดคนที่โดนลักพาไปเช่นกัน แม้จะชัดเจนว่าทั้งหมดถูกซิธคนเดียวกันพาตัวไป แต่ลุคคิดว่าเรย์น่าจะได้รับการปฏิบัติที่ต่างจากคนอื่น แยกกันฝึกฝน ถูกขัดเกลาด้วยวิธีที่แตกต่าง
‘เธอรู้ดีว่าฉันหมายถึงอะไรเบน’ มาสเตอร์สกายวอลค์เกอร์กล่าวและเบนทำได้เพียงนิ่งเงียบ
พลังของเขาและเรย์เจือปนด้วยด้านมืดมากเกินไป ทว่าในขณะที่เขาเติบโตเป็นเจไดเต็มตัวซึ่งแข็งแกร่งเกินจะแตะต้อง เรย์กลับยังอ่อนเยาว์และเปราะบางอยู่มาก เป็นเป้าหมายที่ง่ายดายแก่การถูกช่วงชิง เขาน่าจะรู้ดีกว่านี้ เขาไม่ควรทิ้งเธอไว้คนเดียวเลยจริงๆ
“พอสักทีเถอะน่าโซโล” เสียงของโพฉุดเบนขึ้นมาจากภวังค์ ดวงตาของนักบินหนุ่มมองตรงไปข้างหน้าในขณะที่มือซ้ายปรับแผงควบคุมเตรียมนำยานลงจอดยังดาวเป้าหมาย เบนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้ช่วยนักบินหันศีรษะไปทางคนที่เรียกนามสกุลเขาเดี่ยวๆ โดยไม่มีคำว่ามาสเตอร์นำหน้ามาได้ปีกว่าแล้ว
“อะไร?” เจไดหนุ่มถามกลับ
“แค่เห็นนายขมวดคิ้วก็รู้แล้ว หยุดโทษตัวเองที่เรย์ถูกลักพาตัวไปเสียทีเถอะ มันทำฉันเครียดไปด้วย” โพตอบกลับเสียงเบาเพราะไม่อยากรบกวนฟินน์ที่กำลังนอนกรนอยู่ด้านหลังในขณะที่บีบีเอทนั่นตรงข้าม เพราะเจ้าดรอยตัวกลมกำลังใช้แขนกลของมันวาดหนวดเติมให้ฟินน์อยู่
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าโซโล ครั้งนี้เราจะต้องได้เบาะแสของเรย์แน่ๆ ฉันมั่นใจ”
“ให้มันเป็นแบบนั้นเถอะ” เบนพึมพำตอบในขณะที่ช่วยโพนำยานลงจอด
เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวลือมาว่ามีคนเห็นผู้ใช้พลังด้านมืดแถวระบบดาวอิลลีเนียม สวมใส่เสื้อผ้าสีดำและถือไลท์เซเบอร์สีแดง คนๆ นั้นหายไปก่อนที่เฟิร์สออเดอร์จะไปถึง ทิ้งไว้เพียงซากศพและคาวเลือดอันไร้ความหมายราวกับเป็นเพียงความบันเทิงอย่างหนึ่งเท่านั้น
หลังจากนั้นก็มีรายงานการพบเห็นซิธมากขึ้นเรื่อยๆ เจไดทุกคนเริ่มสัมผัสได้ถึงด้านมืดที่คืบคลานแผ่ขยาย แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีวี่แววของพาดาวันสักคนปรากฏขึ้นมาให้เห็นรวมทั้งเรย์ก็ด้วย
ท่ามกลางความหวังอันริบหรี่ฮานเสนอแนะให้เบนลองมาที่นี่ ยังดวงดาวเขียวชะอุ่มที่ชื่อทาโคดานะเพื่อซื้อข่าวจาก มาซ คาตานะ อดีตราชินีโจรสลัดซึ่งเกษียณตนเองมาทำโรงเหล้าอันเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูลชั้นยอดของบรรดานักขนของเถื่อน
“ฉันรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงไม่รู้”
ฟินน์กล่าวขณะเดินตามเบนและโพเข้าไปในโรงเหล้าหรืออีกนัยหนึ่งปราสาทสีเทาทะมึนซึ่งถูกประดับประดาด้วยธงจากหลากหลายระบบกาแล็คซี่ ภายในค่อนข้างมืดครึ้ม ทั้งอึกทึกด้วยเสียงเพลงและกลิ่นแอลกอฮอล์ ลูกค้ามีหลากขนาดรูปร่างและหลากสีสัน ทว่าที่เหมือนกันคือทุกคนต่างพร้อมใจกันหยุดคุยแล้วหันมาทางพวกเขาเป็นตาเดียว
“ทำไมต้องเป็นปราสาทด้วย ทำไมไม่เป็นโรงนา ร้านอาหารหรือห้องสมุดบ้าง เวลาทำภารกิจที่มีปราสาทเกี่ยวข้องด้วยทีไรมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นทุกทีเลย” ฟินน์ยังไม่เลิกวิตกกังวล สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มเดินตัวลีบเบียดเข้าใกล้กลุ่มมากขึ้นอย่างหวาดๆ เช่นเดียวกับบีบีเอทที่แทบจะเข้ามาพันแข้งพันขาโพได้อยู่ร่อมรอ
นับว่ายังดีที่ทั้งสามปลอมตัวมาในชุดเสื้อผ้าทะมัดทะแมงไม่ใช่เครื่องแบบเจไดหรือเฟิร์สออเดอร์เหมือนเคย ไม่อย่างนั้นนอกจากสายตาจ้องจับผิดแล้วอาจจะมีปากกระบอกปืนเล็งแถมมาด้วยก็เป็นได้ ทว่าการที่เบนเลือกจะสวมเสื้อแขนยาวสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กดำและคาดซองปืนหนังรอบเอวก็ไม่ได้ทำให้อะไรง่ายดายขึ้นอยู่ดี
เพราะนั่นยิ่งทำให้เขาดูเหมือนอดีตนักขนของเถื่อนชื่อก้องผู้ก่อเรื่องไปทั่วกาแล็คซี่มากยิ่งขึ้นไปอีก
“ฮาน โซโล!!”
เสียงหนึ่งตวาดเรียกมาจากอีกฝากห้อง ทั้งโพและฟินน์ย่นคอห่อไหล่พร้อมกัน เอาแล้วไงเป็นเรื่องจนได้
รองเท้าไอพ่นทำให้อีกฝากดีดตัวมาหยุดอยู่ต่อหน้าทั้งสามได้ในพริบตา ร่างนั้นเล็กจ้อย เรียกได้ว่าสูงพอๆ กับบีบีเอทด้วยซ้ำ ผิวเป็นสีส้มตุ่นๆ เหี่ยวย่น ดวงตาเล็กแทบจะจมหายไปกับเป้าตาซึ่งบุ๋มลึก อีกฝ่ายสะกิดแว่นตาอันหนาเหมือนก้นขวดที่คาดอยู่บนศีรษะลงมา หลังนิ่งมองอีกครู่ก็พ่นลมหายใจพรืดแล้วกอดอกอย่างอารมณ์เสีย
“ไม่ใช่ฮาน โซโลนี่น่า แย่จริงนึกว่าจะได้เจอชิวอี้เสียอีก”
เพียงเท่านั้นลูกค้ารอบด้านก็กลับไปพูดคุยดื่มกินกันตามเดิมอย่างรวดเร็วจนเรียกได้ว่าน่าประหลาดใจ ฟินน์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ยังไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นในขณะที่เบนโพลงถามร่างเล็กจ้อยออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดเสียเวลาหยั่งเชิงว่าคนที่กำลังคุยอยู่กันเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
“เราต้องการพบมาซ คานาตะ”
“ซึ่งเราที่ว่าคือใครกันละ?” เธอถามกลับ ไล่เรียงมองพวกเขาทีละคนด้วยดวงตาคมปลาบราวกับจะเห็นทะลุไปถึงวิญญาณ “ทหารของภาคี นักบินจากสาธารณรัฐ หรือเจไดแห่งแสงสว่าง”
โพอ้าปากค้างไปแล้วในขณะที่ฟินน์หน้าเหวอสุดขีดเนื่องจากในตัวพวกเขาไม่มีที่น่าจะสื่อได้เลยสักนิดว่าเป็นคนของเฟิร์สออเดอร์หรือมีความเชี่ยวชาญด้านในบ้าง ในขณะที่เบนกลับทำเพียงนิ่งมองร่างเล็กกว่าแล้วเอ่ยเสียงดังฟังชัด
“คุณคือมาซสินะ”
อดีตราชินีโจรสลัดยิ้งกว้างยืนยันข้อสันนิษฐานนั้น
หลังจากนั้นมาซก็พาทุกคนไปนั่งยังโต๊ะตัวในสุด
ทั้งยังสั่งเครื่องดื่มและอาหารมากมายมาเลี้ยงต้อนรับ มาซอธิบายให้ฟังว่าแม้จะไม่ใช่เจไดแต่เธอเองก็เป็นผู้ที่มีสัมผัสถึงพลังแกร่งกล้ามากคนหนึ่ง และเมื่อรวมเข้ากับใบหน้าที่เหมือนฮานสมัยหนุ่มๆ เสียยิ่งกว่าโขลกพิมพ์ของเบน จึงเดาได้ไม่ยากว่าเจไดของเฟิร์สออเดอร์และบรรดาผู้ติดตามเป็นใครกันแน่
“อยากรู้อะไรบ้างละ” มาซตัดเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว
“ร่องรอยเกี่ยวกับซิธและด้านมืดทั้งหมดที่คุณรู้” เบนถาม ไม่สนใจแม้แต่จะปรายตามองอาหารบนโต๊ะในขณะที่ฟินน์ยัดคุกกี้เข้าปากไปแล้ว เช่นเดียวกับโพที่หยิบแก้วน้ำขึ้นจิบ
“กว้างไปพ่อหนุ่ม กว้างเกินไปมาก ตอนนี้ทั้งกาแล็คซี่พูดคุยกันอยู่แต่เรื่องเดียวเท่านั้นว่าความมืดจะกลับมาเรืองอำนาจได้อีกหรือไม่ ทุกคนหวาดกลัวและเพ้อกันไปต่างๆ นาๆ ดังนั้นข้าคงต้องให้เจ้าเฉพาะเจาะจงกว่านี้แล้วแหละ”
“ที่จริงแล้วเรากำลังตามหาเจไดคนหนึ่งเป็นพิเศษ” ฟินน์กดเสียงต่ำราวกับยังกลัวว่าใครอาจจะมาได้ยินเข้าแม้ว่าโต๊ะตัวนี้จะตั้งอยู่ด้านในสุดและห่างไกลจากโต๊ะอื่นมากก็ตาม “เป็นเด็กสาว ตอนนี้น่าจะอายุสิบเก้าแล้ว สูงห้าฟุตเจ็ดนิ้ว ผมสีน้ำตาลชอบมัดเป็นทรงแปลกๆ สามจุก แต่ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้เธอยังทำทรงนั้นอยู่หรือเปล่า เธอมีไลท์เซเบอร์สีเขียว แต่ไม่สิ ตอนนี้มันน่าจะกลายเป็นสีแดงแล้วมากกว่า แต่ไงก็เหอะ เธอกินเก่งมากๆ แบบมากๆ เหมือนมีหลุมดำในกระเพาะแล้วก็...”
“ไม่ใช่ว่าเจ้ากับพาดาวันของเจ้าเชื่อมโยงกันด้วยพลังอยู่แล้วหรอกหรือเบนจาร์มิน” ทว่ามาซกลับเมินเฉยฟินน์โดยสิ้นเชิงแล้วหันไปพูดคุยกับเบน “ใช้มันตามหาเธอสิ หลับตาลงแล้วสัมผัสถึงพลังที่เคลื่อนไหวอยู่ในทุกสรรพสิ่ง ทั้งในแสงสว่างและความมืด ให้มันนำทางเจ้า”
“ผมลองแล้ว ลองมาตลอด” เบนเล่าด้วยน้ำเสียงติดจะขมขื่นและผิดหวัง “แต่มันถูกปิดกั้นไว้โดยพวกซิธ เพราะแบบนั้นผมเลยไม่ได้ยินและไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนอกจากความมืด”
“โธ่เด็กน้อย” มาซส่ายหน้า “สายสัมพันธ์ที่เกิดจากพลังจะถูกสะบั้นได้ด้วยวิธีเดียวเท่านั้นคือความตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต่อให้เป็นแกรนด์มาสเตอร์หรือซิธลอร์ดก็ไม่อาจขัดขวางโชคชะตาที่พลังถักทอไว้ให้ได้ ไม่หรอก...พาดาวันของเจ้าจงใจปิดกั้นสายสัมพันธ์นี้ด้วยตนเองต่างหาก”
เบนลุกพรวดตั้งแต่มาซยังไม่ทันได้เอ่ยจนจบประโยคดีด้วยซ้ำ สันกรามขบแน่นจนแทบจะได้ยินเสียง
“เราหมดธุระกับที่นี่แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะซื้อข้อมูลจากหญิงชราสติฟั่นเฟือน” เขากล่าว หันหลังเดินหนีอย่างรีบร้อนราวกับไม่อาจทนอยู่ตรงนั้นได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว น้ำเสียงของเจไดหนุ่มอาจจะฟังดูแคลนและโกรธเคือง ทว่าสีหน้านั้นราวกับคนที่หัวใจแตกสลายไปแล้วไม่มีผิด
มาซเองก็ดูเศร้าไม่ต่างกัน เธอก้มหน้ามองโต๊ะถอนหายใจเฮือกใหญ่ในขณะที่ฟินน์ซึ่งยังประมวลเรื่องราวได้ไม่ทันเท่าไรตัดสินใจเอ่ยถาม
“เรย์จะทำแบบนั้นไปทำไมกัน ตัดขาดมาสเตอร์กับเพื่อนๆ ที่ช่วยเธอได้ แบบนั้นมันบ้าไปแล้ว”
ตามมาติดๆ ด้วยโพที่ขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม “คุณพูดเหมือนเรย์เข้ารวมกับด้านมืดไปแล้วเลย”
มาซถอนหายใจอีกเฮือกก่อนจะไขความคับข้องให้
“จากข่าวที่ข้าได้รู้มาก็เกรงว่าจะอย่างนั้นแหละ”
เบนเดินออกมานอกปราสาทอย่างไร้ทิศทาง
เจไดหนุ่มรู้สึกได้ถึงความโกรธที่แล่นไปตามกระแสเลือด เขาคิดผิดจริงๆ ที่หลงเชื่อฮานและดั้นด้นถ่อมาไกลถึงทาโคดานะ เพราะทุกสิ่งที่มาซพ่นมามันช่างเหลวไหลสิ้นดี ไม่มีทางที่เรย์จะทำแบบนั้น พาดาวันของเขาทั้งดื้อรั้นและเข้มแข็งขนาดไหนทำไมเขาจะไม่รู้ เรย์เป็นนักสู้ เธอจะต้องต่อต้านด้านมืดสุดกำลังและพยายามทุกวิถีทางเพื่อกลับมาหาเขาแน่นอน
เหมือนเช่นที่เขายินดีทำทุกทางเพื่อที่จะได้โอบกอดเธออีกครั้ง
“ปี้บ ปี้บ ปอ ป่อ ปิ้วววววว”
เบนเพิ่งจะรู้ตัวว่าบีบีเอทกลิ้งตามมาด้วยก็ตอนที่ภาษาไบนารี่ดังขึ้น ดูเหมือนเขาจะเดินลึกเข้ามาในป่ามากเกินไปจนทำให้ดรอยด์สีส้มเป็นกังวลเสียแล้ว เบนเสยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าขึ้นไปด้วยความขุ่นมัวที่ยังไม่คลายตัวนัก
ทว่ายังไม่ทันจะได้อ้าปากตอบโต้ประโยคบ่นของบีบีเอท
ตูม!!
ตูม!!
เสียงระเบิดก็ดังขึ้นเสียก่อน ต่อเนื่องเป็นระลอก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหว ยอดปราสาททาโคดานะที่เห็นอยู่ไกลๆ หักโค่นลงมาเพราะถูกปืนเลเซอร์ยิง เบนเห็นยานไทไฟท์เตอร์ฝูงใหญ่ร่อนผ่านไปมา คำสบถติดอยู่ที่ปลายลิ้น ทั้งตกใจและงุนงงเกินกว่าจะเข้าใจได้ว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่
ใครหน้าไหนมันโง่พอจะบุกมาทำลายปราสาทของราชินีโจรสลัดกัน!!
“ปี้ว!! ปี้บๆๆ”
บีบีเอทส่งเสียงยาวแหลมด้วยความตื่นตระหนกว่าทางขวาๆ เบนหยิบปืนขึ้นมาจากซองหนังแล้วเล็งยิงไปยังทิศทางนั้นทันทีโดยไม่ได้หันมอง เจไดหนุ่มรู้ตั้งแต่ก่อนที่บีบีเอทจะโวยวายแล้วว่ามีคนเล็งอาวุธมาจากเขา เบนยิงออกไปอีกสามนัด แม้จะเข้าจุดตายของทหารราบซึ่งถือปืนบลาสเตอร์กระบอกโตทุกนัด แต่ก็แฉลบไปจากที่เขาเล็งไว้มากอยู่ ดูเหมือนว่าฝีมือยิงปืนของเขาขึ้นสนิมเสียแล้ว
บีบีเอทกลิ้งมาหลบหลังเขาอย่างเคยตัวทว่าเบนไม่มีอารมณ์จะมาโอ๋ดรอยขี้กลัวเหมือนที่เจ้าของของมันมักทำ เขาเดินตรงเข้าไปแล้วใช้เท้าเขี่ยให้ร่างที่หมดลมหายใจหงายหน้าขึ้นมา
“ลิซซาเลี่ยน?” เบนประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีกที่ได้เห็นผิวหนาๆ สีเขียวแก่ของเอเลี่ยนที่เขาไล่ล่ามาตลอด ทุกตัวเป็นลิซซาเลี่ยนหมด ใส่เกราะเต็มยศและถืออาวุธครบมือ เพราะแบบนั้นเขาจึงกระชับปืนแน่นขึ้นแล้ววิ่งกลับไปยังปราสาททันที
ดูเหมือนว่าการดั้นด้นมาไกลถึงทาโคดานะจะไม่เสียเปล่าเสียแล้ว ขนกันมาฝูงใหญ่ขนาดนี้แปลว่าดาวดวงนี้ต้องมีอะไรบางอย่างไม่ก็ใครบางคนที่พวกมันต้องการแน่นอน และเหมือนที่อาร์มิเทจเคยว่าไว้ ยิ่งงานใหญ่เท่าไรคนคุมก็ยิ่งยศสูงเท่านั้น เบนตั้งมั่นแล้วว่าจะต้องจับหัวหน้าของภารกิจนี้แล้วเค้นเอาความจริงจากปากมันให้ได้ว่าเรย์ของเขาถูกจับไว้ที่ไหนกันแน่
แต่เพียงวิ่งไปได้ครึ่งทางเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง
พลังด้านมืดอันแกร่งกล้าประหนึ่งร่องรอยที่ตกค้างอยู่บนหน้ากากของอนาคิน
เบนหยุดนิ่งกระทันหันทำเอาบีบีเอทถึงกับวิ่งเลยไปไกล ดรอยสีส้มขาวเอียงคอแล้วถามอย่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นทว่าเจไดหนุ่มแตะนิ้วชี้เข้ากับริมฝีปากเพื่อบอกให้มันเงียบเสียก่อน ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง ประสาทสัมผัสเหยียดขยายตื่นตัวเต็มที่ เขาได้ยินเสียงใบไม้ เสียงย่ำเท้าและเสียงหายใจ...
...จากทางด้านหลัง
ปิ้ว!
เบนเหนี่ยวไกปืนอย่างรวดเร็ว ทว่าแสงสีแดงของปืนพลาสม่ากลับลอยค้างอยู่กลางอากาศ ครึ่งทางระหว่างเขาและอีกฝ่าย ร่างนั้นเป็นผู้หญิงแน่ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะสวมชุดสีดำทะมึนซึ่งทับด้วยผ้าคลุมและหน้ากากเหล็กอีกชั้นก็ตาม มือเรียวบางภายใต้ถุงมือหนังยกขึ้นมาเบื้องหน้าและใช้พลังปัดกระสุนของเขาไปอีกทาง มันปะทะเข้ากับต้นไม้ระเบิดจนเป็นรู
แข็งแกร่ง
นั่นคือคำแรกที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของเบน
และอันตรายคือคำต่อมา
เบนยิงนัดที่สองออกไปทันที แต่แทนที่จะใช้พลังหยุดไว้เหมือนครั้งแรก ร่างนั้นกลับเปิดการทำงานของไลท์เซเบอร์แล้วตวัดปัดป้องการโจมตี ด้ามจับซึ่งยาวเป็นพิเศษและแสงสีแดงที่ระเบิดวาบขึ้นมาจากปลายทั้งสองด้านทำให้มันเหมือนกระบองมากกว่าดาบเสียอีก
เบนยิงออกไปอีกครั้งและอีกครั้ง แต่ก็ถูกปัดป้องได้หมด
ดูเหมือนจะออมมือไม่ได้เสียแล้ว เบนเอื้อมหยิบไลท์เซเบอร์ออกมาเช่นกัน ทว่าเพียงแนบนิ้วโป้งเข้ากับสวิตซ์ ร่างบางในชุดดำทะมึนก็ชิงเหยียดมือมาข้างหน้าแล้วใช้พลังตรึงเขาไว้เสียก่อน เบนพยายามขยับตัวทว่าไร้ผล แม้แต่กล้ามเนื้อสักมัดก็ไม่ยอมขยับตามบัญชา
เป็นไปได้ยังไงกัน เขาผู้แข็งแกร่งเป็นรองเพียงมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์กลับไม่อาจต้านทานพลังของอีกฝ่ายได้
บีบีเอทร้องออกมาอย่างตกใจจากเบื้องหลัง มันทำท่าจะถลาเข้ามาทว่าเบนตวาดสั่งเสียก่อน
“ไป!! ให้ดาเมรอนไปรายงานฮักซ์ ไปสิ!!”
เบนได้ยินเสียงใบไม้แห้งบดเบียด ดูเหมือนว่าบีบีเอทจะยอมทำตามเขาสั่งในที่สุด ทว่าแทนที่จะสั่งให้ลูกน้องไล่ตามไปเก็บดรอยสีส้ม ร่างบางในชุดสีดำทะมึนกลับสาวเท้าเข้ามาประชิดแล้วยกมือขึ้นวางแนบซีกหน้าของเขา นิ้วโป้งเกลี่ยไปตามรอยแผลเป็นซึ่งพาดยาวจากหน้าพาดลงมาถึงฐานคอ บาดแผลที่เขาได้รับมาเมื่อสามปีก่อนในวันที่เรย์หายตัวไป
ทั้งที่สวมถุงมือแต่เบนกลับรู้สึกได้ถึงไอร้อนของอีกฝ่าย สัมผัสเหล่านั้นมอดไหม้ผิวหนังเขาอย่างเชื่องช้า เสียงหายใจผ่านหน้ากากแรงขึ้นอย่างน่าประหลาด เบนอยากจะเบือนหน้าหนีแต่ก็ไม่อาจทำได้ เขาทำได้เพียงจ้องเข้าไปในหน้ากากโลหะน่าเกลียดซึ่งถูกอาบย้อมด้วยแสงสีแดงและเขียวจากไลท์เซเบอร์จนยิ่งดูบิดเบี้ยวมากขึ้นไปอีก
“เจ้าเป็นเจไดของเฟิร์สออเดอร์” เสียงอู้อี้ซึ่งเปล่งผ่านหน้ากากกล่าว กึ่งแปลกใจกึ่งยินดี มือบางภายใต้ถุงมือหนังล่าถอยไปในที่สุดก่อนจะหันไปสั่งกับลูกน้องลิซซาเลี่ยนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง “กระจายคำสั่งออกไปให้ถอนกำลังได้”
“แต่ว่าเรายังตามตัวมาซ คานาตะไม่พบเลยนะครับท่าน” กิ่งก่าตัวหนึ่งอาจหาญทักท้วง
“ไม่จำเป็น” ร่างในชุดสีดำทะมึนกล่าวตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากเขา “ข้าได้สิ่งที่ข้าต้องการแล้ว”
“นายทำเจไดของฉันหายได้ยังไงกันผู้การดาเมรอน”
อาร์มิเทจกำลังอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก มันควรจะเป็นงานง่ายๆ ไม่ต่างจากเดินทางไปพักร้อน แค่ขับยานเไปปราสาทของมาซแล้วถามว่าเคยเห็นคนที่แต่งตัวอีโมดำๆ แล้วถือดาบสีแดงๆ เรืองแสงได้บ้างมั้ย ทว่าภารกิจระดับสตอร์มทรูปเปอร์ฝึกหัดกลับกลายเป็นงานที่แม้แต่มาสเตอร์เจไดก็ยังไม่อาจรับมือได้เมื่อโรงเหล้าของราชินีโจรสลัดถูกลิซซาเลี่ยนทั้งกองทัพโจมตี
“ทางเทคนิคแล้วเราไม่ได้ทำโซโลหาย แต่เขาถูกลักพาตัวไปต่างหาก” โพแก้ต่างกับภาพโฮโลแกรมขนาดครึ่งตัวของอาร์มิเทจพร้อมกับใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดออกจากแก้มไปด้วย สภาพของเขาและฟินน์ดูขมุกขมอมยิ่งนักเนื่องจากติดอยู่ในปราสาทที่ถูกยิงถล่มอยู่เกือบชั่วโมงเต็มๆ กว่าจะหลุดออกมาได้ นับว่ายังดีที่เหล่าลิซซาเลี่ยนถอนกำลังไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้เละเทะยิ่งกว่านี้แน่นอน
“แล้วเราก็มีทั้งข่าวร้ายและข่าวร้ายยิ่งกว่า” โพว่าพลางกวักมือเรียกบีบีเอทให้กลิ้งมาใกล้ๆ ภาพโฮโลแกรมของอาร์มิเทจเลิกคิ้วสูง สองมือยังคงไพล่อยู่เบื้องหลัง
“ข่าวร้ายคือเรารู้แล้วว่าใครจับตัวโซโลไป”
บีบีเอทต่อปลั้กเข้ากับระบบของยาน ภาพโฮโลแกรมอีกอันถูกฉายขึ้นข้างกัน เป็นภาพของเบนซึ่งยืนนิ่งในท่าที่มือซ้ายถือปืน มือขวากำลังจะเหวี่ยงไลท์เซเบอร์ กล้ามเนื้อแทบทุกมัดเครียดขึ้งในขณะที่อีกร่างซึ่งสวมหน้ากากเหล็กถือไลท์เซเบอร์สีแดงเดินเข้ามาใกล้
จากเสื้อผ้าและอาวุธไม่มีทางที่จะเป็นอื่นได้เลยนอกจาก...
“ซิธ?” อาร์มิเทจเอ่ยอย่างประหลาดใจจนเกือบจะเป็นความตื่นตระหนก “แถมหยุดโซโลได้ด้วย? เป็นไปได้ยังไงกัน”
“ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันน่ะแหละ บีบีเอทได้ยินมาว่าที่จริงเธอมาเพื่อจับมาซ คานาตะ แต่พอได้ตัวเบนก็เลยยกเลิกภารกิจแล้วเอาเขาไปแทน นายรู้มั้ยว่ามาซมีพิมพ์เขียวยานพวกเราด้วยนะ ผู้หญิงคนนั้นน่ากลัวชะมัด”
“แล้วที่ว่าข่าวร้ายยิ่งกว่าละ” อาร์มิเทจแทรกถามอย่างรวดเร็วเมื่อโพชักจะนอกเรื่องเกินไปแล้ว นายพลหนุ่มนึกไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรที่เลวร้ายได้ยิ่งกว่าการที่เจไดประจำเฟิร์สออเดอร์ถูกลักพาตัวไปโดยซิธ โพลูบหน้าแรงๆ อยู่หลายทีแต่ก็ไม่อาจรวบรวมคำได้ ฟินน์ที่จัดการแผลตนเองอย่างลวกๆ เสร็จแล้วจึงเสนอตัวเข้าช่วย
“เรารู้ว่าซิธคนนั้นคือใคร” สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มอธิบาย “ที่จริงแล้วต้องบอกว่ามาซรู้ เพราะลูกน้องเธอถ่ายภาพมาได้ตอนที่ซิธคนนั้นกับลูกน้องกำลังสังหารหมู่ชาวบ้านบนดาวเอนเซียเมื่อเดือนที่แล้ว”
“รู้ใบหน้าของศัตรูนี่ควรจะนับเป็นข่าวดีมากกว่าข่าวร้ายนะ FN-2187”
ฟินน์เหลือบมองโพนิดหนึ่งก่อนจะหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าแล้ววางลงบนแท่นสแกนเพื่อส่งให้ผู้บัญชาการที่อยู่ไกลออกไปอีกฝากกาแล็คซี่ ภาพของหญิงสาวซึ่งสวมเสื้อผ้าสีดำแบบเดียวกับที่บีบีเอทเพิ่งแสดงให้ดูปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอของยาน ด้านหลังเป็นอาคารซึ่งกำลังลุกไหม้ในกองเพลิง ทหารลิซซาเลี่ยนเดินสวนไปมาอยู่เบื้องหลัง ในมือขวาคือไลท์เซเบอร์สีแดงสองด้าน หน้ากากเหล็กอยู่ในมือซ้าย เผยให้เห็นถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ซึ่งเปื้อนไปด้วยเลือด
แม้แต่ในภาพโฮโลแกรมเลือนๆ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเหงื่อเม็ดใหญ่กำลังไหลลงมาตามกรอบหน้าของอาร์มิเทจ เขาหันไปสั่งการกับฟาสม่าซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังให้เจ้าหน้าที่เฟิร์สออเดอร์ทุกคนกลับมารวมกันที่ฐานหลัก ก่อนจะหันมาทางนักบินหนุ่มและสตอร์มทรูปเปอร์ผิวสีต่อ
“พวกนายสองคน ฉันมีอีกภารกิจให้ทำ เราต้องรีบชิงเจไดของพวกเราคืนมาให้เร็วที่สุด”
เบนหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบ
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องซึ่งไม่คุ้นเคย ผนังและพื้นดำเงาวับไม่ต่างจากยานสุพรีมมาซี่ของเฟิร์สออเดอร์ ทว่าทั้งของตกแต่งและบรรยากาศกลับให้ความรู้สึกกดดันและน่าอึดอัดกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงไฟสีแดงก่ำๆ บนเพดาน และแท่นโลหะหน้าตาประหลาดซึ่งยึดตรึงข้อมือข้อเท้าของเขาไว้ มันตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางห้อง สัมผัสเย็นเฉียบแทรกผ่านเสื้อผ้าเนื้อบางเข้ามาจนทำให้ขนลุกซู่
แต่ทั้งหมดที่ว่านั้น ไม่อาจเทียบเท่าการพบว่าร่างบางภายใต้หน้ากากเหล็กกำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่ได้เลย
“ฉันอยู่ที่ไหน” เขาถามทันที น้ำเสียงกดต่ำอย่างคาดคั้นทั้งที่สถานะตกเป็นรอง เบนไม่ได้กลัว ไม่มีแม้แต่ความหวาดหวั่น ถ้าจะมีอะไรที่เขารู้สึกก็คงเป็นความประหลาดใจ ทำไมเขาถึงยังไม่ตายกัน
“เจ้าเป็นแขกของข้า”
เสียงอู้อี้ซึ่งเปล่งผ่านเครื่องแปลงเสียงตอบ ทว่ามันช่างเป็นคำตอบที่ไม่ตรงคำถามเอาเสียเลย อีกฝ่ายเอียงศีรษะพินิจมองเขา คงรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมิตรในแววตา
“ยังอยากฆ่าข้าอยู่อีกเหรอ?”
“ใครถูกสัตว์ประหลาดสวมหน้ากากตามล่าก็ต้องคิดแบบนี้ทั้งนั้นแหละ”
เบนนึกว่าคำตอบนั้นจะทำให้อีกฝ่ายโกรธแต่ไม่เลย หลังความเงียบชั่วอึดใจ มือบางภายใต้ถุงมือหนังกลับเอื้อมไปยังส่วนฐานของหน้ากาก เสียงปลดล็อคดังขึ้น เส้นผมสีน้ำตาลทิ้งตัวลงมาเคลียไหล่ และเมื่อหมวกโลหะถูกถอดออกวางไว้บนโต๊ะ เบนก็ได้พบใบหน้าซึ่งคอยหลอกหลอนเขาในห้วงฝันกำลังมองตอบกลับมา
“เรย์...” เขากระซิบ แผ่วเบาจบแทบเป็นเพียงลมหายใจ แต่เขารู้ว่าเธอได้ยิน เพราะคิ้วบางขมวดเข้าหากันก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกก้าว เธอมองเขาราวกับเป็นเพียงคนแปลกหน้า สีหน้านิ่งเรียบจนเรียกได้ว่าเย็นชา ไม่มีความคุ้นเคยอยู่ในแววตาแม้แต่น้อย
“นามของข้าคือ คิระ เร็น ต่างหาก”
Chapter 23: Episode 23 I’ll Give You Everything.
Chapter Text
เบนรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
“บอกที่อยู่ของสกายวอล์คเกอร์กับเจไดคนอื่นมาเดี๋ยวนี้”
เรย์ที่เรียกตนเองว่าคิระ เร็นถามอย่างคาดคั้น เธอเดินมาหยุดอยู่ด้านซ้ายมือของเขา ดวงตาคู่นั้นเป็นสีแดงปนทองซึ่งสะท้อนกับแสงไฟจนดูวาววับไม่ใช่สีเฮเซลนัทที่เขาจดจำได้ กลิ่นอายของพลังด้านมืดโชยชัด ท่าทีแข็งกร้าวและห่างเหิน ทว่าทั้งใบหน้าและน้ำเสียงเป็นพาดาวันของเขาแน่ๆ ไม่มีทางที่จะผิดตัว
ผมสีน้ำตาลของเรย์ยาวขึ้นกว่าที่เขาจำได้มาก เธอรวบมันไว้เพียงครึ่งเดียวและปล่อยที่เหลือให้ปกคลุมทั้งแผ่นหลัง เค้าโครงหน้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัวไม่ใช่เพียงเด็กน้อยที่เขาเคยโอบอุ้มอีกต่อไป เบนคิดถึงเธอ เขาอยากเอื้อมมือไปออกไป แตะสัมผัสใบหน้านั้นเพื่อให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่เพียงความฝันทว่าไม่อาจทำได้
“เกิดอะไรขึ้นกันเรย์ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้?”
“ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะเจไดอย่างพวกเจ้าน่ะสิ” เธอย้อนคำเขาอย่างประชดประชัน ความเกลียดชังเจือมาในน้ำเสียง “จับข้าไปทรมานและล้างความทรงจำ ทว่าท่านผู้นำสูงสุดช่วยข้าไว้ได้เสียก่อน ข้าสูญสิ้นทุกอย่าง นานปีของการฝึกฝนรวมทั้งตัวตนของข้าเอง ข้ากลายเป็นคนไร้ค่าแต่ถึงกระนั้นท่านผู้นำสูงสุดก็ยังเมตตา ชี้นำและสั่งสอนให้ข้าได้ถือกำเนิดใหม่อีกครั้งเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า”
เบนรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่ซีดเผือกและมือเท้าที่เย็นเฉียบ ราวกับเลือกทุกหยดในร่างกายได้ระเหยหายไปหมด
“ไม่ๆๆ เธอเข้าใจผิดแล้ว นั่นมันตรงข้ามเลยด้วยซ้ำ เจ้านั่นต่างหากที่ล้างสมองเธอ!”
เจไดหนุ่มขยับตัว พยายามปลดตนเองจากพันธนาการทว่าเรย์กลับใช้พลังของเธอกดเขาลงที่เดิมเสียก่อน เบนเปล่งเสียงแสดงความเจ็บปวดออกมาสั้นๆ ก่อนจะขบฟันแน่นเมื่อแรงดันที่มองไม่เห็นไม่ได้หยุดลงในทันที หลังผ่านไปสักพักเมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่ต่อต้าน เรย์ก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น
“ข้าไม่ได้ชอบที่จะต้องทำแบบนี้นักหรอกนะ แต่ต่อให้เจ้าไม่พูดยังไงข้าก็ต้องได้ในสิ่งที่ต้องการอยู่ดี”
มือของเรย์อยู่ห่างซีกหน้าเขาไปไม่ถึงครึ่งนิ้ว พลังและความร้อนจากร่างกายของเธอแทรกซึมผ่านเข้ามา ทั้งคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นชิน เบนรู้ได้ในทันทีว่าเรย์พยายามจะอ่านใจเขาอยู่ เธออาจจะเอาชนะเขาได้ในการต่อสู้ ทว่าไม่ใช่ในศึกของจิตใจ เขาสามารถต่อต้านเธอได้แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ เขาปล่อยเธอให้รุกล้ำเข้ามาในวิญญาณซึ่งใกล้แตกสลายและหัวใจซึ่งเกือบจะกลายเป็นก้อนหินของเขา
“เจ้ารู้สึกเดี่ยวดาย แม้จะรายล้อมด้วยพวกพ้องแต่ก็ไม่ต่างจากอยู่เพียงลำพัง”
ริมฝีปากบางเอื้อนขยับ เปลี่ยนภาพในความทรงจำของเขาให้กลายเป็นท่วงทำนองแห่งความคนึงหา
“ยามนอนยากที่จะข่มตาหลับ...”
เบนหันไปทางเรย์ เขาขยับใบหน้าเช่นเดียวกับฝ่ามือของเธอที่วางแนบลงมาอย่างเผลอไผล เหมือนตอนที่อยู่บนดาวทาโคดานะ แม้จะมีถุงมือหนังกางกั้น แต่สัมผัสของเธอก็ยังมอดไหม้เขาได้อยู่ดี
“เจ้าฝันเห็นทะเล ข้าเห็นแล้ว ชายหาดแห่งนั้น แสงซึ่งส่องประกายและ....”
ทันใดนั้นเธอก็ผละหนี ใบหน้าแดงก่ำพลางตวาดเสียงดัง
“นี่มันอะไรกัน!!”
“เธอค้นความทรงจำฉันอยู่ไม่ใช่เหรอเรย์” เบนเน้นชื่อเธออย่างจงใจ มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นว่าลึกลงไปแล้วพาดาวันของเขายังไม่ได้เปลี่ยนไปเสียทีเดียว “ก็อย่างที่เห็นน่ะแหละว่าเรากำลัง...”
“นามของข้าคือคิระ เร็น!!” เด็กสาวแย้งลั่น ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงตามการหายใจ ยากจะบอกว่าเพราะความโกรธหรือเขินอายกันแน่ เพราะสิ่งที่เธอเพิ่งจะค้นเจอคือความทรงจำบนชายหาดสคาริฟที่พวกเขามอบจูบแรกให้แก่กัน “ข้าคือศิษย์เอกของท่านผู้นำสูงสุดสโน้ค จอมอัศวินแห่งเร็น ผู้นำทัพแห่งความมืดซึ่งจะบดขยี้ทำลายแสงสว่างให้สิ้นไปจากกาแล็คซี่ เจไดอย่างเจ้าอย่าได้บังอาจใช้ภาพมายามาหลอกลวงข้า!!”
“เธอคือเรย์แห่งแจคคู” เบนเอ่ย น้ำเสียงนิ่งสงบตรงข้ามกับเด็กสาวอย่างสิ้นเชิงจนเขาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจในตนเอง “เธอเป็นเด็กกำพร้าที่มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์พาตัวมาฝึก และฉันคือมาสเตอร์ของเธอ เราโตมาด้วยกัน ดูแลปกป้องกันและกัน เธอถูกช่วงชิงไปจากฉัน ถูกล้างความทรงจำและป้อนคำโกหกให้กลายเป็นซิธ สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่ภาพลวงตาแต่เป็นความทรงจำที่เรามีรวมกันต่างหาก”
“โกหก!!”
“ถ้างั้นก็มาพิสูจน์สิ” เบนท้า เฝ้ามองท่าทีสับสนของเธออย่างมีความหวังว่าลึกลงไปแล้วเรย์ของเขายังคงติดอยู่ในที่ไหนสักแห่งในเขาวงกตอันมืดมิดและเขาจะพาเธอกลับมาให้ได้ “ฉันจะไม่ต่อต้าน ไม่ใช่พลังและไม่ขยับกล้ามเนื้อแม้แต่มัดเดียว ค้นดูในหัวฉันได้เลยตามใจชอบ เพราะฉันจะให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ”
เบนเอ่ยโดยที่ไม่ละสายตาไปแม้แต่น้อย นั่งจึงทำให้เขาได้เห็นว่าประกายในดวงตาของเธอสั่นไหวเพียงใด ริมฝีปากบางแยกจากกันเล็กน้อยในขณะที่ยังหอบหายใจ เบนบอกได้เลยว่าเธอกำลังสับสนเป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เกลี่ยกล่อมเพิ่มประตูก็เปิดออกเสียก่อน
ลิซซาเลี่ยนตัวหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามารายงาน “ท่านเร็นครับ ท่านผู้นำสูงสุดต้องการพบท่าน”
“จะไปเดี๋ยวนี้” ราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอแสดงกริยาที่ไม่เหมาะสมออกไป เรย์ยืดตัวตรงเอ่ยกับลูกน้องด้วยท่าทีสุขุมจนเกือบก้าวกระด้าง กลับมาเป็นคิระ เร็นที่เบนไม่รู้จักตามเดิมแล้วเดินผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว
คิระรู้สึกว่างเปล่า
ตั้งแต่ตอนที่ตื่นขึ้นมาโดยไร้ความทรงจำเมื่อสามปีก่อนเธอก็เป็นเช่นนี้มาตลอด คล้ายกับว่าในอกเป็นเพียงโพรงลึกไร้ซึ่งเลือดเนื้อ ทั้งกลวงเปล่าและไร้ค่า มาสเตอร์ของเธอมอบคำอธิบายให้ว่ามันคือความเคียดแค้นที่ถูกปล้นชิงตัวตนไป หากได้ลงมือสังหารเจไดแล้วเธอจะรู้สึกดีขึ้นเอง
แต่มันจะดีขึ้นจริงๆ ใช่ไหม คิระตั้งคำถามกับตนเองมาตลอด จนในที่สุดโอกาสก็มาเยือน เธอได้รับภารกิจจากท่านผู้นำสูงสุดให้เดินทางไปยังดาวทาโคดานะเพื่อจับตัวราชินีโจรสลัดนามมาซ คานาตะกลับมา ผู้หญิงคนนั้นมีข้อมูลทุกอย่างที่มาสเตอร์ของเธอต้องการตั้งแต่แหล่งที่อยู่ของเจไดเรื่อยไปจนถึงข้อมูลของภายในเกี่ยวกับสาธารณรัฐกาแลคติกใหม่
ทว่าคิระกลับพบเข้ากับสิ่งที่ไม่คาดคิดเสียก่อน
เจได
ซ้ำยังเป็นคนของเฟิร์สออเดอร์เสียด้วย
และนามของเขาคือเบน โซโล
ในอกซึ่งเคยกลวงเปล่าสั่นไหวอย่างรุนแรง คิระรู้สึกมีชีวิตมีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพียงได้สบตากับเจไดหนุ่มเท่านั้นเธอก็รู้ทันทีว่าเขาคือสิ่งที่เธอปรารถนา ทว่าในแง่ไหนกันล่ะ แน่นอนว่าในหัวของเขามีข้อมูลทุกอย่างที่เธอต้องการ เธอไม่ต้องเสียเวลาและกำลังพลไปไล่ตามมาซ คานาตะอีกแล้ว ซ้ำหลังเสร็จสิ้นภารกิจเธอยังจะได้ปลิดชีพเขาเป็นของแถมอย่างที่สมควรจะทำมาตลอดอีกด้วย
“เรย์” เขากระซิบเรียกเธอด้วยชื่อของใครคนอื่น ฟังแปร่งหูแต่กลับคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แล้วยังดวงตาคู่นั้นอีก ดวงตาสีน้ำตาลอันล้ำลึกซึ่งจ้องมองมาด้วยความโหยหาอย่างไม่ปิดบัง ในอกของคิระเต็มตื้นขึ้นมาทันทีอย่างน่าประหลาด อบอุ่นและอ่อนหวาน
เธอพยายามปัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไปแต่ก็ไม่อาจทำได้อย่างสมบูรณ์
“บอกที่อยู่ของสกายวอล์คเกอร์กับเจไดคนอื่นมาเดี๋ยวนี้”
คิระตั้งใจรีบจบภารกิจเพื่อที่จะได้ไปจากตรงนี้ ไปให้ไกลจากสายตาของเจไดหนุ่มเพื่อที่ความปั่นป่วนภายในจะได้สงบลงได้เสียที ทว่าเขาไม่ให้ความรวมมือแม้แต่น้อย เขาต่อต้าน เฉไฉโดยการพูดเรื่องไร้สาระ กล่าวหาว่าท่านผู้นำสูงสุดต่างหากที่ล้างสมองเธอไม่ใช่เหล่าเจได คิระจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้พลังฝืนอ่านใจเขา การกระทำที่สามารถสร้างเสียงกรีดร้องและความเจ็บปวดได้อย่างเหลือแสน
คิระคิดเสมอว่าเธอช่างเป็นซิธที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เพราะเธอเกลียดทั้งหมดนั้น ทั้งเลือด ความโศกเศร้าหรือแม้กระทั่งเสียงร้องไห้ มันทำให้เธอคลื่นเหียนและอยากจะเบือนหน้าหนี แต่ด้วยรู้ดีว่าหากเผลอแสดงความอ่อนแอออกไปมาสเตอร์จะโกรธและเธอจะถูกลงโทษ
เพราะความเมตตาและเห็นอกเห็นใจคือสิ่งที่แสดงถึงความเป็นเจไดไม่ใช่ซิธ
เด็กสาวรู้สึกได้ถึงความขัดแย้งในตัวตนเสมอมา ดังแสงสว่างและความมืดที่ไม่อาจแยกจากกันได้อย่างเด็ดขาด มันทำให้เธออ่อนแอและน่าสมเพช ผลักไสให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะในบรรดาอัศวินแห่งเร็นทั้งเจ็ดไม่มีใครเป็นเหมือนเธอ ทุกคนเชื่อฟัง ทุกคนคือความมืด
แต่ไม่ใช่กับคิระผู้ยังมีแสงสว่างอันริบหรี่หลงเหลือในซากวิญญาณ
และไม่ใช่กับเบน โซโลด้วย
เพียงย่างเท้าเข้าไปในจิตใจ คิระก็พบว่าตัวตนของเขาก่อกำเนิดขึ้นมาจากแสงสว่างและความมืด เขาใช้พลังได้จากทั้งสองฝั่งอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ทั้งขัดแย้งแต่ก็งดงาม เป็นตัวตนอันน่าลุ่มหลงอย่างที่ไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้
เพราะแบบนั้นคิระจึงลืมความตั้งใจแต่แรกไปจนสิ้น หลงลืมภารกิจ เผลอตัวเดินสำรวจอย่างอ้อยอิ่ง แง้มเปิดประตูบานแล้วบานในจิตใจของเขาเพียงเพื่อจะค้นพบว่าแท้จริงแล้วเบน โซโลเหมือนกับเธอมากเพียงใด
“เจ้ารู้สึกเดี่ยวดาย แม้จะรายล้อมด้วยพวกพ้องแต่ก็ไม่ต่างจากอยู่เพียงลำพัง ยามนอนยากที่จะข่มตาหลับ...”
ร่างกายของเขาอบอุ่นและให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ดังบ้านซึ่งไม่เคยมีตัวตนในความทรงจำของคิระ เธอเผลอตัวสัมผัสเขาทั้งที่ไม่จำเป็น เช่นเดียวกับเขาที่เอียงใบหน้าเข้าหาทั้งที่ไม่ควร
“เจ้าฝันเห็นทะเล ข้าเห็นแล้ว ชายหาดแห่งนั้น แสงซึ่งส่องประกายและ....”
ในภาพฝันอันแจ่มชัด เบน โซโลยืนอยู่ตรงหน้าคิระ น้ำทะเลซัดสาดมาเกือบถึงระดับเข่า ลมแรงอื้ออึงพัดเส้นผมของเธอจนยุ่งเหยิง เขายกมือขึ้นทัดเส้นผมของเธอไว้หลังใบหูก่อนจะประคองแก้มของเธอไว้ นุ่มนวลและอ่อนโยน ราวกับเธอเป็นสมบัติล้ำค่าที่เขาตั้งใจจะถนอมรักษาไว้ด้วยชีวิต คิระไม่เคยรู้สึกเป็นที่ปรารถนามากเท่านั้นมาก่อนเลยจริงๆ
แต่มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ การใช้พลังเพื่ออ่านใจควรจะทำให้เธอเห็นภาพในฐานะผู้เฝ้ามองจากภายนอก ไม่ใช่คนที่อยู่ในห้วงเวลานั้นเสียเองแบบนี้ นี่มันไม่ถูกต้อง นี่มัน...ทันใดนั้นเบน โซโลในความทรงจำก็โน้มใบหน้าลงมา ริมฝีปากเต็มอิ่มอยู่ห่างเธอไม่ถึงลมหายใจคั้น
และทันทีที่ชายหนุ่มในความทรงจำจูบเธอ คิระในชีวิตจริงก็ผละหนีทันทีราวกับต้องของร้อน และคงไม่เป็นการพูดเกินไปนักหากจะบอกว่าสัมผัสของเขายังคงลามไหม้อยู่บนผิวหนังของเธออยู่เลย ทั้งฝ่ามือซึ่งมีถุงมือกางกั้น ไปจนถึงซีกแก้มและริมฝีปากซึ่งถูกสัมผัสโดยภาพมายา
“นี่มันอะไรกัน!!”
คิระคำรามถาม เจไดหนุ่มเรียกเธอว่าเรย์อีกครั้ง เสียงทุ้มลึกของเขาสั่นไหวอยู่ในอากาศทำให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำยิ่งขึ้น เด็กสาวแย้ง ไม่อยากรับฟังถ้อยลวงหลอกของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจได
“นามของข้าคือคิระ เร็น ข้าคือศิษย์เอกของท่านผู้นำสูงสุดสโน้ค จอมอัศวินแห่งเร็น ผู้นำทัพแห่งความมืดซึ่งจะบดขยี้ทำลายแสงสว่างให้สิ้นไปจากกาแล็คซี่ เจไดอย่างเจ้าอย่าได้บังอาจใช้ภาพมายามาหลอกลวงข้า!!”
“เธอคือเรย์แห่งแจคคู” เจไดหนุ่มกล่าวน้ำเสียงนิ่งสงบตรงข้ามกับเด็กสาวอย่างสิ้นเชิง “เธอเป็นเด็กกำพร้าที่มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์พาตัวมาฝึก และฉันคือมาสเตอร์ของเธอ เราโตมาด้วยกัน ดูแลปกป้องกันและกัน เธอถูกช่วงชิงไปจากฉันถูกล้างความทรงจำให้กลายเป็นซิธ สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่ภาพลวงตาแต่เป็นความทรงจำที่เรามีรวมกันต่างหาก”
ในหัวคิระมีแต่คำว่าโกหกเต็มไปหมด มันอัดแน่นจนปะทุออกมาเป็นเสียงกรีดร้อง
“โกหก!!”
“ถ้างั้นก็มาพิสูจน์สิ” เขากระซิบ ท้าทายแต่ก็เชิญชวน คิระนิ่งงันอย่างคาดไม่ถึง “ฉันจะไม่ต่อต้าน ไม่ใช้พลังและไม่ขยับกล้ามเนื้อแม้แต่มัดเดียว ค้นดูในหัวฉันได้เลยตามใจชอบ เพราะฉันจะให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ”
น้ำเสียงและถ้อยคำของเขาช่างฟังหนักแน่น จริงจังเกินกว่าจะเป็นแค่คำโป้ปด แต่คิระไม่ได้ต้องการทั้งหมด คิระต้องการแค่...
เขา...แค่เขาเท่านั้น
ส่วนลึกในจิตใจร้องบอก เด็กสาวนิ่วหน้า ผลักไสและกอดเก็บมันลงไปอย่างร้อนรน ข้ออ้างในการถอยหนีมาถึงเมื่อลูกน้องตัวหนึ่งมารายงานว่าท่านผู้นำสูงสุดต้องการพบตัวเธอ คิระสาวเท้าหนีทันทีด้วยใบหน้าที่ยังร้อนผ่าวไม่จาง เธอสั่งให้หุ่นดรอยถึงหกตัวมาเฝ้าห้องขังด้วยกลัวว่าหากเป็นลิซซาเลี่ยนอาจถูกใช้พลังบงการจิตใจจนเผลอปล่อยเขาไปได้ คิระยังไม่หมดธุระกับเบน โซโลเพียงเท่านี้
หลังเดินตัดผ่านสะพานเดินเรือไปยังห้องฝึก ภาพโฮโลแกรมของท่านผู้นำสูงสุดก็ถูกฉายขึ้นทันที ร่างนั้นสูงใหญ่กว่าความเป็นจริงไปมากจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ยุทธวิธีที่ทำให้คู่สนทนารู้สึกเล็กจ้อยยิ่งขึ้นไปอีกระดับ คิระย่อตัวลงทำความเคารพ มาสเตอร์ของเธอเอ่ยถามอย่างไม่รอช้า
“ได้ตัวมาซ คานาตะมาหรือไม่”
“ไม่ค่ะ” เธอตอบ เสียงแห่งความไม่พอใจเปล่งผ่านลำคอซึ่งแหว่งเวิ่น คิระรีบรายงานต่อ “นางหนีไปได้เสียก่อนแต่ข้าจับคนอื่นมาได้แทน เขาเป็น...”
คิระรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากรายงานไปตามตรงว่าเจไดของเฟิร์สออเดอร์อยู่กับเธอ ท่านผู้นำสูงสุดจะต้องตรงดิ่งมาที่นี่ด้วยตนเอง ทรมานเขาด้วยวิธีอันแสนสาหัสอย่างที่เธอไม่กล้านึกภาพถึง ก่อนจะบังคับให้เธอปลิดชีพเขาต่อหน้าท่านและอัศวินแห่งเร็นเพื่อพิสูจน์ว่าคู่ควรกับตำแหน่งศิษย์เอกแห่งความมืด
ไม่ ไม่เอาแบบนั้น เธอไม่อยากให้เขาตาย
คิระไม่มีเวลาพอจะหาข้ออ้างให้ตนเองว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น และก่อนที่จะทันรู้ตัวเธอก็โกหกมาสเตอร์ออกไปเสียแล้ว
“ลูกน้องคนสนิทของราชินีโจรสลัด!” หญิงสาวเสียงดังขึ้นเล็กน้อยอย่าลืมตัว “เขาติดตามมาซอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดและรู้เกือบทุกอย่างที่เธอรู้ ขอเวลาข้าอีกสักหน่อยแล้วเราจะได้ทุกอย่างที่ต้องการเพื่อเริ่มต้นแผนการอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดเคาะนิ้วกับบัลลังก์อย่างใช้ความคิด ผ่านไปไม่กี่วินาทีแต่ยาวนานเหลือเกินในความรู้สึกของเด็กสาว เสียงแหบแห้งก็เลยอนุญาต
“เร่งมือเข้าจอมอัศวินแห่งเร็น กำหนดการณ์ใกล้เข้ามาแล้ว”
“น้อมรับบัญชาค่ะท่านผู้นำสูงสุด”
แล้วภาพโฮโลแกรมก็จางหายไป คิระถอนหายใจเฮือก ไม่รู้ตัวมาก่อนด้วยซ้ำว่ากำลังกลั้นหายใจอยู่ ไม่ทันที่จะได้ปรับอารมณ์หรือความคิดอันยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทาง ลิซซาเลี่ยนตัวหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงาน
“ท่านเร็น มีฝูงยานเอ็กซ์วิงของเฟิร์สออเดอร์กำลังมุ่งตรงมาทางเราครับ!!!”
เบนไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความคิดที่จะหนี
แม้ความจริงแล้วเขาสามารถใช้พลังทำลายโต๊ะโลหะตัวนี้ได้ทุกเมื่อ หรือถ้าหากการทำเสียงดังไม่ใช่ทางเลือก เจไดหนุ่มก็ยังมีชุดเสดาะกลอนซ่อนอยู่ใต้เข็มขัดอีกต่อ เพราะหลายอย่างในชุดนี้ไม่ใช่แค่คล้ายเท่านั้น แต่มันเป็นของฮาน โซโลโดยตรงเลยแหละ ตามกระเป๋าและช่องต่างๆ จึงมีอุปกรณ์เอาตัวรอดซุกไว้อยู่เต็มไปหมด
ที่เบนไม่หนีเพราะเขายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องการรู้จากเรย์ ตอนนี้เขาได้ทั้งชื่อและแผนการคร่าวๆ ของซิธลอร์ดคนนั้นมาแล้ว ต้องขอบคุณการระเบิดอารมณ์ของเรย์ที่ให้ความกระจ่างเขาได้เยอะเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอและเหล่าพาดาวันที่ถูกลักพาตัวไปบ้าง
ต่อไปที่ต้องทำคือการดึงตัวตนเดิมของเธอกลับมา ซึ่งเบนแน่ใจว่าอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นเขาก็จะสามารถกระเทาะเปลือกอันแข็งกระด้างของเธอออกได้แล้วเชียว ดังนั้นขอเพียงมีเวลาอีกสักนิด...
แกรก
อยู่ๆ เสียงโลหะที่เสียดสีกันอย่างแผ่วเบาก็ดังขึ้น เบนเอียงคอมองตามทิศนั้น และพบว่าช่องระบายอากาศด้านบนถูกดึงออกโดยมีใบหน้ากลมแป้นของเด็กสาวซึ่งมีผมสีดำโผล่ลงมาแทนที่ เมื่อเห็นว่าเขาอยู่เพียงลำพังเธอก็ยิ้มกว้างจนดวงตาที่เรียวรีอยู่แล้วหยีเป็นเส้นขีดก่อนจะกระโดดตุบลงมา เด็กสาวสวมชุดหมีสีน้ำตาลที่รอบเอวเต็มไปด้วยอุปกรณ์ช่าง
“คุณคือมาสเตอร์โซโลใช่มั้ย” เธอถามก่อนจะเอ่ยต่อทันทีโดยไม่รอคำตอบของเบน “ฉันชื่อโรสค่ะ โรส ทิโค่”
“ทิโค่?” เบนเลิกคิ้วเมื่อได้ยินนามสกุลอันคุ้นเคยของเพื่อนร่วมสถาบันเจได “น้องสาวเพจเหรอ? ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้”
“นายพลฮักซ์จ้างพวกเรามาเพื่อช่วยคุณ ซึ่งพวกเราที่ว่าคือฉันกับพี่สาว เราเป็นคู่หูกันตั้งแต่เธอเรียนจบแต่ส่วนมากรับแต่ภารกิจเล็กๆ มากกว่าชื่อเสียงเลยไม่ค่อยโด่งดังเท่าไร”
โรสว่าขณะรี่เข้ามาแล้วใช้ชุดสะเดาะกลอนซึ่งหน้าตาเหมือนอันที่เขามีไม่มีผิดปลดล็อคให้
“ฮักซ์ทำอะไรนะ?” เบนยังคงงุนงงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อยจึงไม่ทันได้แย้งว่าเขาไม่ต้องการการช่วยเหลือแต่อย่างใด
“นายพลฮักซ์แอบใส่เครื่องติดตามไว้ในเสื้อผ้าคุณตั้งแต่แรกก็เลยรู้ว่าคุณถูกจับไว้ที่ไหน และพวกเราเป็นคู่หูเจไดที่อยู่ใกล้ระบบดาวเคราะห์นี้ที่สุดเพจเลยตัดสินใจรับทำภารกิจนี้ เอาแหละ รีบไปกันเถอะก่อนที่...”
ฉัวะ!
ต่างจากปรากฏตัวอย่างเงียบๆ ของทิโค่คนน้อง ทิโค่คนพี่หรืออีกนัยหนึ่ง มาสเตอร์ทิโค่ใช้ไลท์เซเบอร์ฟันหุ่นดรอยที่ยืนเฝ้ายามอยู่ขาดเป็นสองท่อนในพริบตารวมทั้งประตูด้วย ก่อนจะใช้เท้าขวามถีบซากโลหะที่เหลืออยู่แล้วเดินอาดๆ เข้ามาโดยไม่สนต่อสัญญาณเตือนภัยที่กำลังร้องลั่น
“เพจ!!” โรสร้องลั่น แทบจะเอามือทึ้งผมตัวเอง “พี่ทำแบบนั้นทำไมน่ะ”
“เธอใช้เวลานานเกินไปแล้วน่ะสิ เร็วเข้าก่อนผู้การดาเมรอนจะเริ่มเปิดฉากยิงถล่ม”
“ดาเมรอนทำไมนะ?” ให้ตายเถอะ เบนรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ชะมัดที่ได้แต่ลอกคำพูดของพวกเธอแล้วถามซ้ำเดิมไปมาแบบนี้ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเขาไม่รู้สักนิดว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่
“ดีใจที่ได้เจอนายนะเบน” เพจว่าพลางโบกไลท์เซเบอร์เขียวในมือไปมาเป็นการทักทายก่อนจะตวัดฟันหุ่นดรอยด์ที่ผงกหัวขึ้นมาให้ขาดเป็นท่อน “แต่ไว้ถามสารทุกข์สุขดิบกันทีหลังเถอะตอนนี้ต้องรีบเผ่นแล้ว”
ตูม!
เหมือนจะยืนยันในคำพูดนั้นเสียงระเบิดดังสนั่นตามมาติดๆ ก่อนที่โรสจะดันหลังเขาให้ออกเดิน เพจคว้าแขนเสื้อเขาไว้แล้วออกแรงดึงลากด้วยอีกคน แต่เทียบแล้วสองสาวก็ยังมีขนาดตัวเล็กกว่าเขามาก เพราะแบบนั้นทันทีที่เบนจิกเท้าลงกับพื้นเพื่อหยุดตัวเองไว้ ทุกคนก็แทบจะหัวคะมำไปตามๆ กัน
“ฉันยังไปไม่ได้” เจไดหนุ่มว่าพลางสืบเท้าถอยกลับไปในห้องขังที่ดูไม่น่าจะขังอะไรได้อีกแล้ว เพจแทบจะกรีดร้องออกมาอย่างหงุดหงิดส่วนโรสดูเลิกลั่กเต็มที ยังไม่มีทหารหรือดรอยกรูกันเข้ามาก็จริง ต้องขอบคุณโพกับฝูงยานเอ็กซ์วิงที่กำลังสาดกระสุนใส่สะพานเดินเรืออยู่ที่ส่วนหน้ายาน แต่ก็คงอีกไม่นานหรอกเพราะเบนเป็นนักโทษกิตติมศักดิ์เสียขนาดนั้น
“พวกเธอไม่เข้าใจแต่เรย์อยู่ที่นี่ เธอ...”
“ฉันเข้าใจดีเลยต่างหาก” เพจขัดเขาขึ้นกลางประโยคขณะเท้าเอว “คู่หูนายอธิบายให้ฟังหมดแล้วว่าเรย์กลายเป็นซิธ ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เถอะ แต่นี่แน่ๆ บนยานลำนี้ไม่เหมาะจะมาถกกันเรื่องนี้หรอกนะเรารีบ...”
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีเรย์” เบนเอ่ยแทรกบ้าง ก่อนจะกอดอกทำตัวดื้อเพ่งเหมือนเคย ไม่ทันที่เพจจะได้กรีดร้องอีกระลอก โรสก็ตัดสินใจตัดปัญหาด้วยการปักเข็มยาสลบที่เตรียมมาเข้าที่ท่อนแขนของเจไดหนุ่มเสียก่อน ไม่กี่วินาทีถัดมาร่างหนาก็ล้มตึง พร้อมให้สองพี่น้องทิโค่นำส่งนายจ้างอย่างนายพลฮักซ์
เขาโกหกเธอจริงๆ เสียด้วย
คิระคิดขณะจ้องมองห้องขังที่ว่างเปล่า ซากหุ่นดรอยกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ประตูพังเละไม่เป็นท่า มองแวบเดียวก็รู้ว่าถูกฟันด้วยไลท์เซเบอร์ เพราะฉันให้เธอได้ทุกอย่างงั้นเหรอ เหลวไหลทั้งเพ ก็แค่ประโยคกลวงๆ ที่ถูกพ่นออกมาเพื่อถ่วงเวลาจนกว่าพวกพ้องจะมาช่วยเหลือได้ทันไม่ใช่หรือไง
คิระก็ว่าอยู่แล้วว่ามันแปลกๆ ที่ฝูงเอ็กซ์วิงพวกนั้นเอาแต่กระจุกยิงกันอยู่ที่เดียว แถมยังเป็นในที่ที่เห็นชัดๆ อย่างสะพานเดินเรือด้วย ซ้ำพอส่งยานไทไฟท์เตอร์ไล่ตามไปก็ยังไม่ยิงโต้ เอาแต่บินหลอกล่อไปมาอยู่ได้ตั้งนานสองนานก่อนจะล่าถอย ทั้งหมดเพียงเพื่อประวิงเวลาก่อนที่เบน โซโลจะหนีได้เท่านั้น
หัวใจของเด็กสาวเหมือนกลับไปเป็นโพรงกว้างอีกครั้ง ต่อให้ความกราดเกรี้ยวแล่นริ้วอยู่เต็มเส้นเลือดก็ไม่อาจถมเต็มมันได้ การอาละวาดทำลายสิ่งของอย่างที่เธอมักทำเป็นประจำก็ไม่ช่วยให้มันบรรเทาลงได้เลยแม้แต่น้อย คิระรู้สึกเหมือนถูกทรยศ ทั้งที่ถ้าคิดอยู่ให้ดีๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะทำเช่นนั้น เธอต่างหากแปลกเองที่หลงเชื่อ เขาเป็นศัตรู เป็นเจได คือขั้วตรงข้ามของทุกสิ่งที่เธอเป็นและสามารถเป็นได้ เธอไม่ควรหลงเชื่อคารมเขาแต่แรกเลยจริงๆ
หลังจากระบายอารมณ์ไป ‘บ้าง’ แล้ว คิระก็หันกลับไปสั่งงานลูกน้องที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ด้านหลังต่อทันที ดูเหมือนเธอต้องรีบไล่ล่าตัวมาซ คานาตะไม่ก็เจไดคนอื่นมาให้ได้เสียแล้วก่อนที่มาสเตอร์จะรู้ว่าเธอโกหกเพื่อปกป้องคนที่โกหกเธออีกต่อเช่นกัน
แต่ละวันหลังจากนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าและทุกข์ทรมานมากกว่าที่ควรจะเป็นอีกหลายเท่า คิระคุ้นเคยดีกับภาระงานอันหนักอึ้งของการเป็นศิษย์เอกของท่านผู้นำสูงสุดและผู้นำทัพแห่งความตาย ทว่าที่เธอไม่คุ้น คือการที่ห้วงคำนึกล่องลอยไปหาเจไดหนุ่มผู้นั้นอยู่ตลอดเวลาจนน่าหนักใจต่างหาก
เธอได้ยินเสียงกระซิบของเขา เรียกเธอด้วยชื่อของคนอื่นแต่กลับฟังคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ยามมองเข้าไปในกระจกเงาก็เหมือนจะเห็นเงาสะท้อนของเขาจ้องกลับมา เธอค้นพบว่าตนเองสงสัยอยู่บ่อยครั้ง ว่าการใช้ปลายนิ้วที่เปลือยเปล่าลูบไล้ไปตามรอยแผลเป็นของเขาจะให้ความรู้สึกเช่นไร หากได้สัมผัสเขาในแบบเดียวกับภาพมายาอันพร่างพราว เธอจะกลับมารู้สึกเต็มตื้นได้หรือไม่
คิระบอกตนเองให้เลิกฟุ้งซ่านแต่ก็ไม่อาจทำได้
เธอเริ่มคิดแล้วว่าบางทีเธอน่าจะทำตามที่มาสเตอร์สั่ง เข่นฆ่าพวกเจไดไปเสียให้จบๆ จะได้ไม่ต้องมารู้สึกเช่นนี้อีก ความสับสนและว้าวุ่นที่กำลังกัดกินเธอทั้งเป็น
การคงอยู่ของเบน โซโล แย่ยิ่งกว่าด้านสว่างที่หลงเหลืออยู่ในพลังของเธอเสียอีก
ถ้าเป็นไปได้เธอจะฆ่าเขาก่อนใครเพื่อนเลย
ซึ่งโอกาสที่ว่าก็มาเยือนคิระเร็วกว่าที่คิด เมื่อวันหนึ่งเด็กสาวลากสังขารอันอ่อนล้ากลับไปยังห้องพักและค้นพบว่าเจไดหนุ่มกำลังยืนอยู่กลางห้องของเธอ เขาหันมาทาองเธออย่างเชื่องช้า ดวงตาสีน้ำตาลอันล้ำลึกเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจไม่แพ้กัน
“เรย์...” เป็นอีกครั้งที่เขาเขาเรียกเธอด้วยชื่อของคนอื่น
ในขณะที่ความประหลาดใจของเจไดหนุ่มเจือไปด้วยความยินดี ความประหลาดใจของคิระนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธอย่างรวดเร็ว เธอตวัดมือ บงการให้เครื่องเรือนในห้องพักลอยว่อนเข้าใส่เขา ทว่าเพียงกะพริบตาเบน โซโลก็หายไปเสียแล้ว
และนับจากวันนั้นเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ก็เกิดบ่อยขึ้นและบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
Chapter 24: Episode 24 Don’t Be Afraid.
Chapter Text
เบนไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ได้
“ไปนั่งห่างๆ ได้มั้ย” เรย์ขู่ฝ่อก่อนจะปาหมอนใส่เขาแต่มันทะลุผ่านไปอย่างง่ายดายเหมือนกับเก้าอี้ มีด และไลท์เซเบอร์ที่เธอโยนใส่ก่อนหน้านี้ วัตถุเหล่านั้นไม่อาจส่งผ่านพลังมาถึงเขาที่อีกฝากของกาแล็คซี่ได้ มีเพียงเสียงของเรย์และการคงอยู่ของเธอเท่านั้น
ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เขากลับมาจากยานของลิซซาเลี่ยน
เบนยังคงโกรธอาร์มิเทจไม่หายที่บุ่มบ่ามพาตัวเขากลับมาทั้งที่ไม่ได้ร้องขอ พอกลับมาพวกเขาก็ทะเลาะกันยกใหญ่ ก่อนจำใจยอมสงบศึกเมื่อเลอาและลุคเข้ามาห้ามเพราะว่ามีสถานการณ์ที่สำคัญกว่าให้ต้องจัดการ
นั่นคือจะทำอย่างไรกับข้อเท็จจริงที่ได้รู้มาดี
ต้องขอบคุณคิระเร็นที่บังเอิญหลุดปากพูดชื่อท่านผู้นำสูงสุดออกมา สโน้ค...ซึ่งคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากวุฒิสมาชิกสโน้คผู้น่าขนลุกคนนั้น เลอาสงสัยมานานแล้วว่าเขาให้เงินทุนสนับสนุนผู้ก่อการร้ายเพื่อเพิ่มอิทธิพลให้ตนเองและกำจัดคนที่เห็นต่าง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นซิธลอร์ดเสียเองไม่ต่างจากพาลาทีน
ในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าจะมีการประชุมใหญ่ประจำปีที่รัฐสภา เลอาจะนำเสนอหลักฐานที่มาซมอบให้และอาศัยความช่วยเหลือจากเฟิร์สออเดอร์ในการจับกุมสโน้คแบบไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นคือสิ่งที่ทุกคนเห็นตรงกัน ทว่าที่ไม่ตรงคือจะทำอย่างไรกับเหล่าพาดาวันที่กลายเป็นอัศวินแห่งเร็นดี
“นั่นไม่ใช่พาดาวันเรย์ของนายอีกแล้วโซโล” นั่นคือสิ่งที่อาร์มิเทจพ่นออกมา “เธอทำเรื่องโหดเหี้ยมมามากจนแทบจะต้องโทษประหารได้เลยด้วยซ้ำ และนั่นแค่เท่าที่เรามีหลักฐานนะ ใครจะรู้ว่ามีเรื่องเลวร้ายอีกมากแค่ไหนที่เธอทำตั้งแต่จากพวกเราไป”
“นั่นเพราะเธอถูกล้างสมอง!” เบนคำรามโต้ “สโน้คบิดเบือนความทรงจำของเธอรวมทั้งพาดาวันคนอื่นด้วย และให้ตายเถอะ เรย์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วเธอชื่ออะไรกันแน่ เธอเรียกตัวเองว่าคิระตลอดเวลาแถมยังจำฉันไม่ได้อีก!”
และจนถึงวันนี้เบนก็ยังทะเลาะกับอาร์มิเทจเรื่องนี้อยู่เลย เลอาทำได้เพียงปลอบใจ ไม่กล้าเสนอความคิดเห็นหรือให้ความหวังเพราะเธอไม่ได้รู้เกี่ยวกับพลังมากพอจะทำเช่นนั้นได้
ส่วนลุค...
“ฉันไม่คิดว่าสโน้คจะล้างความทรงจำพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์หรอก อย่างมากก็แค่ปิดกั้นไว้เท่านั้น เพราะเห็นๆ อยู่ว่าเรย์จำเบนได้ ไม่งั้นเขาไม่รอดมายืนอยู่ตรงนี้แน่ ถ้าเรากำจัดอิทธิพลสโน้คได้ บางทีทุกคนก็อาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่มันก็แค่อาจเท่านั้น สามปีเป็นเวลาที่ยาวนานนัก ใครจะรู้ว่าความมืดแทรกซึมเข้าไปขนาดไหนแล้ว ต่อให้ความทรงจำกลับมาพวกเขาก็ไม่ใช่คนเดิมคนเดียวกับตอนที่จากไปอยู่ดี”
เบนคำรามในลำคอก่อนจะหันหลังเดินหนี ไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ตามเขาจะต้องได้เรย์ของเขาคืนมา ต่อให้ไม่อาจดึงเธอกลับมาในแสงสว่างได้ เขาก็จะร่วงหล่นสู่ด้านมืดไปพร้อมกับเธอเอง
หลังจากนั้นเบนแทบจะถูกกักบริเวณทางอ้อม ห้ามออกไปนอกยานสุพรีมมาซี ห้ามติดต่อสื่อสาร และไม่ฟาสม่าก็ฟินน์จะคอยเดินตามประกบเขาตลอด มาตราการป้องกันไม่ให้เขาวิ่งไปหาเรย์จนทำแผนจับกุมสโน้คซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งอาทิตย์แตก ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงถ้าเขาอยากจะหนีจริงๆ ใครจะรั้งเขาไว้ได้
แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเป็นใจให้เขา
“เรย์...”
พลังยึดโยงพวกเขาไว้ด้วยกันอีกครั้ง ทว่าในวิถีทางที่แปลกประหลาดยิ่ง มองเห็นอย่างจัดเจน แต่ก็พร่าเลือนเกินจะจับต้อง แรกเริ่มเรย์โวยวายและพยายามประทุษร้ายเขาทุกครั้งที่มีโอกาส แต่เมื่อตระหนักได้ว่าไม่มีทางทำให้เขาบาดเจ็บผ่านพลังได้เธอก็ล้มเลิกความพยายามแต่ยังไม่เลิกตั้งป้อมเสียทีเดียว
ส่วนเบนนั้นตรงข้าม เขาไม่มีวันละความพยายามที่จะทำให้เธอจดจำได้เด็ดขาด
“ใครตั้งชื่อคิระให้เธอกัน?” เบนถามในวันหนึ่ง เรย์ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันยังคงอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำอันอึมครึม ทว่าปราศจากหมวกเหล็ก เธอกำลังตรวจทานเอกสารซึ่งแสดงอยู่บนหน้าจออิเล็คทรอนิก ซึ่งดูแล้วน่าจะระเบียบการซ้อมรบของวันพรุ่งนี้กับแผนผังของอาคารสักแห่ง
“เธอบอกว่าเธอตื่นมาโดยจำอะไรไม่ได้สักอย่างกระทั่งชื่อตัวเอง ถ้างั้นแล้วคิระ เร็นมาจากไหนกัน”
เขาพยายามชวนเธอคุยมาสักพักแล้ว ซึ่งก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลมาก แม้ส่วนมากจะเกิดจากการตัดคำราญมากกว่าเหมือนเช่นในครั้งนี้เป็นต้น
“...ข้าตั้งเอง มีปัญหาหรือไง”
“เปล่า” เบนยิ้ม อ่อนโยนและเอ็นดูเหมือนเคย “ดีใจด้วยซ้ำเพราะมันแปลว่าเธอยังคงเป็นเรย์ของฉันอยู่”
เธอมองมาที่เขาอย่างงุนงง พยายามอาศัยความเงียบเพื่อตัดบทสนทนา แต่ดูเหมือนความอยากรู้อยากเห็นจะมีมากกว่า เพราะอีกไม่กี่นาทีถัดมาเรย์ก็วางอุปกรณ์ในมือลง ดวงตาสีแดงปนทองเหลือบมองเขานิดหนึ่งอย่างชั่งใจก่อนถาม
“หมายความว่าไงกัน?”
“ภาษานาบู” เจไดหนุ่มเฉลย “ถ้าเขียนชื่อเรย์ด้วยอักษรนาบู จะสามารถอ่านแบบภาษาสากลกาแลคติกได้ว่าคิระ สโน้คอาจจะปิดกั้นความทรงจำของเธอไว้นะเรย์ แต่ลึกลงไปแล้วเธอก็ยังเป็นเธออยู่ดี การที่เธอเป็นคนเลือกชื่อนี้เองยืนยันได้เป็นอย่างดี”
“ไร้สาระ” เด็กสาวพึมพำลอดไรฟัน ท่าทางทั้งโกรธและสับสน เบนเล็งเห็นโอกาสที่จะสร้างรอยร้าวให้กับเปลือกอันแข็งกระด้างเพิ่มทันที
“เช็คดูก็ได้แล้วเธอจะรู้ว่าฉันพูดถูก ฉันไม่มีทางโกหกเธอ”
คิระทนสงสัยได้อีกค่อนวันก่อนจะพิสูจน์คำพูดของเจไดหนุ่ม
เป็นอย่างที่เบน โซโลว่าไว้ ชื่อเรย์กับคิระเกี่ยวข้องกันจริงๆ ด้วย คิระรู้สึกได้ถึงระลอกความสับสนซึ่งแผ่ขยายยิ่งกว่าเก่า เธออยากจะเชื่อว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เป็นแค่อีกหนึ่งกลวิธีที่เขาใช้มาหว่านล้อมให้เธอทรยศท่านผู้นำสูงสุดด้วยรู้ดีว่าไม่อาจงัดสู้เธอได้ แต่เด็กสาวจระหนักได้ดีว่าเธอกำลังหลอกตนเองอยู่
ตอนที่ตื่นขึ้นมาโดยไร้ความทรงจำเมื่อสามปีก่อนเธอเป็นคนเลือกทั้งชื่อและนามสกุลด้วยตนเอง คิระไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เธอแค่...คลับคล้ายคลับคลา ถึงเส้นสีดำที่ตวัดลงบนกระดาษโดยฝ่ามือใหญ่แต่เรียวสวย ดวงตาสีน้ำตาลล้ำลึกที่ทอดมองมา และเสียงนุ่มนวลที่เรียกเธออย่างแผ่วเบาเกินจะได้ยิน
ภาพของเบน โซโลซ้อนทับขึ้นมากับความทรงจำนั้น
อาจเพราะแบบนั้น หรือไม่ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นอันไร้สาระ เธอจึงลองเขียนชื่อเจไดหนุ่มด้วยภาษานาบูดูบ้าง
...เร็น...
นามสกุลโซโลของเขาอ่านได้ว่าเร็น
และนั่นทำให้ชื่อของเธออ่านได้ว่าเรย์ โซโลเช่นกัน
คิระรู้สึกได้ถึงผิวแก้มที่ร้อนผ่าว นี่มันมากเกินกว่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญแล้ว
หรือที่เบน โซโลพูดจะถูกต้อง เธอก็คือเจไดคนหนึ่งที่ถูกช่วงชิงมาจากแสงสว่างจริงๆ เพราะแบบนั้นในครั้งต่อมาที่พลังเชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน คิระจึงถาม สีหน้าอาจจะนิ่งเรียบและคงแววตาดุดันได้อยู่ ทว่าภายในนั้นปั่นป่วนยิ่งกว่าพายุอันบ้าคลั่ง
“ข้าอยากให้เจ้าพิสูจน์เกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าพูด ว่าเรา...” เธอกลืนน้ำลาย เลือกคำอย่างยากลำบาก เติบโตมาด้วยกัน มีสายสัมพันธ์ต่อกัน มีความรู้สึกให้กัน “รู้จักกันและกันจริงๆ”
เขายิ้ม เหมือนเช่นเคย เล็กน้อยจนเกือบเป็นแค่มุมปากที่บิดขึ้นทว่าประกายในดวงตากลับพราวระยับ เปี่ยมด้วยความหวัง เบน โซโลสาวเท้าเข้ามาใกล้ ทว่าคิระกลับถอยเท้าหนีทันควัน เธอบอกตนเองว่าไม่ได้กลัว ศิษย์เอกแห่งความมืดเช่นเธอไม่เกรงกลัวอะไรอยู่แล้ว แต่มันช่าง...น่าประหม่า
การเผชิญหน้ากับเขาให้ความรู้สึกเช่นนั้นเสมอมา
เห็นถึงท่าทางของเธอ เขายอมหยุดเท้า ชี้นิ้วไปยังหางคิ้วซ้ายของตน
“เธอมีแผลตรงนี้ ได้มาตอนอายุสิบสามเพราะถูกก้อนหินปาใส่”
คิระสังเกตว่าเขาเองก็มีแผลเป็นลักษณะคล้ายกันที่หางคิ้วขวา มือหนาย้ายไปยังต้นแขนต่อ
“รวมทั้งตรงนี้ แผลจากไลท์เซเบอร์ พัชกิ้นเป็นคนทำ”
“เจ้าสัตว์เคลื่อนคลานตัวนั้นเนี่ยนะจะแตะต้องข้าได้”
คิระส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย้ยหยัน เธอเกลียดเจ้ากิ้งก่าตัวนั้น ผยองและถือดี แค่เพราะได้ตำแหน่งเหนือกว่าตัวอื่นนิดหน่อยก็คิดว่าจะตีเสมอเธอได้ พัชกิ้นเกือบทำให้เธอเดือดร้อนหลายครั้งแล้วเพราะมันมักเอาความใจอ่อนของเธอไปฟ้องท่านผู้นำสูงสุด เรื่องที่ทำนักโทษอย่างเจไดหนุ่มตรงหน้าหลุดมือไปเหมือนกัน ยังดีที่คิระกลบเกลื่อนด้วยการจับลูกน้องของมาซตัวจริงมาได้เสียก่อน ‘แผนการ’ ทุกอย่างจึงยังสามารถดำเนินต่อไปได้
“ก็ไม่เชิง มันปลอมตัวเป็นคนอื่นแล้วฉวยโอกาสตอนเธอเผลอ ฉันเองยังได้แผลมาเลย” เขาว่าพลางเลิกเสื้อขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บริเวณหน้าท้อง ผิวของเขาซีดเซียว แต่แน่นตึงเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ คิระหน้าแดงวาบ เผลอตัวเสมองไปทางอื่นอย่างประหม่าทันที
“เจ้าช่วยเอาเสื้อลงเหมือนเดิมทีได้มั้ย”
เขาหัวเราะ เสียงทุ่มลึกก้องอยู่ในลำคอ อาศัยจังหวะนั้นก้าวเข้ามาใกล้เธออีกก้าว
“ตกลงว่าเธอเชื่อฉันหรือยัง”
“ไม่” คิระตอบทันควัน “เจ้าอาจจะกุทั้งหมดนั้นมาเองก็ได้” เพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าได้แผลพวกนั้นมาได้ยังไง
ถ้อยคำของคิระไม่ได้ทำให้เขายอมแพ้ แต่เหมือนเป็นการท้าทายมากกว่าด้วยซ้ำ
“เธอชอบช็อคโกแลต ที่จริงแล้วต้องบอกว่าเธอชอบของหวานทุกชนิดแหละนะแต่ชอบช็อคโกแลตมากที่สุด เธอเกลียดอากาศหนาว ต่อให้ห่มผ้าหนาแค่ไหนก็ไม่ช่วย เพราะแบบนั้นเธอจะปีนขึ้นมานอนกับฉันทุกครั้งที่หิมะเริ่มโปรยลงมา ฉันดุเธอตลอด แต่ไม่เคยกล้าพูดความจริงเลยว่าชอบแค่ไหนที่เธอทำแบบนั้น”
เสียงของเขานุ่มลึก ไม่ต่างอะไรจากช็อคโกแลตที่เธอโปรดปราณเลยสักนิด แต่ใช่ เธอเกลียดอากาศหนาว ความเย็นเยือกที่เสียดแทงจนแทบจะทนไม่ได้
“เธอเข้ากันได้ดีกับสัตว์แทบทุกชนิด ฮักซ์เคยเรียกเธอว่าพนักงานอุ้มคุณมิลลิเซนต์อยู่พักหนึ่งด้วยซ้ำเพราะมีแต่เธอที่มันยอมเข้าใกล้ เธอชอบดอกไม้ ชอบน้ำทะเล เพราะไม่มีวันหาได้บนแจคคู เธอถักเปียไม่เป็นต่อให้สอนเท่าไรก็ถักไม่ได้สักทีฉันเลยต้องเป็นคนทำให้ตลอด เธอคิดว่าตัวเองผอมแห้งและดูเก้งก้าง แคสเซียนชอบบอกว่าเธอไม่มีสเน่ห์ เธอเชื่อคำเขา แต่กลับไม่ยอมฟังที่ฉันพูดเลยว่าเธองดงามและสมบูรณ์แบบขนาดไหน”
คิระเหมือนถูกสะกด อยู่ในภวังค์ ในห้วงฝัน เธอไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาเข้ามาใกล้ขนาดไหนแล้ว
มันช่างง่ายดายที่จะโอนเอนเข้าหา กลิ่นไอของเขา ความร้อนจากร่างของเขา คุ้นเคยราวกับบ้านซึ่งเธอโหยหา
เขายกมืออันสั่นเทาขึ้นมา ลังเลผสมด้วยหวาดกลัว และทันทีที่ปลายนิ้วแตะลงบนข้างแก้มของเธอ คิระก็รู้สึกได้กระแสไฟฟ้า มันทำให้เธอสั่นสะท้าน เติมเต็มช่องว่างทั้งหมดในพริบตา ในขณะที่วัตถุทุกอย่างพุ่งผ่านไปอย่างไร้ความหมาย มีเพียงสัมผัสของเขาเท่านั้นที่ข้ามผ่านดวงดารานับล้านมาถึงเธอได้
“เบน” เธอกระซิบเรียก ก่อนจะตระหนักได้ว่านั่นเป็นครั้งที่เธอเอ่ยนามของเขาออกมาตรงๆ และมันสร้างรสชาติแปร่งปร่าให้กับหัวใจของเธอยิ่งนัก
“เรย์...อย่ากลัวไปเลยฉันเองก็รู้สึกเหมือนกัน”
เขายิ้มกว้างขึ้นในขณะที่โน้มใบหน้าลงมา ใกล้เกินจำเป็นไปมาก และไม่ใช่เพียงปลายนิ้วเท่านั้นที่แตะสัมผัสเธอ แต่เป็นทั้งฝ่ามือหนาที่กำลังประคองซีกหน้า นิ้วโป้งลูบวน เกลี่ยอยู่เหนือโหนกแก้ม ซึ่งคิระต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีในการห้ามตนเองไม่ให้เอื้อมมือออกไปสัมผัสเขาในแบบเดียวกัน
“ข้ามีอีกเรื่องที่ยังคาใจ”
“ว่ามาเลย”
“ทำไมเจ้าถึงจูบข้า”
เขาชะงักให้กับคำถามนี้
“เจ้าบอกว่าข้าคือพาดาวันของเจ้า แล้วทำไมเจ้าถึงจูบข้ากัน”
“ฉัน...”
เขากำลังลังเล และถ้าเข้าใจไม่ผิดน่าจะหวาดกลัวด้วยซ้ำ มากจนเกือบทำให้บรรยากาศรอบตัวสั่นไหวและบิดเบี้ยว คิระเหยียดยิ้มหยันกลับไปให้
“ว่าแล้วเชียวว่าเจ้าโกหก” เธอถอยเท้าหนี ไออุ่นที่หายไปทำให้รู้สึกวูบโหวงไม่น้อย เบนตามมา ทว่าคิระปัดมือของเขาออก “ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เรารู้จักกัน ข้าเป็นพาดาวัน ก็เป็นเรื่องจูบ เพราะทั้งหมดนั่นมันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ทำไมเจ้าถึงได้ปรารถนาในตัวข้ากัน มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีคนต้องการข้า ทุกอย่างก็แค่ถ้อยคำกลวงๆ กับภาพมายาที่เจ้าใช้พลังยัดเยียดใส่หัวข้าเท่านั้น”
เจ้ามันไร้ค่า...ไม่มีตัวตน...
เสียงแหบแห้งคืบคลานเข้ามาในความคิด เสียงของสโน้คที่ย้ำกับเธอมาตลอด
หากไม่ใช่ความเมตตาของข้า ก็ไม่มีใครอยากได้เจ้าอีกแล้ว
คิระตัดขาดการเชื่อมต่อไปทั้งๆ อย่างนั้น ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือสีหน้าเจ็บปวดของเบนซึ่งเริ่มจะพร่าเลือนจากน้ำตาของเธอ
เบนทำทุกอย่างพังหมด
ทั้งโอกาสที่จะได้เรย์คืนมาไปจนถึงห้องพักของตนเอง ความผิดหวังผสมกราดเกรี้ยวมากล้นจนต้องระบายออกกับอะไรสักอย่าง และเครื่องเรือนซึ่งไม่ตอบโต้และสามารถหามาทดแทนได้อย่างง่ายดายย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เบนโกรธสโน้คที่พรากเรย์ไปจากเขา
โกรธเรย์เช่นกันที่ดื้อดึงปฏิเสธในสิ่งที่ตนเองรู้สึก
โกรธทุกคนที่ทำเหมือนหมดหวังที่เขาจะได้เธอคืนมา
แต่เหนืออื่นใดก็คือโกรธตนเองที่ทำทุกอย่างพังไม่เป็นท่า เจไดหนุ่มยังคงนอนนิ่งอยู่ท่ามกลางเศษซากเฟอร์นิเจอร์ ดวงตาเหม่อลอยมองเพดานอย่างไร้จุดหมาย ทว่าสองหูยังคงทำงานได้ดี เพราะแบบนั้นเมื่อเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางประตู เบนจึงผุดลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ
“สภาพดูไม่ได้พอกันทั้งห้องทั้งคนเลยนะไอ้ลูกชาย”
“พ่อ...”
ฮาน โซโลก้าวเข้ามาในห้อง หยิบเก้าอี้ที่พนักพิงหักไปแล้วแต่ยังพอใช้งานได้ขึ้นมาปัดฝุ่นสองสามทีก่อนจะทรุดนั่ง ดูภายนอกแล้วฮานไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนสักเท่าไรนัก ทว่าแท้จริงแล้วรอยแผลขนาดใหญ่ที่กรีดลึกกลางแผ่นหลังสร้างผลกระทบไว้มากมายกว่าที่คิด เขาช้าลง ไม่แข็งแรงและไม่ทรหดเหมือนเคย การผจญภัยไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถทำได้อีกต่อไป
แต่ฮาน โซโลวัยเกษียณกลับสร้างความปวดหัวให้เบนยิ่งกว่าฮาน โซโลผู้ห่างเหินเสียอีก
แวะผ่านมาบ้างแหละ ดาเมรอนเรียกมาช่วยภาคทฤษฏีเด็กรุ่นใหม่บ้าง เรื่อยไปจนถึงทะเลาะกับเลอาเลยมาหาที่หลบภัย เรียกได้ว่าฮานมีสารพัดสารพันข้ออ้างที่จะมาวนเวียนอยู่ใกล้เบนจนแทบจะกลายเป็นสมาชิกเฟิร์สออเดอร์อีกคนเลยทีเดียว ผลคือตลอดสามปีมานี่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพ่อดีขึ้นค่อนข้างมาก อาจไม่ถึงขั้นสนิทสนม แต่ก็ดีกว่าที่เคยเป็นและหวังว่าจะเป็นได้มากนัก
“พ่อมานี่ได้ไงกัน”
“ชิวอี้มาส่งน่ะสิ”
คำถามนั่นทำเอาเบนขมวดคิ้วกลับไปให้เลยทีเดียว ฮานส่งยิ้มมุมปากแบบที่ทำเป็นประจำจนแทบจะกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาไปแล้วมาให้ก่อนจะอธิบายเพิ่ม
“กาแล็คซี่เดี๋ยวนี้มันแคบ เกิดอะไรขึ้นที่ไหนใครทำอะไรบ้าง เดี๋ยวเดียวก็รู้กันทั่วแล้ว”
ทว่าเบนไม่เชื่อคำพูดนั้นเสียทีเดียว ต้องมีใครสักคนส่งข่าวให้ฮานแน่นอน และสำหรับเจไดหนุ่มแล้วมีผู้ต้องสงสัยอยู่แค่สองคนเท่านั้น “ฮักซ์หรือแม่”
“ทั้งคู่” ฮานตอบ รอยยิ้มของเขาจางลงเล็กน้อยในประโยคถัดมา “พ่อรู้เรื่องเรย์แล้ว เลยอยากมาดูว่าลูกเป็นไงบ้าง”
เบนลูบใบหน้าอย่างอ่อนล้า เขาจะตอบปัดไปก็ได้ บอกว่าสบายดีแล้วไล่ฮานกลับไปเสีย ไม่มีความจำเป็นใดต้องอธิบายแม้แต่น้อย เพราะถึงพูดไปอีกฝ่ายก็ไม่มีวันเข้าใจ ถึงหลักการของพลังและสิ่งที่เขากับเรย์มีรวมกัน ซ้ำร้ายทุกคนยังเอาแต่พูดเหมือนว่าให้กำจัดเหล่าพาดาวันซึ่งกลายเป็นอัศวินแห่งเร็นทิ้งไปเสียจะได้หมดปัญหาเรื่องด้านมืด ทว่าเบนรู้สึกสิ้นหวังเกินกว่าจะใส่ใจในจุดนั้น เขาโศกเศร้า ความโกรธแค้นยังตกค้าง ต้องการการระบาย
“ผมทำพังหมดเลย”
และครั้งนี้มันมาในรูปของถ้อยคำ
“เรย์...ผมทำให้เธอผิดหวัง”
เบนเล่าให้ฮานฟังทั้งหมดว่าการได้พบเรย์ในคราบคิระให้ความรู้สึกเช่นไร พลังเชื่อมโยงพวกเขาด้วยวิธีไหน ข้อเท็จจริงที่เขารู้มาเกี่ยวกับชื่อของเธอ การที่เธอยอมให้เขาจับต้องก่อนจะผลักไสออกไปเมื่อเขาไม่อาจตอบคำถามของเธอได้ เขาเล่าจนไม่มีอะไรจะเล่า แต่ฮานก็ยังนิ่งเงียบ
เบนเงยหน้ามองในที่สุด หลังผ่านไปชั่วอึดใจฮานก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“ลูกรักเธอมั้ย?”
“อะไรนะ?”
“ลูกมีความรู้สึกให้เธอหรือเปล่า แม่หนูเรย์นั่นน่ะ”
“ความรู้สึกอะไร?
“โอย ให้ตายเถอะ” ฮานสบถทั้งยังกรอกตาอย่างลืมตัว “เลิกทำหน้าซื่อเป็นลูกหมาแล้วย้อนคำถามด้วยคำถามได้แล้วเบน วิธีนั้นอาจจะได้ผลกับฮักซ์แล้วก็ดาเมรอนแต่ไม่ใช่พ่อแน่ๆ ลูกมีแค่สองคำตอบเท่านั้น ใช่หรือไม่ใช่”
เบนสบถกลับในลักษณะเดียวกันขณะที่ลุกขึ้นยืน แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงตามแรงอารมณ์ซึ่งเริ่มจะมากขึ้นเรื่อยๆ “ผมเป็นมาสเตอร์ของเธอนะให้ตายเถอะ! การคิดแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง”
“ที่ไม่ถูกยิ่งกว่าคือการที่ลูกปฏิเสธทั้งความรู้สึกของตัวเองแล้วก็ของเธออย่างทำอยู่นี้ต่างหาก” ฮานลุกขึ้นยืนบ้าง “พ่ออาจจะเพิ่งเจอเด็กคนนั้นแค่ครั้งเดียว แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะบอกได้ว่าเธอมองลูกด้วยความรู้สึกแบบไหน และมันคือภาพสะท้อนของวิธีที่ลูกเหมือนเธอเหมือนกัน นี่ลูกกลัวอะไรอยู่กันแน่”
“ผมไม่ได้กลัว!”
“แล้วทำไมถึงไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองสักที!”
“เพราะผมไม่อยากกลายเป็นแบบเขา!!”
เบนพูดออกไปจนได้ สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในหลืบดำมืดของหัวใจเขา ความหวาดผวาและความลับที่แม้แต่เรย์ผู้อ่านใจเขาได้ก็ไม่เคยหาเจอ
“ผมไม่อยากกลายเป็นแบบดาร์ธเวเดอร์”
เบนทรุดนั่งลงขัดสมาธิกับพื้นตามเดิม ไหล่ลู่ตกดวงตาหลุบต่ำในขณะที่ปากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำสารภาพ
“และสำหรับคำถามของพ่อ ใช่...ผมรักเธอ ผมรู้ตั้งแต่วันแรกที่ลุงลุคพาเรย์มาแล้วว่าฉันจะตกหลุมรักเธอ ไม่สิอาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ”
ตั้งแต่ในห้วงฝัน ตั้งแต่แรกกำเนิด ราวกับว่าตัวตนของเขาและเธอมีไว้เพื่อและกันเท่านั้น
“ความรู้สึกทั้งหมดนี้มันรุนแรงมากๆ มากเกินกว่าที่ผมจะรับมือกับมันไหว พ่อพูดเองไม่ใช่เหรอว่ามีความเป็นเวเดอร์ในตัวผมมากแค่ไหน ความรักและความสูญเสียทำให้เขากลายเป็นบ้า นิกายเจไดล่มสลายลงก็เพราะเขา ที่ท่านยายตายก็เพราะเขาเหมือนกัน ถ้ายอมรับความรู้สึกนี้ออกไปตรงๆ สักวันผมเองก็คงกลายเป็นแบบเขาแน่ๆ”
เบนไม่ได้กลัวที่จะร่วงหล่นสู่ด้านมืด กลับกันเขายินดีอ้าแขนโอบรับมันด้วยซ้ำหากจะทำให้ได้เรย์คืนมา ทว่าที่เขากลัว คือการที่ความเป็นเวเดอร์อันมากล้นในตัวจะทำให้เขาบ้าคลั่งจนทำร้ายเรย์ไปด้วยต่างหาก
มันเป็นเรื่องที่เขายอมไม่ได้และจะไม่มีวันปล่อยให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
แม้ว่านั่นจะหมายถึงต้องเก็บงำความรู้สึกของตนเองไปตลอดกาลก็ตามที
“หรือต่อให้ไม่เป็นบ้าไปก่อน ลงท้ายแล้วผม...”
...ก็อาจจะกลายเป็นแบบพ่อ
เบนไม่ได้พูดออกไป แต่ฮานเหมือนจะรับรู้ได้ ประกายในดวงตาหม่นลงวูบหนึ่ง เขาถอนหายใจบางเบาก่อนเดินมาทรุดนั่งลงบนพื้นข้างกัน ฮานตระหนักถึงความผิดของตนเองได้ดี ทำให้ภรรยาและลูกผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือกที่จะเติมเต็มมรดกแห่งชื่อเสียงมากกว่าหน้าที่ของครอบครัว และเลือกผิดอีกครั้งที่ส่งลูกชายของเขาไปเป็นเจไดจนต้องห่างเหินกันอย่างที่เห็น
ทว่ามันยังไม่สายเกินไป เลอาไม่เคยหมดหวังในตัวเขา และเบนเองก็มอบโอกาสแก้ตัวให้เขามาแล้ว ฮานอาจจะไม่ใช่แบบอย่างที่ดีนัก แต่ถ้าจะมีอะไรที่เขาสามารถให้คำแนะนำลูกชายได้ นั่นคือจงอย่าเป็นอย่างเขา
“ลูกรู้อะไรมั้ย ตั้งแต่เราคุยกันมาทั้งหมดที่พ่อได้ยินคือ ‘ถ้า’ อย่างโน้น ‘ถ้า’ อย่างนั้น ‘ถ้า’ อย่างนี้ กับอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้นแล้วกลัวไปล่วงหน้า เขาไม่ได้รอบคอบแต่เรียกว่าขี้ขลาดต่างหากไอ้ลูกชาย”
เบนมีความรู้สึกว่าประโยคต่อว่านี้ไม่ใช่ของเขา แต่เป็นสำหรับตัวฮานเอง มือหนาที่เอื้อมมาบีบบ่าบ่งบอกแบบนั้น
“และเชื่อเถอะพ่อผ่านมันมาหมดแล้ว ความกังวลความลังเล กลัวว่าเราจะดีไม่พอจนเลือกที่จะถอยหนีมากกว่ายืนสู้ แล้วก็ขอแก้ความเข้าใจผิดหน่อยแล้วกัน แพดเม่ไม่ได้ตายเพราะถูกอนาคินทำร้าย เธอตายเพราะให้กำเนิดเจ้าหญิงแสนสวยกับเพื่อนรักของพ่อต่างหาก ลูกอาจจะมีส่วนที่คล้ายอนาคิน แต่สุดท้ายแล้วลูกก็ไม่ใช่เวเดอร์อยู่ดี ลูกก็คือลูก แค่นั้นแหละที่พ่ออยากบอก”
“ผมควรทำไงต่อไปดี” เบนถาม ความโกรธและความพลุ่งพล่านอาจจะบรรเทาลงทว่าไม่ใช่กับความสับสน
“ไม่มีอะไรที่ลูกไม่รู้หรอกนะเบน มีแค่อะไรที่ลูกยังไม่ได้ทำเท่านั้นแหละ” ฮานลุกขึ้นยืน ขยิบตามาให้เป็นการทิ้งท้าย
พอแผ่นหลังภายใต้เสื้อหนังหายลับไปจากสายตา เบนก็หงายหลังแล้วนอนแผ่ลงไปกับพื้นตามเดิม ในหัววุ่นวายยุ่งเหยิงด้วยการกระทำของตนเองและคำพูดของผู้เป็นพ่อ ไม่ต้องใคร่ครวญนานเบนก็พบว่าเขาช่างสมกับเป็นผู้ชายตระกูลสกายวอล์คเกอร์โซโลจริงๆ หวาดกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดและอาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยซ้ำเพียงเพราะไม่กล้าที่จะเอ่ยไปตรงๆ ว่ารู้สึกอย่างไรกับเรย์
แต่ว่าเมื่อพรุ่งนี้มาเยือนเขาจะทำให้มันถูกต้อง เฟิร์สออเดอร์และเจไดจะรวมมือกันจับกุมสโน้ค ริดรอนอำนาจและด้านมืดที่ครอบงำ หลังจากนั้นหากเรย์จะยินดีมอบโอกาสให้ เบนจะสารภาพทั้งหมดออกไป ถึงนานปีที่ของความรู้สึกที่มีอยู่ เขาจะไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
Chapter 25: Episode 25 Let the Past Die.
Chapter Text
“ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งแล้วใช่มั้ย”
เสียงของอาร์มิเทจดังขึ้นจากเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กข้างหู เบนตอบรับในขณะที่กำลังเดินลาดตระเวนอยู่ทางทิศใต้ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องประชุมมากนัก เหล่าเจไดทั้งหมดต่างก็ปลอมตัวกระจายกันอยู่รอบๆ อาคารรัฐสภา บางคนเช่นเขาก็สวมเครื่องแบบเดินไปเดินมาโต้งๆ นี่แหละ ในขณะที่บางคนก็ปลอมอยู่ในชุดทหารยามบ้าง เจ้าหน้าที่ทั่วไปบ้าง หลังจากนั้นเสียงขานรับของแคสเซียนและเพจก็ดังขึ้น ตามมาติดๆ ด้วยมาสเตอร์เจไดคนอื่น
แผนการไม่มีอะไรซับซ้อน เลอานำเสนอหลักฐาน ลุคช่วยจับกุมกรณีสโน้คขัดขืน เจไดคนอื่นวางกำลังอยู่รอบๆ เผื่อสโน้คเรียกกำลังเสริมอย่างอัศวินแห่งเร็นหรือกองทัพลิซซาเลี่ยนมา มันควรจะเรียบง่ายและหมดจด ทว่าเบนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเสียก่อน
ด้านมืดซึ่งเจือไปด้วยแสงสว่างที่ใกล้ดับมอด
“เรย์...”
เธออยู่ที่นี่
“ก่อนที่เราจะเริ่มกันฉันมีบางอย่างอยากจะแจ้งให้สภาแห่งนี้ทราบ...”
เสียงของเลอาก้องกังวานไปทั่ว ลักษณะของห้องประชุมนี้แทบไม่ต่างจากเมื่อสมัยกาแลคติกยุคเก่าเลยสักนิด โถงกว้างที่สูงขึ้นไปในแนวตั้งแทบจะเทียบเท่าได้กับตึกสิบชั้น เหล่าวุฒิสมาชิกและผู้ติดตามหนึ่งถึงสองคนจะนั่งประจำกันอยู่ในยานรูปครึ่งวงกลมซึ่งติดอยู่กับผนังโดยมีพนักงานจากทางสภาในชุดเครื่องแบบค่อยทำหน้าที่ควบคุมยานให้
ตรงกลางคือเวทีซึ่งยกพื้นสูง มีเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ดูหรูหราเกือบจะเทียบเท่าบัลลังก์ตั้งอยู่ห้าตัว มันคือตำแหน่งที่นั่งของผู้ดำเนินการประชุมสภา ซึ่งจะค่อยทำหน้าที่เปิดประเด็น ไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง ไปจนถึงสรุปข้อตกลงที่ได้ บรรดาวุฒิสมาชิกที่ได้นั่งตรงนี้จะหมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละครั้ง
และในครั้งนี้ หนึ่งในบุคคลที่นั่งอยู่บนนั้นคือชายชราศรีษะล้านในชุดเสื้อคลุมตัวยาวสีทองปนดำ...สโน้ค
การกระทำของเลอาออกจะผิดธรรมเนียมมารยาทของการประชุมไปค่อนข้างมาก ตั้งแต่ไม่รอให้ประธานสภากล่าวเปิดไปจนถึงโพล่งพูดออกมาโดยไม่ขออนุญาต ท่ามกลางเสียงซุบซิบหึ่งๆ ของบรรดาวุฒิสมาชิกและผู้ติดตาม สโน้คกลับเอ่ยอย่างไม่ถือสาด้วยรอยยิ้มหยามหยัน
“เชิญตามสบายเลยวุฒิสมาชิกออร์กาน่า”
เพราะแบบนั้นยานที่นั่งของเลอาจึงลอยลงมาอยู่ในระดับเดียวกับแท่นเวทีซึ่งสโน้คนั่งอยู่ ผู้ติดตามของเลอาซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีเทาเข้มปิดบังใบหน้าสาวเท้าถอยไปรอด้านหลัง เลอาจ้องมองสโน้คตลอดเวลาที่เอ่ยข้อกล่าวหาร้ายแรงทั้งหลายออกไป
“เกี่ยวกับพฤติกรรมอันชั่วร้ายซึ่งสั่นคลอนความสงบสุขของกาแล็คซีของวุฒิสมาชิกสโน้ค”
บังเกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศทันที
เลอาไม่รอช้าที่จะนำเสนอหลักฐานซึ่งเธอรวบรวมมาได้และมาซมอบให้ ที่หน้าจอของยานแต่ละลำปรากฏภาพขึ้น บัญชีอิเล็คทรอนิกส์ที่บ่งชี้ว่าสโน้คยักยอกเงินเพื่อนำไปให้ทุนกลุ่มก่อการร้ายลิซซาเลี่ยน ภาพหลักฐานการจ่ายสินบนเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน การซักทอดจากพ่อค้าของเถื่อนว่าขายอาวุธสงครามจำนวนมากให้สโน้ค
ทว่าความร้ายแรงของข้อกล่าวหายาวเหยียดเหล่านั้นก็ยังไม่อาจเทียบได้กับข้อสุดท้าย
“ใช้พลังด้านมืดในฐานะซิธลอร์ด ลักพาตัวพาดาวันแปดคนไปทารุณกรรมและล้างสมองให้ทำเรื่องชั่วช้า”
บรรดากรรมการผู้ดำเนินการประชุมอีกสี่คนต่างลุกพรวด ถอยหนีห่างจากสโน้คจนแทบจะสุดขอบเวที เสียงที่ดังอยู่รอบๆ ไม่ใช่แค่การซุบซิบอีกแล้ว แต่เป็นการโต้เถียงด้วยความตกใจแทน
“มีอะไรจะแก้ตัวมั้ยวุฒิตสมาชิกสโน้ค” เลอาเอ่ยถาม “ไม่ใช่สิ ดาร์ธสโน้ค”
“แค่เรื่องเดียว” ชายชราขณะลุกจากเก้าอี้ซึ่งใหญ่โตไม่ต่างจากบัลลังก์ “ข้าไม่ใช่ซิธลอร์ด ไม่เหมือนอะไรที่พวกเจ้ารู้มาทั้งนั้น นิกายแห่งซิธจบสิ้นไปแล้วพร้อมกับความรุ่งเรื่องของเจได ข้าคือรัชสมัยใหม่ของกาแล็คซี คือผู้นำสูงสุดซึ่งจะมีได้เพียงหนึ่งเท่านั้น”
สิ้นคำ เสียงชาร์ตพลังของปืนบลาสเตอร์ก็ดังขึ้น พร้อมกับปากกระบอกปืนที่หันเล็งมาทางเลอาโดยเจ้าพนักงานซึ่งควบคุมยานของเธอ
“และสภาแห่งนี้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป”
ใบหน้าและมือแปรเปลี่ยน จากผิวสีเนื้อเป็นหนังหยาบหนาสีเขียวแก่ของลิซซาเลี่ยน และไม่ใช่แค่ยานของเลอาเท่านั้น แต่เจ้าพนักงานที่ประจำอยู่กับยานของวุฒิสมาชิกเกินครึ่งล้วนคืนร่างเป็นลิซซาเลี่ยนแล้วดึงอาวุธขึ้นมากันหมด ในขณะที่ยานของวุฒิสมาชิกที่เหลือลอยมาหยุดอยู่ด้านหลังของสโน้คซึ่งกำลังเหยียดยิ้มกว้าง ร่างกายของเขายืดสูงขึ้น ใบหน้าซีกซ้ายปรากฏเป็นรอยแผลหน้าเกลียดที่ดึงรั้งจนบิดเบี้ยว
ทั้งที่เลอาสาวไส้ความชั่วร้ายทั้งหมดออกมาวางตรงหน้าแล้วแท้ๆ สภากว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังเลือกจะหนุนหลังสโน้ค ถ้าไม่ใช่เพราะหน้ามืดตามัวไม่เชื่อคำเลอาก็เพราะรู้ดีอยู่แล้วในสิ่งที่สโน้คทำ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็น่าอับอายยิ่งนัก
แม้สถานการณ์จะพลิกผันเพียงใด ทว่าทั้งสีหน้าและแววตาของเลอากลับไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“คงพูดไม่ได้หรอกนะว่าฉันแปลกใจ”
วูบ!!
ไลท์เซเบอร์สีเขียวสว่างวาบขึ้นมาจากมือของผู้ติดตามของเลอา ฟันตัดข้อมือลิซซาเลี่ยนจนอาวุธปืนร่วงลงพื้น มันส่งเสียงร้องออกมาได้ไม่ถูกครึ่งคำก็ถูกไลท์เซเบอร์อันเดียวกันตวัดฟันจนขาดสองท่อน มือกลเลิกฮู้ดสีเทาขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าของลุคซึ่งจ้องมองสโน้คอย่างเย็นชา
“สกายวอล์คเกอร์” สโน้คคำรามเรียกด้วยความหงุดหงิด ลุคกระโดดจากยานไปยังแท่นเวที ไลท์เซเบอร์ยังคงส่งเสียงหึ่งๆ ตลอดเวลา สถานการณ์พลิกผันอีกต่อ เมื่อเหล่าสตอร์มทรูปเปอร์จำนวนมากต่างกรูกันเข้ามาในห้องประชุม อีกส่วนก็โรยตัวมาจากด้านบนลงมาบนยานแต่ละลำแล้วจัดการเก็บลิซซาเลี่ยนทันทีโดยไม่คิดรีรอสัญญาณ
“มันจบแล้ว” ลุคกล่าว “ยอมมอบตัวแต่โดยดีเถอะ”
แต่ก็เหมือนเลอา แม้ว่าสถานการณ์จะพลิกผันจนดูเสียเปรียบมากเพียงใด สโน้คก็ไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย
“เป็นข้าจะไม่รีบร้อนตัดสิน”
ตูม!!
ตูม!!
ตูม!!
เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระลอก เหมือนในงานฉลองครองราชย์ที่ดาวอัลเดอรานไม่มีผิด ต่างไปแค่นี่ไม่ใช่ระเบิดเบี่ยงเบนความสนใจอย่างที่แล้วมา แต่เป็นการมุ่งหมายเอาถึงตาย สองลูกน่าจะมาจากยานของวุฒิสมาชิกที่ลอยอยู่สูงขึ้นไป อีกลูกปะทุมาจากพื้นใต้เวทีโดยตรง มีเสียงระเบิดแววมาจากที่ไกลๆ อีกหลายลูก เศษซากโลหะปลิวว่อนไปทั่ว ความโกลาหลบังเกิด
ลุคถอยหนีจากแรงระเบิดอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่ทันที่เท้าจะได้เหยียบลงพื้นก็มีเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งกระโจนตามมาจากกลุ่มควัน หนุ่มสาวซึ่งสวมชุดสีดำทะมึนทั้งสิ้นแปดคน แต่ละคนต่างก็มีหน้ากากเหล็กปกปิดใบหน้าและถือไลท์เซเบอร์สีแดงก่ำ หนึ่งในนั้นซึ่งถือไลท์เซเบอร์สองด้านเหมือนพลองและเป็นคนเดียวที่ไม่มีหน้ากากจงใจพุ่งเข้าหาลุคโดยตรง
“เรย์!!” ลุคร้องอย่างตกใจในขณะที่ยกอาวุธของตนเองตั้งรับ
เด็กสาวคำรามฮึมฮัมอย่างไม่ชอบใจนัก “คิระ เร็นต่างหาก” ก่อนจะฟาดฟันไลท์เซเบอร์เข้าใส่อดีตมาสเตอร์คนหนึ่งของเธอต่อทันที
ตอนที่เหล่าเจไดมาถึงทุกอย่างก็วุ่นวายมากแล้ว
แคสเซียนเห็นสตอร์มทรูปเปอร์พยายามช่วยกันอพยพวุฒิสมาชิกและผู้ติดตามเท่าที่จะทำได้ แต่เพราะต้องต้านทานลิซซาเลี่ยนและอัศวินแห่งเร็นไปพร้อมกันจึงทุลักทุเลเต็มที กระสุนบลาสเตอร์สาดว่อนไปทั่ว เสียงกรีดร้อง ควันไฟและซากที่พังทลาย อาร์มิเทจต้องหัวเสียมากแน่ๆ ที่ภารกิจออกมาไม่หมดจดเหมือนที่เจ้าตัวคิดไว้
แต่ว่าได้ยังไงกัน ทั้งที่เหล่าเจไดวางกำลังป้องกันอยู่ด้านนอกแท้ๆ แล้วพวกอัศวินแห่งเร็นบุกมาถึงใจกลางห้องประชุมได้ด้วยวิธีไหน
แคสเซียนคว้าคอเสื้อฟินน์ที่บังเอิญวิ่งผ่านมาพอดีไว้
“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามรวดเร็ว
“แผนพวกเราชนกับสโน้คน่ะสิ” ฟินน์ตอบ “เจ้านั่นตั้งใจจะฆ่าล้างทั้งสภาเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้นำสูงสุดเลยขนมาหมดทั้งกองทัพ ดังนั้นแทนที่จะได้จับกุมกันดีๆ มันเลยกลายเป็นสงครามกลางเมืองอย่างที่เห็น”
ฟิ้ว!
ระหว่างที่พูดกันกระสุนบลาสเตอร์ก็เฉียดศีรษะพวกเขาไปหลายต่อหลายนัด ฟินน์คิดแค่ว่าเขาโชคดี ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นแคสเซียนต่างหากที่ใช้พลังปัดมันออกไปให้พ้นทาง สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มรีบอธิบายต่อ
“โพพาท่านวุฒิสมาชิกออร์กาน่าออกไปแล้ว ส่วนมาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์...”
ตูม!
ยังไม่ทันจบประโยคดี ร่างของคนที่พูดถึงก็ลอยละล่องข้ามฟากห้องมาตกลงไม่ใกล้ไม่ไกลกันนักพอดี แคสเซียนปราดเข้าไปพยุงอดีตมาสเตอร์ของตนเองอย่างรวดเร็ว เมื่อยืนขึ้นมาได้ ลุคก็ใช้มือซ้ายปัดไล่ฝุ่นที่เกาะอยู่ตามตัวออกไปในขณะที่ถอนหายใจเฮือก แคสเซียนสังเกตว่าแขนกลข้างขวาถูกตัด กลิ่นไหม้ยังคงตกค้าง บ่งบอกว่าถูกฟันด้วยความร้อนสูง
“สงสัยฉันคงจะแก่แล้วจริงๆ น่ะแหละ” ลุคบ่นงึมงำทว่าก่อนที่แคสเซียนจะทันได้ไถ่ถาม เขาก็ชิงอธิบายขึ้นมาเสียก่อนกระชับและเรียบง่าย ทว่าให้ความกระจ่างได้มากทีเดียว
“เรย์...เธอพาสโน้คหนีไปทางนั้น”
สิ่งแรกที่แคสเซียนนึกถึงคือเพื่อนรักของเขา ว่าอีกฝ่ายจะสติแตกแค่ไหนถ้าได้รู้ว่าทำเรย์หลุดมือไปอีกครั้ง แต่เมื่อพิจารณาทิศทางที่มาสเตอร์สกายวอล์คเกอร์ชี้ไปแล้ว แคสเซียนก็เป็นฝ่ายสติแตกเสียเอง เพราะทางเดินส่วนนั้นมุ่งสู่อาคารทางทิศใต้ที่เบนได้รับมอบหมายให้ลาดตระเวนอยู่
แคสเซียนสบถ แต่ก็ไม่อาจตามไปได้อย่างใจหวังเพราะอัศวินแห่งเร็นคนหนึ่งพุ่งเข้าใส่เขาเสียก่อน
ในจังหวะนั้นเองที่ลิซซาเลี่ยนตัวหนึ่งเคลื่อนกายไปทางทิศนั้นอย่างเงียบๆ
คิระสัมผัสได้ว่ามาสเตอร์ของเธอกำลังหงุดหงิดแค่ไหน
แผนการที่วางมาเนิ่นนานล่มไม่เป็นท่าเพราะเฟิร์สออเดอร์และเหล่าเจไดสอดมือเข้ามายุ่ง มันควรจะเรียบง่ายและรวดเร็ว ให้ลิซซาเลี่ยนที่ปลอมตัวเป็นพนักงานสภาจัดการฆ่าล้างบางวุฒิสมาชิกที่ต่อต้านให้หมดก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างปลอมเป็นคนพวกนั้น เพียงเท่านี้อำนาจของทั้งกาแล็คซี่ก็จะตกอยู่ในมือท่านผู้นำสูงสุด
คิระและเหล่าอัศวินแห่งเร็นควรจะมาแค่เพื่อเป็นสักขีพยานในการเถลิงอำนาจของเขา ทว่าทุกอย่างช่างผิดคาดไปเสียหมด ตั้งแต่เลอา ออร์กาน่าเปิดโปงมาสเตอร์ของเธอ หักหน้าเขากลางสภา แล้วยังการที่เจไดจับมือกับพวกเฟิร์สออเดอร์อีก
ความคิดเหล่านั้นล่องลอยเกี่ยวพันไปถึงใครอีกคน
เบน โซโล
ตั้งแต่การโต้เถียงกันครั้งล่าสุด เธอและเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ทั้งที่ถูกหักหลังและหลอกหลวงแท้ๆ แต่ถึงกระนั้นคิระก็ไม่อาจเลิกคิดถึงเขาได้ เขายังคงหลอกหลอนเธออยู่เสมอ ทั้งในยามตื่นและหลับตาฝัน แทบจะอยู่กับเธอทุกลมหายใจเข้าออก สัมผัสน้อยนิดที่ได้รับยังคงตราตรึงไม่จาง ทั้งล้ำลึกและอ่อนหวาน ซับซ้อนแต่ก็เรียบง่ายไปพร้อมกันอย่างน่าประหลาด
เป็นไปได้อย่างไรกัน ที่เราจะรู้สึกต่อใครคนหนึ่งได้รุนแรงและมากมายถึงเพียงนี้
คิระตวัดไลท์เซเบอร์ ฟาดฟันสตอร์มทรูปเปอร์โชคร้ายกลุ่มหนึ่งที่บังเอิญเจอเข้าระหว่างทาง ท่านผู้นำสูงสุดเปล่งเสียงแสดงความไม่พอใจที่ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน แม้จะมีแผนสำรองไว้รับมือสถานการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว แต่ยังไงก็ต้องไปจากอาคารแห่งนี้ให้ได้ก่อนอยู่ดี
เธอเตรียมยานหลบหนีไว้บนดาดฟ้าของอาคารทางทิศใต้ ลิฟท์กำลังไต่ระดับสูงขึ้นไป อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นเธอกับมาสเตอร์ก็จะ...
ทว่าเมื่อบานประตูแยกจากกัน แทนที่จะได้พบลานโล่งว่างซึ่งมียานไทสไลเซอร์จอดอยู่ คิระกลับพบร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบเจไดที่กำลังคะนึงหาแทน ดวงตาสีน้ำตาลของเบนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากเต็มอิ่มแยกเผยอ คิระแน่ใจว่าเขากำลังจะเรียกชื่อเธอ ทว่าท่านผู้นำสูงสุดคำรามออกมาเสียก่อน
“เจได!”
สายฟ้าปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเหี่ยวย่น เพียงพริบตามันก็พุ่งตรงเข้าหาเบน ไม่มีที่ให้หลบ เขาถูกช็อตเต็มๆ คิระเกือบจะกลั้นเสียงร้องด้วยความตกใจไว้ไม่ถูก เขากระเด็นข้ามลานไปไกลเกือบจะถึงยานสไลเซอร์ ไอควันยังลอยกรุ่น ชายเสื้อคลุมไหม้เล็กน้อย ทว่าโดยรวมแล้วยังดูปลอดภัยดี และนั้นสร้างความรู้สึกโล่งอกให้กับคิระมากเกินกว่าที่เธอจะกล้ายอมรับ
มันควรจะสิ้นสุดลงตรงนั้น ตรงที่เบนนอนบาดเจ็บอยู่พื้นและเธอกับมาสเตอร์หนีไป ทว่าสโน้คกลับรั้งรอไม่ยอมขึ้นยาน คิระเรียก แต่แทนที่จะขยับขาเขากลับขยับมือ บ่งการให้แท่นโลหะสีดำทมิฬสูงเท่าเอวลอยออกมาจากยาน
นี่คือแผนสำรองที่ท่านผู้นำสูงสุดเตรียมไว้เผื่อในกรณีที่สมาชิกสภาเกิดเปลี่ยนใจไม่เข้าข้างเขา ระเบิดทำลายล้างที่มีอนุภาคแทบจะไม่ต่างจากดาวมรณะขนาดย่อม ทันทีที่มันทำงานก็จะสูบกินดาวทั้งดวงจนหายไปสิ้น ไม่มีอีกแล้วสาธารณรัฐกาแล็คติก เฟิร์สออเดอร์หรือแม้กระทั่งเจได คงเหลือเพียงกองทัพแห่งความมืดที่รับบัญชาจากท่านผู้นำสูงสุดเท่านั้น
สโน้คขยับมืออีกครั้งเพื่อติดตั้งมันลงกับพื้น ดูเหมือนเบนจะพอเดาได้ว่าแท่นโลหะนี้มีไว้เพื่อการใด เขาตะเกียดตะกายลุกขึ้น พุ่งตรงเข้ามาพร้อมไลท์เซเบอร์ คิระไม่รอช้าที่จะใช้อาวุธของเธอปะทะตั้งรับกับเขา
เสียงหึ่งๆ และความร้อนแลบเลียผิวหนัง
สีหน้าของเบนดูราวร้านจนคิระอยากจะเบือนหน้าหนี ไม่ใช่เพราะบาดเจ็บหรือเกลียดชัง แต่เป็นความเสียใจที่กัดเซาะไปถึงวิญญาณ
“ฉันทำให้เธอผิดหวังเรย์ ฉันขอโทษ”
แต่ก่อนที่คิระจะทันได้ตอบโต้ สโน้คก็ยื่นมือเข้ามายุ่งเสียก่อน
“เลิกเล่นได้แล้ว”
พลังด้านมืดแยกทั้งคู่ออกจากกัน คิระเพียงเซถอยไม่กี่ก้าว ทว่าเบนถึงกับทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น สองมือไพล่อยู่เบื้องหลัง ไลท์เซเบอร์ร่วงตกอยู่ข้างตัว เจไดหนุ่มขบกรามแน่นจนเป็นสัน เหงื่อผุดพรายตามใบหน้า ดูเผินๆ อาจจะเหมือนแค่เขาถูกตรึงไว้กับที่ แต่แท้จริงแล้วพลังของท่านผู้นำสูงสุดกำลังแทรกผ่านไปทั่วร่าง เสมือนคมมีดนับร้อยกรีดแทงลงมาพร้อมๆ กัน คิระจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ดี เพราะเธอเคยลิ้มรสบทลงโทษนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“จัดการมันเสีย”
“อะไรนะ?!” คิระหันขวับ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างลืมตัว
“ประหารเจไดผู้นั้น พิสูจน์ว่าเจ้าคือคนที่คู่ควรกับการเป็นศิษย์เองของข้า พิสูจน์ว่าเจ้ามีคุณค่ามากเพียงพอ”
“อย่าไปฟังมันเรย์ เธอไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำ เธอไม่ต้องพิสูจน์อะไรทั้งนั้น”
“เงียบ!” สโน้คตวาด ขยับข้อมือ เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดเล็ดลอดออกมาช่วงสั้นๆ ก่อนที่เจไดหนุ่มจะขบกรามแน่นเพื่อสกัดกลั้นมันไว้อย่างสุดความสามารถ
ทว่าดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นกลับยังเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง คิระสัมผัสได้ถึงพลังของเขา แข็งกล้าและไม่ยอมจำนน ชั่วขณะหนึ่งเขาผลักดันพลังของท่านผู้นำสูงสุดกลับมา ส่งผลให้ร่างในชุดคลุมสีทองถึงกับเป็นฝ่ายผงะ สโน้คคำรามอย่างหงุดหงิด เกร็งฝ่ามือจนเหมือนกำลังบดขยี้อะไรบางอย่าง และเพียงไม่นานเบนก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตามเดิม
มือเหี่ยวย่นวางลงบนไหล่ของคิระผลักดันเธอไปเบื้องหน้าให้หยุดยืนค้ำเหนือเจไดหนุ่ม ไลท์เซเบอร์ในมือยังคงเปล่งแสงสีแดงวูบวาบ เธอคือฝ่ายที่ได้เปรียบ เป็นอิสระและถืออาวุธในขณะที่เขาสยบอยู่แทบเท้า แต่เหตุใดคิระจึงได้รู้สึกเปราะบางยิ่งนัก
“ฆ่ามันซะจอมอัศวินแห่งเร็น เพื่อเติมเต็มโชคชะตาของเจ้า”
“อย่าเรย์” เบนกระซิบ “ฉันรู้สึกได้ถึงความขัดแย้งในตัวเธอ อย่าปล่อยให้สโน้คควบคุมเธอได้”
“แต่ในความขัดแย้งก็ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ในความอ่อนแอยังมีความแข็งแกร่งซ่อนอยู่” เสียงแหบแห้งของสโน้คยังคงชักเชิดเธออยู่เบื้องหลัง ไม่ต้องหันมองคิระก็รู้ได้ว่ารอยยิ้มหยามหยันยังไม่จางไปจากใบหน้า “นี่จะเป็นบททดสอบสุดท้ายของการฝึกฝนของเจ้า ฆ่าทายาทของสกายวอล์คเกอร์ อย่าทำให้ความเมตตาของข้าเสียเปล่าคิระ เร็น ข้าชุบเลี้ยงเจ้ามา หยิบเจ้าขึ้นมาจากกองขยะแล้วมอบเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ให้ ฉะนั้นอย่าทำให้ข้าผิดหวังที่เลือกคนไร้ค่าอย่างเจ้า”
ประโยคเหล่านั้นดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัวของคิระ สร้างความสับสนที่เพิ่มทวี
“เรย์…” เสียงกระซิบของเขานุ่มลึกและเว้าวอน ไม่ใช่เพื่อร้องขอชีวิต ไม่เลย เขาแค่อยากให้เธอฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูดเท่านั้น “เธอถามว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้นกับเธอ เธอถามว่าจะเป็นไปได้ได้ยังไงที่จะมีคนต้องการเธอ และคำตอบคือมันยิ่งกว่าเป็นไปได้เสียอีก ฉันต้องการเธอมาตลอดและยังต้องการอยู่ ไม่ว่าในตอนที่เธอยังเป็นเรย์หรือกลายเป็นคิระไปแล้วก็ตาม”
“สังหารมัน”
…เพราะว่าฉันรักเธอ…
เสียงของเขาพุ่งตรงเข้ามาหาคิระ รุนแรงโหมกระหน่ำดังเกลียวคลื่น ก่อนจะค่อยๆ แทรกซึมและโอบอุ้มเธอไว้
“ข้ารู้ว่าควรต้องทำยังไง” คิระยกไลท์เซเบอร์ขึ้น แสงสีแดงทาบทับใบหน้าของเจไดหนุ่ม เขาไม่ละสายตาไปจากเธอ ไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำในชั่วขณะที่คิระตวัดไลท์เซเบอร์ลงไป...
ฉัวะ
...พร้อมกับหมุนตัว ให้อาวุธในมือฟันผ่านกลางลำตัวของสโน้คแทน
ใบหน้าเหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยรอยแผลเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง มันเป็นความตายอันเงียบงันและเหนือคาดยิ่งนักสำหรับผู้นำกองทัพแห่งความมืด คิระเฝ้ามองร่างกายทั้งสองท่อนของอดีตมาสเตอร์ร่วงลงสู่พื้นด้วยแววตาเย็นชา เธอค้นพบว่ามันง่ายดายกว่าที่คิดที่จะลงมือฆ่าเขา ทั้งที่ตลอดสามปีที่ผ่านเธอทั้งหวาดกลัวและครั่นครามเขายิ่งนัก แต่สโน้คทำให้เธอไม่มีทางเลือก
เธอไม่ต้องการทำร้ายเบน โซโล
เธอไม่มีวันทำร้ายเขาได้
ต่างจากถ้อยคำเกลี่ยกล่อมและบทสนทนาระหว่างกันซึ่งน่าสับสน คิระไม่กังขาในสิ่งที่เขาเอ่ยผ่านกระแสพลังมาให้เธอแม้แต่น้อย ราวกับว่าเธอเองก็รอคอยมาทั้งชีวิตที่จะได้ยินและได้เอ่ยประโยคนั่นกลับไป
และในพริบตานั้น ระลอกคลื่นของอารมณ์และภาพความทรงจำก็ถาโถมเข้ามาในตัวคิระ ตั้งแต่ภาพของเด็กหญิงตัวน้อยที่คุดคู้ร้องไห้กลางทะเลทราย อาคารที่ก่อจากอิฐและหินกลางป่าโปร่ง เด็กหนุ่มตัวสูงโย่งที่ยืนเผชิญกับเธอ พู่กันและน้ำหมึก อ้อมกอดและคำสัญญา
“ฉันหาเธอเจอแล้ว ฉันจะไม่ให้อะไรเกิดขึ้นกับเธออีก”
“ฉันจะอยู่กับเบนเสมอไม่ว่าจะในแสงสว่างหรือความมืด”
ภาพในหัวคิระเปลี่ยนไปอีกครั้ง ยานสีดำวาววับ แมวขนฟูสีส้ม เธอจ้องมองไปในกระจกแล้วเห็นเด็กสาวรูปร่างผอมบางสวมชุดเครื่องแบบเจไดจ้องตอบกลับมา ทันใดนั้นอ้อมแขนแข็งแกร่งของเบนก็ตวัดรัดเธอจากเบื้องหลัง ทั้งคู่หัวเราะให้แก่กันอย่างคุ้นเคย
ภาพของท้องทะเล รอยจูบย้อนคืนมาอีกครั้ง ชัดเจนยิ่งกว่าที่เคย คิระยังรู้สึกได้ถึงรสชาติของเขาซึ่งติดอยู่บนปลายลิ้นอยู่เลย
“การที่เราจูบกันเมื่อกี้ทำให้เบนรู้สึกยังไงบ้าง”
“ไม่มีอะไรถูกต้องไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
ทั้งหมดเปลี่ยนไปอีกครั้ง ราชวัง งานเลี้ยง เดรสสีขาว สูทสีดำ เธอในอ้อมกอดของเขากำลังเต้นรำด้วยกัน ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ ความมืดกลืนกิน กัดเซาะเธอด้วยความผิดหวัง ความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการซึ่งวกเวียนมาจนคุ้นชิน เธอเห็นสโน้คยืนอยู่เบื้องหน้า ช่วงชิงเธอมาจากเบนและตัวตนที่เคยเป็น
หลังจากนั้นเธอก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในฐานะคิระ เร็น
“เรย์...”
เสียงของเบนส่งผลให้หญิงสาวสั่นสะดุ้ง มือกำไลท์เซเบอร์แน่นขึ้น
“ไม่ใช่...” เธอกล่าว น้ำเสียงฟังร้าวรานและสั่นเครืออย่างไม่ได้ตั้งใจ การตายของสโน้คตายและการควบคุมที่สิ้นไปควรจะทำให้เธอเป็นอิสระ เธออาจจะจดจำบางอย่างจากนานปีที่อยู่รวมกันได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่เหมือนเดิมอยู่ดี เธอยังคงเป็นคิระอยู่ ความมืดหยั่งรากลึกและผลิบานมากเกินไป หรือต่อให้จดจำทั้งหมดได้...
“ฉันไม่ใช่เรย์คนเดียวกับที่นายปรารถนาจะได้คืนมาอีกแล้วเบน”
ซึ่งเธอแน่ใจว่าเหล่าอัศวินแห่งเร็นที่เหลือก็ต้องประสบชะตากรรมไม่ต่างกัน เป็นตัวตนอันน่าสับสนซึ่งมีทั้งแสงสว่างและความมืดอยู่ภายใน ไม่ใช่ซิธ แต่ก็ไม่อาจย้อนคืนกลับไปเป็นเจไดได้ จะไม่มีใครต้องการพวกเขา
ไม่มีใครต้องการเธอ
ทันใดนั้นฝ่ามือหนาก็เอื้อมมาประคองใบหน้าของเธอไว้ นิ้วโป้งเกลี่ยซับหยาดน้ำตาซึ่งรินลงมาตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบ
“ฉันเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้วว่าจะเคียงข้างเธอเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและฉันก็ยังยืนยันว่าฉันหมายความตามนั้นทุกประการ ไม่ว่าจะในฝันดีหรือฝันร้าย ในแสงสว่างหรือในความมืด ฉันมอบหัวใจและวิญญาณให้เธอไปตั้งนานแล้วเรย์ เนินนานก่อนที่ฉันจะกล้ายอมรับหรือจะรู้สึกตัวซะอีก ฉะนั้นได้โปรด กลับไปกับฉันเถอะนะ”
ถ้าคำว่ารักก่อนหน้านี้ของเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกเกลียวคลื่นแห่งอารมณ์อันมากล้นซัดสาด สิ่งนี้ ถ้อยสารภาพอันอ่อนหวานเหล่านี้ก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ เติมเต็มวิญญาณอันกลวงเปล่า กลายเป็นนิยามของคำว่าบ้านที่เธอไขว้คว้าหามาตลอด
แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เธอสั่นสะท้าน
“พวกนั้นไม่ยอมรับหรอก” เรย์กล่าว ถอยเท้าหนีจากเบนอีกครั้ง “ฉันทำผิดมามาก เรื่องเลวร้ายเกินกว่าที่ใครจะกล้าเอ่ยถึง สภาจะลงโทษฉันกับพวกเขา เจไดไม่มีทางอ้าแขนรับพวกเรากลับ และ...”
“เธอแค่กลัวไปล่วงหน้าเท่านั้นเองเรย์ อย่าให้มันกลืนกินเธอสิ”
“นายไม่เข้าใจเหรอเบน! แสงสว่างกับความมืดไม่มีวันอยู่รวมกันได้ สมดุลย์ของจักรวาลที่สกายวอล์คเกอร์พร่ำสอนเรามาตลอดมันไม่ใช่แบบนั้น กระทั่งวิถีของจักรวาลก็ไม่อนุญาติให้เราได้อยู่ด้วยกัน...ดังนั้นถึงเวลาที่สิ่งเก่าๆ ต้องตายไปให้หมด”
เธอถอยไปไกลจนถึงแท่นโลหะ มือบางภายใต้ถุงมือหนังวางอยู่เหนือแท่นนั้น ส่งผลให้แสงสว่างเรืองๆ สีแดงฉานส่องลอดออกมาจากรอยเชื่อมของแผ่นโลหะ และเพียงแค่กดลงไปเบาๆ เท่านั้นมันก็จะเริ่มต้นทำงาน
“ทั้งเจได ซิธ และสาธารณรัฐอันเปื่อยเน่า ให้พวกนั้นตายไปให้หมด”
Chapter 26: Episode 26 Joint Me [End]
Chapter Text
เบนไม่รู้อีกแล้วว่าควรทำอย่างไร
สโน้คตายแล้ว แต่รอยแผลในพลังของเรย์กลับไม่ยอมหายไปด้วย เธอปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำ เส้นทางที่ง่ายดายที่สุดในการถลำสู่ความมืดมิด ซ้ำร้ายความกลัวของเธอยังบิดเบี้ยวยิ่งนัก
“ทั้งเจได ซิธ และสาธารณรัฐอันเปื่อยเน่า ให้พวกนั้นตายไปให้หมด”
กลัวโทษทัณฑ์ กลัวความโดดเดี่ยว กลัวที่จะพรากจากเขา
ไม่ต่างจากที่เขากำลังกลัว...
เบนอยากปลอบประโลมเธอ บอกว่าทั้งหมดที่เธอกำลังกังวลจะไม่มีวันเป็นจริงแต่ก็ทำไม่ได้ เขารู้ว่าที่เธอพูดมานั้นถูกต้อง เบนได้ยินผ่านเครื่องมือสื่อสาร วุฒิสมาชิกในสภาส่วนหนึ่งหนุนหลังสโน้คทั้งที่รู้ดีว่าเขาใช้พลังด้านมืด กระหายในอำนาจจนดวงตามืดบอดตามไปด้วย
เผลอๆ พวกนั้นอาจจะรู้ด้วยซ้ำว่าเรย์และเหล่าพาดาวันที่ถูกลักพาตัวไปอยู่ที่ไหน แต่กลับเลือกจะนิ่งเงียบ ปล่อยให้สโน้คทำร้ายความหวังของกาแล็คซี่ต่อไปเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การคงอยู่ของเรย์ผู้รู้เรื่องราวเบื้องหลังเป็นอย่างดีจะสั่นคลอนการคงอยู่ของพวกเขา ส่วนเหล่าวุฒิสมาชิกที่เหลือเมื่อได้เห็นความมืดที่ล้ำลึกขนาดนี้ก็ย่อมต้องเกิดความพรั่นพรึงเป็นธรรมดา และปรารถนาที่จะขจัดทั้งหมดให้สิ้นไปจากกาแล็คซี่
เรย์พูดถูก เธอจะต้องโทษทัณฑ์แน่ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“เบน” ร่างบางในชุดสีดำทมึนเอ่ยเรียก มือข้างหนึ่งยังคงวางอยู่เหนือแท่นโลหะ เฉียดใกล้อย่างน่าหวาดเสียว แต่ก็ยังไม่ได้ออกแรงกดลงไปเสียทีเดียว ในขณะที่อีกมือยื่นมาทางเขาพร้อมสายตาเว้าวอนไม่ปิดบัง
“ฉันอยากให้นายมากับฉัน ทิ้งทั้งหมดไว้เบื้องหลัง ให้อดีตตายไปให้หมดฆ่ามันถ้าจำเป็น หลังจากนั้นเราจะนำกฏใหม่มาสู่กาแล็คซี่แห่งนี้ ไม่มีการแบ่งแยกแสงสว่างหรือความมืดอย่างที่วิถีโบราณพร่ำสอน มีแค่สมดุลย์ มีแค่พลัง มีแค่เรา...มากับฉัน...”
เธอดูหลงทางมากกว่ามุ่งมั่น ราวกับแค่อยากจะหลีกหนีความกลัวที่ห้อมล้อมอยู่ในขณะนี้ แต่ถ้าจะมีอะไรที่เที่ยงแท้นั่นคือเธอต้องการเขา
“เถอะนะ”
ถ้อยกระซิบอันสั่นเครือในคำสุดท้ายยืนยันได้เป็นอย่างดี และตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่มีสักครั้งที่เบนจะปฏิเสธคำขอร้องของเรย์ได้ น้ำเสียงของเธอ แววตาของเธอ ตัวตนของเธอ ทั้งหมดนั้นมีผลกระทบกับเขามากเกินไป
เพราะแบบนั้นเบนจึงตรงเข้าไปหา จังหวะก้าวเดินมั่นคงทว่าไม่ละสายตาไปจากเรย์แม้แต่เสี้ยววินาที ปลายนิ้วหนายกขึ้นแตะสัมผัสกลางฝ่ามือบางใต้ถุงมือหนังอย่างเชื่องช้า เบนเลื่อนไล้ปลายนิ้วขึ้นไป จับยึดข้อมือเล็กไว้แบบหลวมๆ ในขณะที่ใช้อีกมือช่วยถอดถุงมือหนังออก
“ฉันยังยืนยันคำเดิมว่าจะเคียงข้างเสมอไม่ว่าเธอจะเลือกเส้นทางไหน แต่ว่านั่นใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ เหรอเรย์”
เบนกุมมือเรย์ไว้ ไอร้อนส่งผ่าน ตระหนักได้อย่างหนักอึ้งและอ่อนหวานว่านี่คือสัมผัสแรกระหว่างกันในความเป็นจริงไม่ใช่ข้ามผ่านพลัง มืออีกข้างของหญิงสาวซึ่งอยู่เหนือแท่นโลหะเริ่มสั่นระริก
“ทำลายทุกอย่างและทุกคนที่เรารู้จักโดยหวังว่าความกลัวจะหายตามไปด้วย เธอคิดมาตลอดเธออยู่เพียงลำพังแต่นั่นมันไม่จริงเลย ทั้งเพจทั้งแคสเซียน ทรูปเปอร์เพื่อนเธอ ดาเมรอน แม้กระทั่งฮักซ์ ฟาสม่ากับมิลลิเซ็นต์ พวกนั้นคือครอบครัวของเธอ เราทุกคนตามหาเธอมาตลอด รอจะได้พบเธออีกครั้ง”
เบนสังเกตว่าสีแดงและทองในดวงตาของเรย์เริ่มจางลง เผยให้เห็นสีเขียวปนน้ำตาลอันเป็นสีสันดังเดิม เฉดสีอันอบอุ่นแต่ก็เจิดจ้าซึ่งเริ่มคลอหน่วงไปด้วยหยาดน้ำตาเพราะคำพูดของเขา เบนกลืนก้อนหนักๆ ในลำคอลงไปอย่างยากลำบาก เขาไม่เคยปรารถนาที่จะเห็นเรย์ร้องไห้ ทว่าเขาไม่มีทางเลือก เพราะการตัดสินใจของเธอจะไม่เพียงส่งผลกับเขาเท่านั้น
แต่หมายรวมถึงทั้งจักรวาล
“ดังนั้นฉันจะถามเธออีกครั้งเรย์ นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ใช่มั้ย กวาดล้างทุกอย่างให้กลายเป็นศูนย์และยืนอยู่เหนือเถ้าถ่านกับความกลัว เพราะถ้าใช่ฉันจะทำลายทั้งกาแล็คซี่เพื่อเธอเอง ยึดครองมันเพื่อเธอและมอบมันให้เธอ เหมือนที่ฉันมอบหัวใจและวิญญาณให้เธอ”
“ไม่...” เรย์ตอบอย่างรวดเร็วในขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม “ไม่เอาแบบนั้น” เธอโถมตัวเข้ากอดเขา ฝ่ามือผละห่างแท่นระเบิดในที่สุด แม้จะไม่ทันได้ตั้งตัวแต่เบนก็ไม่ได้ขยับจากตำแหน่งเดิมแม้แต่น้อย สองแขนแกร่งตวัดรอบร่างบาง โอบประคองเธอไว้ เรย์สะอึกสะอื้นอยู่กับอกของเขา พึมพำซ้ำไปมา
“ฉันไม่ได้ต้องการทั้งกาแล็คซี่...ฮึก...ฉันต้องการแค่เบน ฉันอยากกลับบ้าน ฉันอยากเจอทุกคน”
“งั้นก็กลับบ้านเรากัน” เจไดหนุ่มกระซิบตอบก่อนจะกดแนบรอยยิ้มเข้ากับข้างขมับของหญิงสาว
แต่แล้ว....
“ช่างเป็นฉากที่ซาบซึ้งใจเสียนี่กระไร” ประโยคนั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงย่ำเท้าจำนวนมาก เสียงขึ้นไกปืนและเสียงชุดเกราะที่ขยับเสียดสี
เบนหันมองและพบเข้ากับโพในชุดนักบินสีดำแดงของเฟิร์สออเดอร์กำลังเล็งปืนมาทางเขาและเรย์ รอบตัวมีสตอร์มทรูปเปอร์ในชุดเกราะสีขาวจำนวนหลายสิบกำลังกรูกันออกมาจากลิฟต์และล้อมพวกเขาไว้ด้วยอาวุธครบมือ
“ดาเมรอน?” เบนขมวดคิ้ว “ทำอะไรของนายกัน”
“นั่นไม่ใช่โพ” เรย์กล่าว ผละออกจากอ้อมกอดของเขาแล้วเปิดการทำงานของไลท์เซเบอร์ขึ้นอีกครั้ง มันยังคงเป็นสีแดงเพราะเมื่อคริสตัลแตกร้าวไปแล้วยอมไม่มีวันคืนสภาพได้ “และทั้งหมดนี่ก็ไม่ใช่ทหารของเฟิร์สออเดอร์ด้วย”
ยืนยันคำพูดของเรย์ ใบหน้าของคนที่เบนคิดว่าเป็นโพก็เปลี่ยนไป ตรงแก้มขวาและคางกลายเป็นหนังหนาๆ สีเขียว ลิ้นที่แลบออกมาเลียริมฝีปากก็เป็นสองแฉก แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็กลับไปเป็นใบหน้าของนักบินหนุ่มตามเดิม แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่บอกได้ว่ามันคือพัชกิ้น เร้ดคลอว์ ผู้นำกองกำลังกบฏชาวลิซซาเลี่ยนและดูเหมือนจะเป็นนายพลให้สโน้คอีกด้วย
โพ ไม่สิ พัชกิ้นเหลือบตามองซากศพของสโน้คก่อนจะแสยะยิ้ม “แหม่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะประหยัดเวลาไปให้ข้าได้เยอะเลยคิระ ก็อยากจะใจดีปล่อยเจ้าไปเพื่อเห็นแก่ความหลังของการตกเป็นเบี้ยล่างให้สโน้คโขกสับเหมือนๆ กันหรอกนะ แต่พอดีว่าเจ้าขวางทางข้าอยู่ ทั้งพวกเจ้า ทั้งเจไดรวมไปถึงเฟิร์สออเดอร์”
เบนไล่ตามสายตาของพัชกิ้นไปและพบว่ามันกำลังจ้องแท่นระเบิดตาเป็นมัน
เสียงของเรย์ดังเข้ามาในความคิดของเขา บอกเล่าความทะเยอทะยานของพัชกิ้นที่อยากขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดเสียเอง มันเกลียดสโน้คมากพอๆ กับที่กลัว จะเฝ้ารอโอกาสที่จะแทงข้างหลังมาโดยตลอด บัดนี้โอกาสที่ว่าก็มาถึงแล้วโดยเรย์เป็นคนหยิบยื่นให้ อัศวินแห่งเร็นติดพันการต่อสู้อยู่ด้านล่าง สโน้คตายด้วยฝีมือเธอ อาวุธทำลายล้างประสิทธิภาพเทียบเท่าดาวมรณะอยู่ห่างไปแค่เอื้อม และความคิดที่ว่าจะชำระล้างรากฐานเดิมของกาแล็คซี่ให้สิ้นแล้วขึ้นปกครองเสียเองก็ฟังดูเย้ายวนยิ่งนัก
เบนใช้พลังดึงไลท์เซเบอร์กลับเข้ามาในมือพร้อมตั้งท่าสู้ แต่พัชกิ้นกลับขยับเล็งกระบอกปืนขึ้นมาเสียก่อน
“เป็นข้าจะไม่ทำแบบนั้น คืองี้นะข้ารู้ว่าเจไดอย่างพวกเจ้าน่ะหยุดกระสุนปืนได้ แต่ว่า...”
สตอร์มทรูปเปอร์ตัวปลอมด้านหลังผลักใครคนหนึ่งออกมาข้างหน้า ร่างที่สวมชุดเกราะขาวเหมือนกันทว่านอกจากจะถูกมัดมือด้วยโซ่โลหะแล้วยังไม่ได้สวมหมวกอีกด้วย ผยให้เห็นผิวสีน้ำตาลเนียนเหมือนช็อคโกแลตและใบหน้าที่กำลังตื่นตระหนักสุดขีด
“ฟินน์!” เรย์ร้องเรียกด้วยความตกใจ และจากปฏิกริยานั้นทำให้เบนแน่ใจได้ว่านี่คือ FN-2187 ตัวจริง พัชกิ้นในร่างโพเล็งปืนมาทางฟินน์ซึ่งคุดคู้อยู่บนพื้นแทน
“...ด้วยระยะขนาดนี้เจ้าจะหยุดทันรึเปล่า”
“ขอโทษครับมาสเตอร์โซโล เจ้านี่มันดูเหมือนโพมากจริงๆ” ฟินน์กล่าวอย่างเจ็บใจที่ถูกหลอกจนต้องกลายมาเป็นภาระให้คนอื่น แต่เมื่อเหลือบตาขึ้นมองสถานการณ์รอบด้านและได้พบร่างบางในชุดสีดำเขาก็เสียงดังอย่างลืมตัว “พีนัท!! นั่นเธอจริงๆ ใช่มั้ย เธอจำฉันได้มั้ยฉันฟินน์เพื่อนรักเธอไง”
“เงียบเดี๋ยวนี้!” พัชกิ้นเตะเข้าที่กลางลำตัวฟินน์อย่างแรง เกราะช่วยลดแรงกระแทกได้มากอยู่แต่ก็ทำให้สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มจำใจเก็บปากเก็บคำ “พวกเจ้าสองคนถอยออกมาให้ห่างจากยาน!”
เบนเหลือบมองเรย์ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจทำตามเมื่อเห็นเธอปิดการทำงานของไลท์เซเบอร์ เจไดหนุ่มยกมือขึ้นในระดับศีรษะแล้วก้าวถอยออกมาช้าๆ พัชกิ้นให้ลูกน้องกระชากฟินน์ขึ้นมาจากพื้นแล้วกึ่งลากกึ่งดันตัวให้ตามมา ลิซซาเลี่ยนในคราบสตอร์มทรูปเปอร์ต่างทยอยเดินขึ้นยานไทสไลเซอร์ไปทีละคนสองคนโดยที่ไม่ละปืนไปจากเบนและเรย์แม้แต่น้อย
พัชกิ้นเหยียดยิ้มกว้างเมื่อได้มาหยุดยืนต่อหน้าอาวุธทำลายล้างได้ในที่สุด ซึ่งเบนยอมรับเลยว่าด้วยใบหน้าแบบโพ ดาเมรอนมันจึงยิ่งน่าหมั่นไส้และน่าชกมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“คงต้องขอยืมตัวเพื่อนทรูปเปอร์ของเจ้าไปเป็นตัวประกันก่อนนะคิระ พอดีข้าว่ายังไม่อยากโดนสอยร่วงก่อนจะไปพ้นจากดวงนี้ได้”
“แกจะต้องได้ชดใช้กับทุกสิ่งที่ทำลงไปพัชกิ้น” เรย์แทบจะแยกเขี้ยวขู่ ทว่าหัวหน้าลิซซาเลี่ยนไม่แย่แส กิ้งก่าในร่างของนักบินหนุ่มแห่งเฟิร์สออเดอร์ยักไหล่อย่างจงใจกวนประสาทก่อนจะวางมือเหนือแท่นโลหะ แสงสีแดงเปล่งขึ้นมาตามรอยเชื่อมอีกครั้ง
“แต่จากสถานการณ์ ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่าที่จะได้ชดใช้นะคิระ เร็น”
ทว่าเพียงพริบตาก่อนที่พัชกิ้นจะได้มีโอกาสแตะเปิดการทำงานของระเบิด ฟินน์ก็สบัดหลุดการเกาะกุมแล้วใช้ไหล่กระแทกพัชกิ้นอย่างแรงส่งผลให้ฝ่ามือพลาดตำแหน่งจุดระเบิดไปเพียงเล็กน้อยอย่างน่าหวาดเสียว ท่ามกลางความตกใจของทุกคน สตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มคล้องแขนรอบแท่นโลหะแล้วยกมันวิ่งหนีมาทางสองเจไดอย่างรวดเร็ว
“มัวยืนบื้ออะไรกันอยู่หยุดมันไว้สิ!” พัชกิ้นตะโกนสั่งแต่ก็ช้ากว่าเรย์ไปมากนัก
“ฟินน์ กระโดด!!”
ไม่มีแม้แต่อาการลังเล ฟินน์ทำตามทันที เรย์ใช้พลังกระแทกพื้นเบื้องหน้าสตอร์มทรูปเปอร์หนุ่มแตกจนเป็นรูกว้าง แผ่นคอนกรีตลาดเอียงเป็นเส้นทางลงสู่ชั้นที่อยู่ต่ำลงไป ฟินน์กอดแท่นโลหะไว้แน่นในขณะที่แผ่นหลังไถลไปตามทางลาด
ไม่เปิดโอกาสให้ได้ไล่ตาม เบนสะบัดเสื้อคลุมตัวนอกออก เปิดไลท์เซเบอร์แล้วพุ่งเข้าใส่กลุ่มของลิซซาเลี่ยนทันที
กระสุนบลาสเตอร์ปลิวว่อน เขาปัดป้องมันได้ทุกนัดในขณะที่อาวุธตวัดฟันเข้าที่ลำคอของศัตรูตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด มันคืนร่างกลับเป็นสิ่งมีชีวิตผิวหนาหยาบสีเขียวแก่นอนจมกองเลือด ลิซซาเลี่ยนหลายตัวถึงกับผงะถอยในขณะที่อีกเกือบสิบตัวซึ่งมีอาวุธพลาสม่าที่สามารถปะทะกับไลท์เซเบอร์ได้ได้ก้าวเข้ามาแทนที่
เรย์ตามมาสมทบกับเบนอย่างรวดเร็ว เธอหมุนควงไลท์เซเบอร์สองด้านในมือปลิดชีพลิซซาเลี่ยนไปได้อีกสองก่อนจะหันหลังชนแนบกับเขาในขณะที่เบื้องหน้าคือศัตรูซึ่งโอบล้อมเข้ามาทุกทิศทาง
ชั่ววินาทีก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นนั้นช่างเงียบงันเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงของความคิด มีเพียงเสียงลมหายใจและจังหวะหัวใจที่เต้นประสานเป็นหนึ่ง เบนและเรย์ขยับตัวพร้อมกัน เคลื่อนไหวสอดคล้องราวกับทำมาแล้วนับร้อยนับพันครั้ง
ราวกับว่าพวกเขาคือคนคนเดียวกัน
และเพราะฝีมือที่เหนือกว่ามาก การต่อสู้จึงจบลงอย่างรวดเร็ว ทหารลิซซาเลี่ยนล้วนถูกไลท์เซเบอร์ฟันกลายเป็นศพอยู่บนพื้นแทบทั้งสิ้น เหลือเพียงพัชกิ้นและจำนวนอีกแค่หยิบมือบนยานสไลเซอร์ที่พ้นคมดาบไปได้ และเมื่อเห็นท่าไม่ดี มันจึงสั่งให้ออกยานทันที
“เรายังไม่จบธุระกันแค่นี้หรอกเจได!!” เสียงคำรามคลอมาคำสบถหยาบของพัชกิ้น มันกล่าวอย่างโอ้อวดเพราะรู้ดีว่ายานลอยสูงเกินกว่าที่จะมีมนุษย์หน้าไหนกระโดดตามมาได้ ต่อให้เป็นมนุษย์ที่มีพลังสถิตย์กับตัวก็ตาม จังหวะนั้นเองที่เบนเห็นจากหางตาว่ามีเอ็กซ์วิงจำนวนหลายสิบลำกำลังมุ่งตรงมาทางนี้
เสียงของโพตัวจริงดังขึ้นมาจากเครื่องมือสื่อสารในหู
‘แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นวะเพื่อน’
รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เบนคว้าข้อมือเรย์ผู้กำลังถอนไลท์เซเบอร์ออกมาจากอกของลิซซาเลี่ยนตัวสุดท้ายแล้วออกวิ่งทันที
ตูม!!
ฝูงยานของเฟิร์สออเดอร์และกองกำลังป้องกันของสาธารณรัฐระดมกระสุนใส่ยานสไลเซอร์จนระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ ทั้งพัชกิ้นและทหารลิซซาเลี่ยนบนนั้นตายเรียบในพริบตา ซากยานร่วงหล่นลงมาบนดาดฟ้าเกิดเป็นเสียงดังไม่ต่างจากฟ้าร้อง
ตูม!!
เบนและเรย์ที่วิ่งหนีมาแต่แรกจึงหลบพ้นอย่างหวุดหวิด แต่ถึงกระนั้นแรงอัดระเบิดที่ปะทะเข้ากับแผ่นหลังก็ยังทำให้พวกเขากระเด็นไปหลายเมตรอยู่ดี เบนรวบเรย์เข้ามาแนบตัว ศอกและหลังของเขากระแทกพื้นอยู่หลายตลบกว่าจะหยุดลงได้โดยมีร่างของเรย์นอนอยู่บนตัวเขา เบนก้มสำรวจและพบว่านอกจากแผลถลอกแล้ว เรย์ยังมีแผลที่ขมับซึ่งกำลังมีเลือดไหลอาบอีกหนึ่ง ดูเหมือนว่าสะเก็ดระเบิดจะกระเด็นมาโดนพอดี
“เจ้าบ้าดาเมรอน”
เบนคำรามลอดไรฟัน เขาสาบานเลยว่าหลังจากนี้จะต้องไปคิดบัญชีกับนักบินหนุ่มข้อหายิงยานศัตรูตกโดยไม่ดูตาม้าตาเรือและบังอาจมาทำให้เรย์ของเขามีแผลแน่นอน เจไดหนุ่มผุดลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือหนาประคองแก้มทั้งสองข้างของหญิงสาวไว้แล้วขยับสำรวจอย่างเป็นกังวล
“เธอไม่เป็นอะไรใช่มั้ย มีแผลตรงไหนอีกหรือเปล่า”
“เบน”
ชื่อของเขาที่ผ่านออกมาจากริมฝีปากเธอช่างทรงพลังยิ่งนัก มันสะกดให้เขานิ่งงันในขณะที่มือบางข้างขวายกขึ้นมาวางทาบทับหลังมือของเขา เรย์ขยับยิ้มงดงาม เอียงใบหน้าแนบรอยยิ้มนั้นลงกลางฝ่ามือของเบน
“ฉันไม่เป็นไร” เรย์กล่าว ในขณะที่เขาทำได้เพียงจ้องมองดวงตาสีเฮเซลนัทราวกับหลงละเมอ “เราอยู่ด้วยกันแล้วทุกอย่างจะต้องไม่อะไร”
ห่างออกไปในมุมหนึ่งของดาดฟ้า ซากยานยังคงลุกไหม้โชติช่วง เสียงของฟินน์แว่วถามมาว่าทุกอย่างจบแล้วใช่มั้ยขึ้นไปได้หรือยัง ยานเอ็กซ์วิงสั่นสะเทือนอยู่บนท้องฟ้าและสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายดีนัก ทว่าด้วยการกระทำอันน้อยนิดและคำพูดที่แสนจะเรียบง่ายจากเธอ เบนกลับรู้สึกผ่านคลายและสงบสุขยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาตลอดสามปี
เจไดหนุ่มโน้มใบหน้าลงไปใกล้จนหน้าผากของพวกเขาแตะสัมผัสกัน เขาหลับตาลง ตระหนักได้อย่างอิ่มเอมถึงการคงอยู่ของเธอในอ้อมกอดของเขา เสียงหัวใจอันหนักแน่นที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน และพลังที่เกี่ยวประสานเชื่อมเป็นหนึ่ง
ในที่สุดพวกเขาก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งเสียที
ใช้เวลาหลังจากนั้นพักใหญ่กว่าทุกอย่างจะกลับมาสงบสุขได้
เรย์และเหล่าพาดาวันทั้งเจ็ดผู้กลายเป็นอัศวินแห่งเร็นต้องโทษจำคุกตลอดเวลาที่เลอาและเหล่าวุฒิสมาชิกจัดการกับสมาชิกสภาผู้สนับสนุนด้านมืด แต่ที่จริงจะเรียกว่าคุกก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะมันคือการจำกัดบริเวณให้อยู่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่งบนยานสุพรีมาซีเท่านั้น แต่ละคนมีห้องเป็นของตัวเอง ไม่ได้ถูกลามโซ่หรือติดอยู่หลังลูกกรง แต่ที่ประกาศไปว่าถูกคุมขังก็เพื่อให้สาธารณรัฐสบายใจเท่านั้น
เรย์ขึ้นให้การต่อสภาแห่งสาธารณรัฐกาแลคติกมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ข้อมูลของเธอในฐานะคิระ เร็นเรียกได้ว่ามีค่ายิ่งนัก เพราะนอกจากจะสามารถยึดคลังอาวุธที่ซ่อนไว้บนดาวต่างๆ ได้จนหมดแล้ว ยังช่วยกวาดล้างผู้สนับสนุนลับๆ ทุกคนของสโน้คได้อีกด้วย ไล่ลามไปถึงองค์กรอาชญากรรมและผู้ก่อการร้ายต่างๆ
แต่ถึงกระนั้นความเสียหายที่สโน้คทำไว้ก็บาดลึกเกินจะหยั่ง ไม่มีใครกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทุกคนยังมีด้านมืดคนละนิดคนละหน่อยทั้งในพลังและวิญญาณ ซึ่งมาสเตอร์สกายวอคล์เกอร์ลงความเห็นว่าตำหนิเหล่านี้ช่างน้อยนิดยิ่งนัก และจะไม่มีวันแผ่ขยายไปมากกว่านี้ เขายืนยันกับสภาว่าภายใต้การฝึกของเขา พาดาวันทั้งเจ็ดจะยังสามารถเป็นเจไดได้อยู่
เหล่าวุฒิสมาชิกภายใต้การโน้มนำของเลอาจึงยอมเห็นด้วยโดยมีเงื่อนไขที่จะจับตาดูอย่างใกล้ชิด
ทว่าคำตัดสินนี้ใช้ไม่ได้กับเรย์ผู้มีความเป็นคิระหลงเหลืออยู่มากเกินไป
เพียงย่างเท้าเข้าไปในสภา หญิงสาวก็สามารถสร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนได้อย่างถ้วนทั่ว ทั้งจากวีรกรรมอันเหี้ยมโหดภายใต้การชักเชิดของสโน้ค และจากพลังอันแกร่งกล้าที่ข่มทุกคนให้รู้สึกเล็กจ้อยไม่ต่างจากมดแมลง กระทั่งบรรดาเพื่อนๆ อย่างฟินน์และโพก็ยังไม่อาจทำใจกลับมาใกล้ชิดจนเล่นหัวกันได้เหมือนเดิม
คงมีแค่เบนเท่านั้นที่สามารถอยู่ข้างเรย์ได้โดยไม่หวาดหวั่น
และเขาก็เลือกจะทำเช่นนั้นมาตลอดตั้งแต่ได้เรย์คืนมา หากไม่ต้องทำงานของเฟิร์สออเดอร์หรือช่วยงานสภา เบนก็จะอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับเรย์ นั่งข้างเธอ ทานอาหารกับเธอ ใช้ค่ำคืนรวมกับเธอ
ใช้เวลาถึงสามเดือนด้วยกันว่าศาลสูงแห่งสาธารณรัฐกาแลคติกใหม่จะตัดสินโทษเรย์ได้
“เนรเทศ?”
เบนทวนคำพลางเลิกคิ้วสูงให้กับเลอาผู้นำข่าวมาส่งยังยานสุพรีมาซี ในขณะที่เรย์ดูจะไม่ได้อนาทรร้อนใจเท่าไร หญิงสาวคงคิดว่าแค่นี้ก็ดีถมแล้วเมื่อเทียบกับโทษประหารชีวิต ทว่าเบนไม่คิดแบบนั้น
“หมายความว่ายังไงกันเนรเทศ แล้วทั้งหมดที่เรย์ทำไปไม่มีความหมายเลยรึยังไง เธอช่วยสภามาตั้งเยอะ ทั้งให้ข้อมูลทั้งลงมือจับกุมด้วยตัวเอง เรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เธอทำลงไปเป็นเพราะอิทธิพลของสโน้ค ถ้าแม่เปิดการประชุมอีกครั้งและให้ผมได้พูดอธิบาย....”
“เบน” เลอายกมือขึ้นห้ามด้วยสีหน้าติดจะระอานิดๆ ถึงความใจร้อนของเขา “ฟังแม่พูดให้จบก่อน รายละเอียดของบทลงโทษคือเรย์จะถูกส่งไปยังดวงดาวที่สภาเลือกไว้และจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนนั้นเท่านั้น ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือให้ความช่วยเหลือสนับสนุนขั้วอำนาจใดอย่างเด็ดขาด และที่สำคัญที่สุดห้ามใช้พลังอีกทั้งในฐานะเจไดและซิธ เธอจะต้องทำตัวเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นสภาจึงจะยอมตกลงละเว้นเธอจากโทษทัณฑ์ทั้งหมด”
“แม้กระทั่งพลังก็ใช้ไม่ได้” เธอทวนด้วยน้ำเสียงติดจะเป็นกังวลเล็กๆ
“โอ้ที่รัก” เลอาหันไปกุมมือเรย์ไว้อย่างปลอบโยน เข้าใจได้ดีถึงความยากลำบากของการทำเช่นนั้น “ถ้าถามฉันนะขอแค่เธอไม่ไปถล่มปราสาทหรือทำลายดาวเคราะห์ที่ไหนพวกเขาก็พอใจแล้ว อีกอย่างเจ้าหน้าที่ภาคทัณฑ์ของเธอเป็นคนใจดีเอามากๆ ต่อให้เห็นว่าเธอกำลังฝึกฝนหรือใช้พลังช่วยอะไรนิดๆ หน่อยๆ ในชีวิตประจำวันเขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก ใช่มั้ยเบน”
“ครับ? แม่ว่าไงนะ” ดูเหมือนว่าเจไดหนุ่มจะกำลังจมอยู่กับความคิดและความกังวลเกินไปจึงทำให้ตามเนื้อหาไม่ค่อยทันเท่าไร เลอาหัวเราะแผ่ว ปล่อยมือจากเรย์เพื่อหยิบกระดาษอิเล็คทรอนิกซ์ใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้ลูกชายของเธอ
มันคือเอกสารแต่งตั้งตำแหน่งพิเศษให้แก่เบนจาร์มิน ออร์กาน่า โซโล ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้คุมกฏของสาธาณรัฐกาแลคติกใหม่ ซึ่งสิ่งที่เขียนไว้ตั้งแต่บรรทัดแรกในรายการยาวเหยียดของเอกสิทธิ์ที่ได้รับและหน้าที่ที่เบนต้องทำ ก็คือการเป็นเจ้าหน้าที่ภาคทัณฑ์จับตาดูความประพฤติของคิระ เร็นหรืออีกนัยหนึ่งเรย์แห่งแจคคู ณ ทัณฑสถานบนดาวนาบู
นาบู...ดาวบ้านเกิดของแพดเม่ซึ่งแทบจะมีแต่ฤดูใบไม้ผลิยาวนานตลอดปี งดงามและสงบสุขเกิดกว่าจะเรียกว่าทัณฑสถานได้อย่างเต็มปาก
สิ่งที่เห็นทำเอาเบนถึงกับอ้าปากค้างไปเลยทีเดียว คงต้องบอกว่านี่เป็นการเนรเทศที่เข้าทางเขาและเรย์เป็นอย่างยิ่ง เร้นตัวจากการแก่งแย่งอำนาจของกาแล็คซี่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สูญเสียทั้งอิสระและโอกาศที่จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น
เรย์เกาะแขนเขาแล้วเขย่งยืนด้วยปลายเท้าเพื่ออ่านข้อความบ้าง เบนตวัดรัดเธอเข้ามาในอ้อมกอดก่อนจะก้มลงไปจูบแก้มเธออย่างเผลอตัวโดยมีเลอาลอบอมยิ้มให้กับการกระทำนั้น
“แต่พอดีว่านาบูไม่มีคุกสำหรับเจไดเสียด้วย” อดีตเจ้าหญิงแห่งดาวอัลเดอรานแสร้งถอนหายใจ ทว่าทั้งน้ำเสียงและท่าทางไม่มีความลำบากใจแม้แต่น้อย “เอาเป็นว่าระหว่างนี้ไปอยู่กันที่ปราสาทฤดูร้อนอมิดาล่าไปก่อนแล้วกันนะ อาจจะกว้างเกินไปหน่อยสำหรับคนสองคน แต่แม่ว่าเป็นที่ๆ เหมาะจะให้เด็กๆ เติบโตและวิ่งเล่นมากเลยทีเดียว”
“แม่!”
“เลอาค่ะ!”
เบนและเรย์ประสานเสียงเรียก ใบหน้าขึ้นสีก่ำพอกันทั้งคู่ เห็นแบบนั้นเลอาจึงอมยิ้มและแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“อะไรกัน แม่หมายถึงพาดาวันคนอื่นต่างหาก จำไม่ได้เหรอว่าสโน้คทำลายโรงเรียนที่คัมพารัสไปแล้ว ลุคเลยต้องหาดาวสำหรับก่อตั้งโรงเรียนใหม่ นาบูอาจจะไม่มีป่าโหดๆ สำหรับหลักสูตรเพี้ยนๆ ของลุคแต่แม่ว่าเดี๋ยวสุดท้ายเขาก็คิดอะไรออกเองน่ะแหละ”
“ฉันได้รับอนุญาติ...” เรย์ชะงัก รวบรวมความกล้าถามต่อ “ให้เข้าใกล้คนอื่นได้ด้วยเหรอคะ”
“เธอเป็นมาสเตอร์ยังได้เลยถ้าเธอต้องการนะเรย์” เลอาย้ำด้วยรอยยิ้มละไม “สมดุลย์ไม่ใช่แค่ขาวหรือดำ แต่เป็นการยอมรับในสิ่งที่แต่ละคนเป็นและอยู่รวมกันอย่างปรองดอง เธอและเบนมีด้านมืดปนอยู่ในพลังแต่ก็ยังสามารถควบคุมมันได้ สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้พวกเธอเป็นซิธหรือเจไดโดยจำเพาะ แต่เป็นความหวังใหม่ของกาแล็คซี่ และฉันสงสัยว่าพวกเธออาจจะไม่ใช่สองคนสุดท้ายที่ทำแบบนี้ได้ด้วย”
อีกครั้งที่คำพูดของเลอาสามารถตีความแบบผิวเผินถึงพาดาวันคนใหม่ที่ใช้พลังได้ทั้งด้านสว่างและมืด หรือจะคิดแบบลึกๆ ถึงลูกของเขาก็ได้เช่นนั้น และนั่นทำให้เบนน้ำท่วมปากไม่อาจเถียงได้เพราะจะถูกหาว่าเข้าใจผิดไปเองอีก ส่วนเรย์ก็ได้แต่ซุกหน้าลงกับอกของคนตัวสูงเพื่อซ่อนสีแดงที่เพิ่มขึ้นไปอีกระดับบนผิวแก้ม
“แต่อย่างที่บอก ทำแอบๆ หน่อยแล้วกันอย่าให้สภารู้ เดี๋ยวตาแก่พวกนั้นจะสติแตกไปกันหมด”
วุฒิสมาชิกออร์กาน่ากล่าวทิ้งท้ายพร้อมการขยิบตาก่อนจะเดินจากไป และเพียงเลอาเดินลับสายตาไปเท่านั้นเบนก็ก้มลงมาจูบคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาทันที มือที่เคยโอบพาดบ่าก็เปลี่ยนมาประคองท้ายทอย ดันเงยให้รับสัมผัสจากเขา ทั้งร้อนรุ่ม อ่อนหวานแต่ก็โล่งอก ราวกับความกังวลและหนักอึ้งบนบ่าได้ถูกยกออกไปหมดแล้ว
เรย์รู้ดีว่าเบนคิดอะไรอยู่และรู้สึกเช่นไร ทว่าในตอนที่ริมฝีปากหนาผละจากไปเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามพร้อมรอยยิ้มละไม
“เพื่ออะไรกัน”
“แค่รู้สึกว่าอยากทำ”
เบนยิ้มกลับมาให้ จูบเร็วๆ อีกหนึ่งครั้งที่มุมปากก่อนจะยอมปล่อยเธอเป็นอิสระ เขาเดินจูงมือเธอกลับไปสมทบกับทุกคนที่สะพานเดินเรือเพื่อแจ้งข่าวอันน่ายินดีนี้
“เธอคิดยังไงกับข้อเสนอของแม่ฉันบ้าง” เบนถาม กึ่งชวนคุยกึ่งอยากรู้ ตำแหน่งมาสเตอร์ผู้ฝึกฝนเจไดคนต่อไปฟังดูดีทีเดียว อีกอย่างลุคก็บ่นเยอะขึ้นเยอะขึ้นทุกวันว่าไม่สามารถจัดการสอนพาดาวันทั้งหมดได้ด้วยตัวตนเดียว และการมอบหมายหนึ่งมาสเตอร์หนึ่งพาดาวันก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถสอนได้
ตอนแรกเบนนึกว่าเขาต้องลาออกจากเฟิร์สออเดอร์แล้วโดนผู้เป็นลุงลากคอไปช่วยสอนเด็กเล็กนั่งสมาธิเสียแล้ว เรย์อาจจะยังมีความผิดติดตัวอยู่ แต่อย่างที่เลอาว่าไว้ขอแค่สภาไม่รู้ก็พอแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่ทุกอย่างที่เข้าที่เข้าทางจริงๆ ทว่าเรย์เป็นคนที่เต็มไปด้วยพลังงานและชีวิตชีวา และเบนนึกไม่ออกอีกแล้วว่ามีงานอะไรที่เหมาะกับเธอมากไปกว่าการห้อมล้อมด้วยเด็กๆ
“ฉันไม่แน่ใจเท่าไรว่าอยากได้ยินตัวเองถูกเรียกว่ามาสเตอร์เรย์ มันฟังดูหนัก...”
“ใครเขาเรียกแบบนั้นกัน เขาเรียกนามสกุลต่างหาก” เบนจงใจเล่นมุขเพื่อเบี่ยงเบนความรู้สึกของเรย์ และมันได้ผล หญิงสาวหัวเราะ เอนตัวมาให้ไหล่กระแทกกันเบาๆ
“ลืมแล้วหรือไงว่าฉันไม่มีนามสกุล หรือจะให้เรียกว่ามาสเตอร์แจคคูก็ฟังไม่เข้าท่าเอาเสียเลย”
“แต่มาสเตอร์โซโลก็ฟังดูไม่เลวนะ” เบนโอบไหล่ดึงเรย์เข้ามาใกล้อีกครั้ง ทว่าดวงตากลับเสมองไปทางอื่น เสียงทุ้มลึกกล่าวอ้อมแอ้มจนเกือบฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็แค่เกือบละนะ เรย์นิ่งไปนิดหนึ่ง เอียงคอมองเขา ใช้เวลาอีกครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจได้ถึงความในอันอ้อมค้อม เธอส่งเสียงโอ้ออกมาสั้นๆ สังเกตเห็นว่าผิวแก้มและปลายหูแดงก่ำอย่างน่าเอ็นดู เพราะแบบนั้นเธอจึงหยอกล้อกลับไป
“นั่นจะต้องทำให้เด็กๆ สับสนมากแน่ๆ”
เพราะมีมาสเตอร์โซโลตั้งสองคน
“ไม่หรอกเดี๋ยวก็ชินไปเอง”
“เรย์ โซโลงั้นเหรอ” รสชาติของประโยคเหล่านั้นซ่านอยู่บนปลายลิ้นของเรย์ ที่จริงแล้วต้องบอกว่าเธอใช้ชื่อนี้มาตลอดสามปีแล้วด้วยซ้ำแต่เป็นในฐานะคิระ เร็น ทว่าพอพูดออกมาดังๆ เช่นนี้กลับทำให้หัวใจเต้นระส่ำได้อย่างไม่น่าเชื่อ เต็มตื้นและเป็นสุข จากการรัยรู้ได้ว่าความรักที่ให้ไปได้รับคืนกลับมามากมายเพียงใด
“เรย์และเบน โซโล” เขากล่าวราวกับจะทำให้ตนเองคุ้นชินเช่นกัน ตลอดหลายปีที่พร่ำปฏิเสธความรู้สึกนี้ด้วยข้ออ้างว่าไม่เหมาะสม ว่าเธอยังเป็นแค่เด็กน้อย เป็นเพียงพาดาวันของเขา ทั้งหมดนั้นเกิดจากความกลัวจนทำให้เบนเกือบจะสูญเสียทุกอย่างไป
แต่ในวันนี้ เบนตระหนักได้แล้วว่าเรย์ไม่ใช่แค่พาดาวันของเขาเท่านั้น แต่คือคนที่เติมเต็มความหมายในวิญญาณอันว่างเปล่า เป็นแสงสว่างส่องนำทางในความมืด ในขณะที่เขาเองคือคนที่เยียวยารอยแผลอันร้าวลึกในตัวตนของเธอ และพาเธอหวนกลับสู่พวกพ้องอีกครั้ง ชิ้นส่วนแห่งพลังและสมดุลย์ที่ต่างพร่ำเรียกหากันและกัน
พวกเขาคือทุกอย่างของกันและกัน
...ฉันรักเธอเรย์... เขากล่าวผ่านกระแสพลัง
...ฉันรู้... เธอตอบกลับมา ...ฉันก็รักนายเหมือนกัน...
End
CoolingOreo on Chapter 26 Thu 25 Sep 2025 03:40AM UTC
Comment Actions